จริยศาสตร์อิสลามกับจริยศาสตร์แขนงอื่น
โดย อิจรลาลีย์
ความแตกต่างระหว่างจริยศาสตร์อิสลามกับจริยศาสตร์แขนงอื่น
จริยศาสตร์อิสลามมีความแตกต่างที่ชัดเจนจากจริยศาสตร์แขนงอื่นๆดังนี้1. จริยศาสตร์อิสลามมีเป้าหมายเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ และชี้แนะสู่หนทางที่พึงยึดถือและดำเนินตาม เพื่อให้เกิดการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมที่แท้จริง แต่จริยศาสตร์ทางปรัชญามุ่งเน้นแต่กฎเกณฑ์ภาคทฤษฎีเท่านั้น
2. ที่มาของจริยศาสตร์อิสลามมาจาก พระบัญชาแห่งพระเจ้า จึงเป็นบัญญัติที่มั่นคงถาวร เป็นแบบอย่างที่สูงส่ง สอดคล้องกับมนุษย์ทั้งหมดโดยไม่จำกัดว่าเพศใด วัยใด เวลา หรือ สถานที่ใด แต่จริยศาสตร์แขนงอื่นนั้น มีแหล่งที่มาจากสติปัญญามนุษย์ หรือเป็นการเห็นพ้องของชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง จึงย่อมที่จะเปลี่ยนแปลง และไม่มั่นคงได้เสมอ กฎเกณฑ์จริยธรรมของสังคมหนึ่ง อาจไม่ใช่สำหรับอีกสังคมหนึ่ง ความเห็นพ้องของสังคมหนึ่งก็อาจไม่ตรงกับความเห็นพ้องของอีกสังคมหนึ่ง เป็นต้น
3. การสร้างจิตสำนึกว่าจริยธรรมเป็นเรื่องสำคัญ จำเป็นของมนุษย์ สำหรับทัศนะอิสลามแล้ว คือ การรำลึกอยู่เสมอว่ามนุษย์เราทุกคนมีผู้คอยติดตาม สอดส่อง ดูแลอยู่เสมอ มนุษย์ไม่อาจรอดพ้น การเห็น การได้ยินของพระเจ้า เพราะพระองค์ ทรงรู้ ทรงได้ยิน และทรงมองเห็น ทุกการกระทำของเขาอยู่ตลอดเวลา แต่เกณฑ์ดังกล่าวสำหรับจริยศาตร์อื่นแล้ว อาศัยจิตใต้สำนึก หรือความรู้สึกกว่าเป็นหน้าที่ เป็นกฎเกณฑ์ที่พึงธำรงรักษา
4. จริยศาตร์อิสลามไม่แยกระหว่างศาสนากับการดำเนินชีวิต ไม่แยกระหว่างผู้สร้างกับผู้ถูกสร้าง กฎเกณฑ์จริยธรรมจึงกำหนดผลตอบแทนทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ตามแต่การกระทำของบุคคลนั้นَๆ ทุกสิ่งอย่างไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ไม่ว่าในที่ลับหรือที่แจ้งล้วนได้รับการตอบแทนอย่างเที่ยงธรรม พระคัมภีร์ระบุว่า
" ดังนั้น ผู้ใดกระทำความดี มีน้ำหนักเท่าละอองธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน ส่วนผู้ใดกระทำความชั่ว หนักเท่าละอองธุลี เขาก็จะได้เห็นมัน " ( อัซซัลซะละฮฺ 99 /7-8 )
