สามีและภรรยาจะต้องรักษาความลับซึ่งกันและกัน
โดย... เชค อาลี อีซา
มีรายงานจากท่านอบีสะอี๊ด อัลคุดรีย์ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ แจ้งว่า ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
“แท้จริง อะมานะฮฺอันยิ่งใหญ่ ณ อัลลอฮฺในวันกิยามะฮฺก็คือ ชายที่แนบกาย (หลับนอน) กับภรรยาของเขา”
และอีกรายงานหนึ่งระบุว่า
“แท้จริงมนุษย์ที่มีฐานะเลวที่สุด ณ อัลลอฮฺในวันกิยามะฮฺนั้น คือ ชายที่แนบกาย (หลับนอน) กับภรรยาของเขา และหญิงที่แนบกาย (หลับนอน) กับสามีของนาง แล้วเขาผู้นั้นเปิดเผยความลับของนาง”
(บันทึกโดยมุสลิม)
และอีกรายงานหนึ่งบันทึกโดย อบูดาวู๊ด ระบุว่า
“แล้วคนหนึ่งคนใดจากสองคน (สามีภรรยา) เปิดเผยความลับของอีกฝ่ายหนึ่ง”
ประวัติผู้รายงานฮะดิษ
ท่านอะบีสะอี๊ด อัดคุดรีย์ มีชื่อว่า ซะอ์ดฺ บุตรมาลิก บุตรซินาน บุตรสะลามะฮฺ สำหรับชื่อ อะบูสะอี๊ด นั้นเป็นฉายาของท่าน ท่านอะบูสะอี๊ดสืบเชื้อสายมาจากบนีคุดเราะฮฺ ซึ่งเป็นเผ่าหนึ่งจากตระกูลค็อซร็อจญ์ และตระกูลค็อซร็อจญ์ เป็นหนึ่งในตระกูลที่เรียกว่าอันศ็อรฺ ส่วนอีกตระกูลหนึ่งคือตระกูลเอ๊าซฺ
สำหรับบิดาของท่านคือ ท่านมาลิก ได้ตายชะฮีดในสงครามอุฮุด ในตอนนั้นท่านอะบีสะอี๊ด ยังไม่มีโอกาสได้ออกร่วมในสงครามเพราะท่านอายุเพียง 13 ปี ถึงแม้ท่านอะบูสะอี๊ดและบิดาของท่าน มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเข้าร่วมรบในสงครามครั้งนี้ แต่ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ไม่อนุญาตเพราะเห็นว่าอายุยังน้อย
ท่านอะบีสะอี๊ดเป็นผู้ที่มีความรู้มากท่านหนึ่งในบรรดาศ่อฮาบะฮฺที่มีอายุน้อยที่สุด นอกจากท่าน อะบีสะอี๊ดจะรายงานฮะดิษจากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม แล้วท่านก็รายงานฮะดิษจากท่าน อบูบักรฺและท่านอุมัร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุมา ตลอดจนศ่อฮาบะฮฺคนอื่นๆ
สำหรับผู้ที่รายงานฮะดิษจากท่านอะบูสะอี๊ด ในหมู่ศ่อฮาบะฮฺนั้นก็มีท่านอับดุลลอฮฺ อิบนิ อุมัร ท่านญาบิร บิน อับดิลลาฮฺ ท่านอนัส อิบนิ มาลิก ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุม และในหมู่ตาบิอีน มีอีกจำนวนมากที่ท่านรายงานฮะดิษไว้มีจำนวน 1,770 ฮะดิษ ท่านเสียชีวิตในปี ฮ.ศ. 74
คำอธิบาย