กล่าวคือ ทุกความดีความชั่วที่มนุษย์ประกอบไว้ เขาจะพบมันถูกบบันทึกอย่างละเอียดในบันทึกของเขา เพื่อได้รับการตอบแทนอย่างครบถ้วน ทั้งนี้เป็นการสอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ว่า อัลลอฮจะไม่ทรงหลงลืมการงานใดของมนุษย์ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม ดังที่พระองค์ ตรัสว่า
"แท้จริง อัลลอฮ จะไม่ทรงอยุติธรรม แม้มีน้ำหนักเท่าละอองธุลี " ( อันนิซาอฺ 4 / 40 )
5. จริยศาตร์อิสลามไม่เป็นสมบัติที่บุคคลใดจะอ้างเป็นเจ้าของผูกขาดได้
จุดมุ่งหมายของจริยศาสตร์อิสลามเราทุกคนล้วนมีเป้าหมายในการดำเนินชีวิต หากแต่เป้าหมายชีวิตของผู้ศรัทธาไม่ได้จำกัดแต่เพียงโลกนี้เท่านั้น ผู้ศรัทธาปรารถนาการมีชีวิตที่ผาสุกทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ความสุขในโลกนี้ไม่ได้อยู่ที่การมีทรัพย์สินเงินทองมากมาย ไม่ได้อยู่ที่การมีอำนาจ มีเกียติยศชื่อเสียง มีหน้ามีตาในสังคม มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ แต่ความสุขที่แท้จริง คือการได้รับความพอพระทัยจากพระเจ้า การได้เป็นทีรักที่โปรดปรานของพระองค์
สำหรับโลกหน้าอันเป็นโลกที่จีรังถาวรนั้น ความสุขที่แท้จริงคือการได้พำนักในสรวงสวรรค์ของพระองค์ เป็นความสุขอันสถาพรและนิรันดร์กาลพระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสว่า " สำหรับบรรดาผู้ทำดีในโลกนี้ คือความดี ( ได้รับการตอบแทนที่ดี ) และแน่นอนในปรโลกนั้น ย่อมดีกว่า และที่พำนักของบรรดาผู้ยำเกรงนั้น ช่างดีเลิศ " ( อันนะฮลฺ 16 / 30 )
"แล้วผู้ใดที่ถูกให้ห่างไกลจากไฟนรก และถูกให้เข้าสวรรค์แล้วไซร้ แน่นอน เขาได้ชนะแล้ว" ( อาละอิมรอน 3 / 185 )
ความสุข คือ การรู้สึกผ่อนคลาย ปลอดภัย สงบ อบอุ่นใจ รับรู้ถึงความโปรดปราน ความพึงพอใจ ซึ่งความรู้สึกเหล่านี้ย่อมแตกต่างกันตามปัจเจกบุคคล อันเป็นผลจากการกระทำได้ประกอบไว้
จริยศาตร์อิสลามมุ่งเน้นที่ความสุขของโลกหน้า อันเป็นภาคผล เป็นรางวัลที่พระผู้เป็นเจ้าได้สัญญาไว้กับบ่าวของพระองค์ ในขณะเดียวกันอิสลามไม่ได้ละทิ้ง หรือเพิกเฉยต่อการใช้ชีวิตบนโลกนี้ อิสลามใช้ให้มนุษย์สร้างความสมดุลในการดำรงชีวิตทั้งในโลกนี้และในโลกหน้าพระคัมภีร์ระบุว่า "และจงแสวงหาสิ่งที่อัลลอฮ ได้ประทานแก่เจ้าในปรโลก และอย่าลืมส่วนของเจ้าแห่งโลกนี้ และจงทำความดี เสมือนกับที่อัลลอฮได้ทรงทำดีแก่เจ้า และอย่าแสวงหาความเสียหายบนหน้าแผ่นดิน แท้จริง อัลลอฮไม่ทรงโปรดบรรดาผู้บ่อนทำลาย" ( อัลก่อศ็อศ 20 / 77 )
" และจงกิน และจงดื่ม และจงอย่าฟุ่มเฟือย แท้จริงพระองค์ ไม่ทรงชอบบรรดาผู้ฟุ่มเฟือย" ( อัลอะรอฟ 7 / 31 )
ดำรัสของพระองค์ข้างต้นเป็นการบ่งถึง สิทธิของมนุษย์ในการตอบสนองความปรารถนาของตนด้วยกับข้อกำหนดตามหลักเกณฑ์ศาสนา พร้อมๆกับการตอบสนองจิตวิญญาณให้อิ่มเอม ด้วยกับการรำลึก การเชื่อฟังและจงรักภีกดีต่อพระองค์อัลลอฮ ตรัสว่า " และพวกเจ้า อย่าได้เป็นเช่นบรรดาผู้ที่ลืมอัลลอฮ มิฉะนั้น อัลลอฮจะทรงทำให้พวกเขาลืมตัวของพวกเขาเอง" ( อัลฮัชรฺ 59 / 19 )
การศรัทธาต่อโลกหน้า ศรัทธาต่อการสอบสวนคิดบัญชี ศรัทธาต่อการตอบแทนของพระองค์นั้น ไม่ได้หมายถึงต้องทำตนสุดโต่งในเรื่องศาสนา โดยไม่คำนึงถึงสิ่งอื่นในโลกนี้ แต่ชีวิตที่อิสลามปรารถนาคือ การผสมผสานกันอย่างสมดุลและลงตัวในการดำเนินชีวิตเพื่อโลกนี้และโลกหน้า
จงทำการงานเพื่อโลกนี้ของท่าน เสมือนกับว่าท่านจะมีชีวิตอยู่ตลอดไปและจงทำการงานเพื่อโลกหน้าของท่านเสมือนกับว่าท่านจะตายในวันพรุ่ง
อิสลามส่งเสริมจริยธรรมอย่างไร ?
1. อิสลามถือว่าการประพฤติปฏิบัติตนของผู้เป็นบ่าวเป็นสิ่งที่อยู่ในสายตาของพระผู้เป็นเจ้า ท่านศาสดามุฮัมหมัด กล่าวว่า
แท้จริงอัลลอฮ จะไม่ทรงมองที่รูปร่างและทรัพย์สมบัติของพวกท่าน หากแต่พระองค์ทรงมองที่จิตใจและการงานของพวกท่าน
ท่านอิหม่ามอิบนิก็อยยิมได้อธิบายว่า พึงทราบเถิดว่า ความสวยงามนั้นแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ สวยงามภายในและสวยงามภายนอก ความสวยงามภายในเป็นที่รักและถูกชื่นชมในตัวเอง ความสวยงามเหล่านั้นได้แก่ ความรู้ ปัญญา ความดี ความมีเกียรติ ความกล้าหาญ และความสวยงามภายในนี่เองที่อัลลอฮทรงทอดพระเนตร และเป็นที่ที่พระองค์ทรงรัก ตามที่ฮะดีสนี้ได้บอกไว้ ความสวยงามภายในจะประดับประดารูปร่างภายนอกให้สวยงาม แม้นว่าเขาจะไม่ได้มีรูปร่างที่งดงาม ความสวยงามจากภายในจะห่อหุ้มตัวเขาด้วยความงดงาม ความน่าเกรงขามและความอ่อนโยน เท่าที่จิตวิญญาณของเขาได้แสวงหามัน ใครที่พบเห็นเขาจะให้เกียรติ ใครที่สนิทสนมกับเขาจะหลงรัก ซึ่งเป็นสิ่งที่ประจักษ์จริงในสายตาของเรา ท่านจะเห็นได้ว่า คนดีที่มีจริยธรรมมีมารยาทอันดีงาม ถือเป็นผู้ที่งดงามที่สุด แม้ว่าเขาจะดำเมี่ยมหรือไม่มีความสวยงามใดๆเลยก็ตาม