อิสลามเป็นศาสนาที่มาเพื่อจัดระเบียบแบบแผนอันสมบูรณ์ เพื่อให้มวลมนุษย์ดำรงชีวิตในโลกนี้ตามแบบแผนดังกล่าว กล่าวคือ อิสลามต้องการให้มนุษย์ดำเนินชีวิตตามระบบที่อัลลอฮฺทรงกำหนดไว้ และร่อซูลของพระองค์ได้อธิบายชี้แจงไว้อย่างละเอียด เกี่ยวกับระบบนี้มีสิ่งที่น่าสังเกต คือ นอกจากเรื่องราวที่เกี่ยวกับการปฏิบัติศาสนกิจแล้ว อิสลามยังมีกฎเกณฑ์อีกมากมายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยกัน อันได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างบิดามารดา ระหว่างสามีกับภรรยา ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง ระหว่างผู้ปกครองกับประชาชน ระหว่างมุสลิมกับมุสลิม และระหว่างมุสลิมกับคนที่ไม่ใช่มุสลิม ฯลฯ
หากว่าเราพินิจพิจารณาความสัมพันธ์ที่กล่าวข้างต้น จะเห็นว่าไม่มีความสัมพันธ์ใดที่ยิ่งใหญ่กว่าความสัมพันธ์ระหว่างคู่สมรสหรือสามีภรรยานั่นเอง ที่พูดเช่นนี้เพราะในบรรดาพันธะสัญญาที่มีขึ้นระหว่างมนุษย์ด้วยกันนั้น ไม่มีสัญญาใดที่มีความสำคัญยิ่งเมื่อเทียบกับพันธะสัญญาที่มีขึ้นระหว่างสามีกับภรรยา ดังที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า
“และเรา (อัลลอฮฺ) ได้เอาคำมั่นสัญญาอันหนักแน่นจากพวกเจ้าแล้วด้วย”
(อันนิซาอฺ 4 : 21)
ในดำรัสของอัลลอฮฺ ทรงระบุว่า การมีชีวิตร่วมกันระหว่างสามีและภรรยานั้นจะมีด้วยคำมั่นสัญญาอันหนักแน่น ซึ่งเป็นการชี้ถึงคุณค่าของการมีชีวิตร่วมกัน และเป็นการเตือนสามีหรือภรรยาให้คำนึงถึงเรื่องนี้เป็นสำคัญ และการมีชีวิตร่วมกันนั้น อิสลามได้กำหนดหน้าที่ที่สามีต้องปฏิบัติต่อภรรยาและหน้าที่ที่ภรรยาต้องปฏิบัติต่อสามี รายละเอียดในเรื่องนี้ก็มีในตำราฮะดิษและฟิกฮฺมากมาย
ในฮะดิษนี้กล่าวถึงอะมานะฮฺอันยิ่งใหญ่ที่อัลลอฮฺจะทรงสอบสวนทั้งสามีและภรรยาในวันกิยามะฮฺ นั่นก็คือ ความลับของทั้งสองฝ่ายที่อัลลอฮฺสั่งให้รักษาและปกปิดไว้เป็นอย่างดี และห้ามไม่ให้ทั้งสองเปิดเผยความลับแก่ผู้ใดทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นบิดา มารดา ญาติที่ใกล้ชิดหรือคนอื่นก็ตาม นอกจากในกรณีจำเป็นซึ่งไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เท่านั้น ทั้งนี้เพื่อเป็นการรักษาสิทธิของแต่ละฝ่าย
ความลับนี้ก็คือ สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างสามีและภรรยาในขณะที่มีการหลับนอนกัน
ในอีกรายงานหนึ่ง ท่านร่อซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า
“คนที่มีฐานะเลวที่สุด ณ อัลลอฮฺในวันกิยามะฮฺ คือ ชายที่แนบกาย (หลับนอน) กับภรรยาของเขา และหญิงที่แนบกายกับสามีของนางและเขาผู้นั้นเปิดเผยความลับของนาง”