2. จริยธรรมคือหน้าที่สำคัญของบรรดาศาสดาทั้งหลาย อิสลามถือว่าการขัดเกลาจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ การอบรมบ่มนิสัยให้มีคุณธรรมจริยธรรมนั้น ถือเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของบรรดาศาสนทูตของอัลลอฮ ดังที่พระองค์ทรงตรัสว่า
"แท้จริง อัลลอฮได้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อผู้ศรัทธา โดยที่พระองค์ได้ทรงส่งร่อซูลผู้หนึ่งจากพวกเขาเอง มายังพวกเขา เพื่อจะได้อ่านบรรดาโองการของพระองค์ให้พวกเขาฟัง และชำระขัดเกลาพวกเขาให้สะอาดบริสุทธิ์ และจะสอนคัมภีร์ และ ความรู้เกี่ยวกับข้อปฏิบัติในบัญญัติศาสนาแก่พวกเขา และแท้จริง เมื่อก่อนนั้น พวกเขาเคยอยู่ในความหลงผิดอันชัดแจ้ง " ( อาละอิมรอน 3 / 164 )
ท่านอิบนุ กะซี๊ร ได้อธิบายว่า อัลลอฮ ตะอาลา ทรงเตือนบ่าวผู้ศรัทธาของพระองค์ให้รำลึกถึงว่า การที่พระองค์ทรงส่ง ศาสดามุฮัมหมัด ศาสนทูตของพระองค์ มายังเหล่าผู้ศรัทธานั้น นับเป็นความโปรดปรานอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระองค์ทรงแต่งตั้งท่านเพื่อทำหน้าที่อ่านดำรัสอันชัดแจ้งของพระองค์ และทำให้ผู้ศรัทธาทั้งหลายสะอาดบริสุทธิ์จากความสกปรกโสมม ของนิสัยที่ชั่วช้าและพฤติกรรมที่เลวทรามในยุคสมัยแห่งความงมงาย
ท่านอิบนิ ซะอฺดียฺ ได้กล่าวว่า คำว่า ทำให้บริสุทธิ์ หมายความว่า ทำให้พฤติกรรมและจิตใจของพวกเจ้าสะอาดบริสุทธิ์ ด้วยกับการอบรมสั่งสอนบนพื้นฐานจริยธรรมที่งดงาม และขจัดความต่ำทรามทั้งหลายให้หมดไป อันได้แก่ การทำให้พวกเขาสะอาดบริสุทธิ์จากการตั้งภาคี ไปสู่การให้เอกภาพแด่อัลลอฮเพียงองค์เดียว จากความโอ้อวด ไปสู่ความบริสุทธิ์ใจ จากการโกหกสู่สัจจะวาจา จากการคดโกง สู่การเป็นที่ไว้วางใจ จากความโอหังสู่ความนอบน้อม จากมารยาทที่เลวทราม สู่มารยาทที่ดีงาม และจากการเกลียดชัง โกรธแค้น ตัดญาติขาดมิตร สู่ความรักใคร่ปรองดอง สมัครสมานสามัคคี เป็นต้น
พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสชมเชยศาสนทูตของพระองค์ว่า" แท้จริงเจ้า ( มุฮัมมัด )นั้น อยู่บนจริยธรรมอันยิ่งใหญ่ " ( อัลก่อลัม68 / 4 )
ท่านอิบนิ อับบาส ได้อธิบายว่า จริยธรรมอันสูงส่งในที่นี้ หมายถึง ศาสนาอันยิ่งใหญ่ คือหมายถึงศาสนาอิสลาม ท่านฮะซัน อัลบัศรีย์ อธิบายว่า หมายถึง จริยธรรมแห่งอัลกุรอาน และดังมีรายงานจากท่าน ซะอฺ อิบนิ ฮิชาม กล่าวว่า ฉันได้เคยถามท่านหญิง อาอิชะฮฺ ( ขออัลลอฮทรงพอพระทัยในตัวนาง ) ว่า
" โปรดบอกฉันถึงมารยาทของท่านศาสดา ด้วยครับ ท่านหญิงตอบว่า มารยาทของท่านคืออัลกุรอาน
ท่านอิบนิร่อญับ ได้อธิบายว่า หมายถึงท่านศาสดา มีความประพฤติตามจริยธรรมของอัลกุรอาน ท่านกระทำในสิ่งที่เป็นคำสั่งใช้ และออกห่างจากคำสั่งห้าม ทุกพฤติกรรมที่ดำเนินตามพระคัมภีร์จึงได้กลายเป็นอุปนิสัย เป็นความประพฤติ และเป็นธรรมชาติประจำตัวท่าน และสิ่งนี้เองที่นับเป็นจริยธรรมอันสูงส่งที่สุด มีเกียรติที่สุดและงดงามที่สุดท่านศาสดามุฮัมหมัด กล่าวว่า
แท้จริงแล้ว ฉันถูกส่งมาเพื่อทำให้จริยธรรมที่ดีงามนั้นครบถ้วนสมบูรณ์ ( บันทึกโดยอิหม่าม บุคอรี )
ดังนั้น จุดมุ่งหมายสำคัญในการที่พระองค์ทรงแต่งตั้งท่านเป็นศาสดา ก็เพื่อทำให้จริยธรรมเพียบพร้อมสมบูรณ์ เพื่อดำเนินตามกฎเกณฑ์อันสูงส่ง และ ทำให้ความประเสริฐสูงส่งนี้แพร่กระจายครอบคลุมอย่างกว้างขวาง ยิ่งไปกว่านั้น จุดมุ่งหมายของสาสน์ของพระองค์ยังเป็นเป้าหมายของจริยธรรม เพราะแน่นอนเหลือเกินว่า คำว่า"ศาสนา" หมายถึง การมีจริยธรรมอันดีงาม เพราะศาสนาที่ปราศจากจริยธรรมในตนเอง ย่อมเหมือนกับกฎหมายที่ปราศจากผู้พิพากษา
นักวิชาการมีความเห็นว่า ดำรัสของพระเจ้าที่ประมวลไว้ซึ่งความดี ความประเสริฐ และ คุณธรรมอันสูงส่ง ในดำรัสเดียวกัน ได้แก่ ดำรัสของพระองค์ที่ว่า
" แท้จริง อัลลอฮทรงกำชับพวกเจ้าให้คงไว้ซึ่ง ความยุติธรรม และการกระทำดี และการบริจาคแก่ญาติใกล้ชิด และพระองค์ทรงกำชับให้พวกเจ้าละเว้น การลามก และการชั่วช้า และการละมิด พระองค์ทรงตักเตือนพวกเจ้าในเรื่องนี้ เพื่อพวกเจ้าจักได้รำลึกถึง" ( อันนะหฺลฺ 16 / 90 )
สำนวนของอัลกุรอาน ด้านการเรียกร้องเชิญชวนสู่จริยธรรมนั้น เป็นสำนวนที่เรียกร้องให้มีการปฏิบัติโดยตรง มิใช่สำนวนของนักปราชญ์ในด้านการค้นหาทฤษฎี และตั้งหลักแบบตรรกวิทยา หรือการโต้แย้ง หากแต่เป็นสำนวนที่ว่าด้วยมูลฐานของคุณธรรมและความประเสริฐ โดยแจ้งให้ทราบถึงรายละเอียดแล้วจึงเชิญชวน ปลุกมุสลิมให้ตื่นตัวในการทำความดีอย่าสม่ำเสมอ หน้าที่ของบรรดาศาสนทูตของพระองค์ จึงหมายถึงการสั่งสอน ชี้นำสู่จริยธรรมอันสูงส่ง เพื่อขัดเกลาและเยียวยารักษาจิตใจของมนุษยชาติ3. อิสลามกำชับส่งเสริม ให้มีจริยธรรม ดังจะเห็นได้ชัดเจนจากจริยวัตรของท่านศาสดามุฮัมหมัด ท่านเป็นที่สุดแห่งตัวอย่างอันดีงาม จริยวัตรของท่านดำเนินตามแนวทางแห่งอัลกุรอาน อย่างสมบูรณ์ปราศจากข้อบกพร่องใดๆ อิสลามได้กำชับในเรื่องจริยธรรมมากมายหลายครั้งด้วยกัน ดังจะเห็นได้จากตัวอย่างต่อไปนี้ พระคัมภีร์ ระบุว่า