รายงานนี้เป็นการยืนยันว่า อะมานะฮฺอันยิ่งใหญ่ ณ อัลลอฮฺในวันกิยามะฮฺที่พระองค์ทรงสอบสวนก็คือ ความลับระหว่างสามีและภรรยาในระหว่างการหลับนอน และผู้ที่ละเมิดอะมานะฮฺอันยิ่งใหญ่ดังกล่าว เขาผู้นั้นจะมีฐานะเลวที่สุด ณ อัลลอฮฺในวันกิยามะฮฺ
จากรายงานนี้ชี้ให้เห็นว่าผู้รับผิดชอบ ณ ที่นี้ คือ ฝ่ายชาย แต่อีกรายงานหนึ่งซึ่งบันทึกโดยท่านอบูดาวู๊ด เป็นการบอกให้ทราบว่าการกระทำเช่นนี้เป็นที่ต้องห้ามแก่ทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นสามีหรือภรรยา ดังนั้นจึงเป็นการชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า คนที่มีฐานะเลวที่สุด ณ อัลลอฮฺในวันกิยามะฮฺ คือ ผู้ที่ฝ่าฝืนเรื่องนี้ทั้งสามีและภรรยา
ท่านอิมามอันนะวะวีย์ ร่อฮิมะฮุลลอฮฺ กล่าวไว้ในฮะดิษนี้ว่า
“เป็นการห้ามฝ่ายชาย (สามี) ที่จะเปิดเผยสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างเขาและภรรยาของเขาขณะที่หาความสุขสำราญกัน ตลอดจนห้ามบอกถึงรายละเอียดที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น ไม่ว่าจะเป็นการพูดหรือการกระทำ ฯลฯ”
(จากหนังสือ ศอฮี๊อฺมุสลิม บิชัรฮินนะวะวีย์ ญุซอฺที่ 10)
ท่านอิมาม มัจดิดดีน ร่อฮิมะฮุลลอฮฺ ได้จัดไว้ในบทว่าด้วย “การห้ามสามีภรรยาไม่ให้เปิดเผยสิ่งหนึ่งสิ่งใดในระหว่างที่มีการหลับนอนกัน” บทดังกล่าวได้ปรากฏในหนังสือ “มุนตะกออัลอัคบ๊ารฺ” และ ยังมีฮะดิษบทหนึ่งที่เปรียบเทียบผู้ที่ปฏิบัติเช่นนี้ว่าเป็นชัยฏอน
นักวิชาการฮะดิษหลายท่านเมื่อนำเสนอฮะดิษนี้มาได้กล่าวว่า “เป็นการห้ามไม่ให้ผู้เป็นสามีหรือภรรยาเปิดเผยเรื่องดังกล่าว”
อนึ่ง ถ้าหากว่ามีเรื่องจำเป็นที่จะต้องพูดถึงเรื่องนี้ ก็ไม่เป็นสิ่งต้องห้าม เช่น เมื่อฝ่ายหญิงอ้างว่าสามีของนางไม่หลับนอนกับนางหรือบังคับให้หลับนอนในสิ่งที่อิสลามห้าม หรือสามีตำหนิภรรยาของเขาว่าไม่ได้อยู่ในฐานะที่ให้เขาปฏิบัติหน้าที่ ในกรณีดังกล่าวนี้อิสลามอนุญาตให้แต่ละฝ่ายชี้แจงได้
อย่างไรก็ตาม ฮะดิษนี้นับเป็นฮะดิษที่ชี้ถึงมารยาทอันดีงามที่อิสลามต้องการรักษาไว้และกำชับให้ผู้ศรัทธาต้องปฏิบัติ ซึ่งเป็นการยืนยันว่านอกจากอิสลามจะรักษาเกียรติของมุสลิมแล้ว ยังให้มนุษย์รักษาความลับโดยไม่พูดสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ไร้สาระหรือไม่เกิดประโยชน์ และเป็นการให้คู่สมรสคำนึงถึงความสำคัญของการอยู่ร่วมกัน และแต่ละฝ่ายต้องพยายามปฏิบัติในสิ่งที่ดีที่สุดต่ออีกฝ่ายหนึ่ง และรักษาเกียรติซึ่งกันและกันไม่ว่าในทางลับหรือเปิดเผย
“แท้จริงผู้ที่เกรงกลัวอัลลอฮฺ ในบรรดาบ่าวของพระองค์ คือ บรรดาผู้มีความรู้”
(ฟาฏิร 35 : 28)
ที่มา เอกสารอัลอิศลาหฺ อันดับที่ 236-237