" และความดี และความชั่วนั้น หาได้เท่าเทียมกันไม่ เจ้าจงขับไล่(ความชั่ว)ด้วยสิ่งที่ดีกว่า แล้วเมื่อนั้น ผู้ที่ระหว่างเจ้าและระหว่างเขา เคยเป็นอริกัน ก็จะกลับกลายเป็นเยี่ยงมิตรที่สนิทกัน "( ฟุศศิลัต 41 / 34 )" แท้จริงความดีทั้งหลาย ย่อมลบล้างความชั่วทั้งหลาย " ( ฮูด 11 / 114 )
และวจนะท่านศาสดา ได้ระบุว่า
ผู้ที่ดียิ่งในหมู่พวกท่าน คือผู้ที่มีจริยธรรมที่สุดในหมู่พวกท่าน
ผู้ศรัทธาที่ประเสริฐสุดในการเป็นมุสลิม คือผู้ที่บรรดามุสลิมปลอดภัยจากลิ้นและมือของเขา และผู้ศรัทธาที่ประเสริฐสุดในการเป็นมุอมิน คือผู้มีมารยาทดีที่สุด ( บันทึกโดย อิมาม อัฏฏ็อบรอนีย์ )
บรรดาผู้ศรัทธาที่มีศรัทธาสมบูรณ์ที่สุดนั้น คือผู้มีจริยธรรมที่ดีที่สุด ( บันทึกโดยอิมาม บุคอรี )
ในวันกิยามะฮฺ ( วันแห่งการตัดสิน )ไม่มีสิ่งใดที่จะมีน้ำหนักในตาชั่งของมุอฺมิน ยิ่งไปกว่า การมีจริยธรรมอันดีงาม ( บันทึกโดย อิมามอะฮฺหมัด และอบูดาวูด )ท่านศาสดา ถูกถามว่า อะไรคือสิ่งที่ทำให้เข้าสวรรค์ได้มากที่สุด ท่านตอบว่า
การยำเกรงต่ออัลลอฮ และการมีจริยธรรมดี ( บันทึกโดยอิมาม บุคอรีย์ )
ความดี คือ การมีความประพฤติที่ดีงาม ส่วนมลทิน (บาป ) คือ สิ่งที่สร้างความเคลือบแคลงในใจท่าน และไม่อยากให้ผู้อื่นเห็นและจากคำวิงวอน ( ดุอาอฺ ) ของท่าน ก็เป็นเครื่องบ่งชี้อย่างดีถึงความสำคัญของจริยธรรมดังที่ท่านเคยวิงวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าว่า
ข้าพระองค์ขอความคุ้มครองต่อพระองค์ ให้พ้นจาก มารยาทที่ไม่ดีงามทั้งหลาย ( บันทึกโดย ติรมีซีย์)
ขอพระองค์ทรงโปรดนำทางข้าพระองค์สู่จริยธรรมที่ประเสริฐที่สุด ไม่มีใครสามารถชี้นำข้าพระองค์สู่จริยธรรมที่ประเสริฐที่สุดได้ นอกจากพระองค์ และโปรดทรงทำให้พฤติกรรมที่ไม่ดี ไกลห่างจากข้าพระองค์ ไม่มีใครสามารถทำให้พฤติกรรมที่ไม่ดีห่างไกลจากข้าพระองค์ได้ นอกจากพระองค์ ( บันทึกโดยอิมาม มุสลิม )
เพียงเท่านี้ก็เป็นที่บ่งชี้ให้เห็นชัดเจนแล้วว่า สำหรับอิสลามแล้วจริยธรรมถือเป็นทั้งหมดของศาสนา เป็นการศรัทธาอันจริงแท้ และเป็นบทบัญญัติอันสูงส่งของอิสลาม
การเสริมสร้างจริยธรรมอิสลามอิสลามถือว่าการปรับปรุงแก้ไขหรือการให้ได้มาซึ่งจริยธรรมอาจกระทำได้โดยวิธีดังต่อไปนี้
1. ด้วยการพยายามลดผลที่เกิดจากพฤติกรรมบางอย่าง และหักห้ามตนเองจากการทำตามอารมณ์ ซึ่งเป็นวิธีการเฉพาะที่สามารถปรับใช้กับพฤติกรรมที่เป็นนิสัยแต่กำเนิด เช่น ความโกรธ ดังปารกฏในวจนะศาสดาที่ว่า
มีชายคนหนึ่งกล่าวกับท่านศาสดาว่า ได้โปรดกรุณาสั่งเสียฉันเถิด ท่านศาสดากล่าวว่า ท่านจงอย่าโกรธ ชายผู้นั้นได้กล่าวคำขอร้องของเขาหลายครั้ง ท่านศาสดาตอบเขาว่า ท่านจงอย่าโกรธ (บันทึกโดย อิมามบุคอรี)
นักวิชาการได้อธิบายวจนะท่านศาสดาดังกล่าวว่า การห้ามโกรธนั้น หมายถึงห้ามกระทำตามผลของความโกรธ คืออย่าให้ความโกรธมีผลต่อการกระทำ ไม่ได้หมายถึงห้ามมิให้โกรธ เพราะการโกรธเป็นธรรมชาติของปุถุชน เป็นลักษณะนิสัยที่ไม่อาจถอดถอนจากความเป็นมนุษย์ได้ ดังนั้น การพัฒนาลักษณะที่เป็นความโกรธ ไม่ได้หมายถึงการถอดถอนความโกรธให้หมดสิ้น แต่หมายถึงการควบคุมไม่ให้ความโกรธส่งผลต่อการกระทำดังมีระบุในพระคัมภีร์ว่า
"และบรรดาผู้ข่มโทสะ และบรรดาผู้ให้อภัยแก่เพื่อนมนุษย์ " ( อาละอิมรอน 3 / 34 )
จากดำรัสข้างต้น อัลลอฮ ทรงสรรเสริญ ยกย่องผู้ที่สามารถระงับ ควบคุมการโกรธ ไม่ได้หมายถึงผู้ที่ถอดถอนความโกรธออกจากตนเองได้แต่อย่างใด
" และเมื่อพวกเขาโกรธ พวกเขาก็ให้อภัย " ( อัชชูรอ / 37 )
ท่านศาสดามุฮัมหมัด ได้กล่าวว่า
ผู้ที่เข้มแข็งหาใช่ผู้ที่ทำให้ผู้อื่นล้มลงได้ แต่ผู้ที่เข้มแข็งที่แท้จริง คือผู้สามารถควบคุมตนเองในขณะโกรธได้ ( บันทึกโดยอิมามบุคอรีและอิมามมุสลิม )
การที่อิสลามสอนมุสลิมให้มีลักษณะเช่นนี้ ก็เพราะอิสลามต้องการให้มนุษย์รู้ว่า ชัยชนะที่แท้จริงนั้น คือการควบคุมตนเอง และการพ่ายแพ้ที่แท้จริง คือการคล้อยตามอารมณ์และละเมิดบทบัญญัติศาสนา
2. ด้วยการปรับเปลี่ยนความขุ่นมัวที่มีในลักษณะนิสัยที่ไม่ดีงามให้เป็นพฤติกรรมที่ดีงามตามคำเรียกร้องของอิสลามโดยแท้จริง อาทิเช่น ความกล้าหาญที่ถูกใช้ไปในการรังแกผู้อ่อนแอหรือทำร้ายผู้บริสุทธิ์ การมีใจบุญที่แฝงด้วยความโอ้อวด เป็นต้น ทั้งสองเป็นจริยธรรมที่ดีงามแต่ถูกนำไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ของอิสลาม อิสลามใช้ให้กล้าหาญเพื่อช่วยเหลือผู้อ่อนแอ ขจัดความไม่ชอบธรรมทั้งหลาย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่ออัลลอฮ แต่เพียงผู้เดียว เช่นเดียวกับความใจบุญ ก็จำเป็นต้องแสดงออกเพื่อพระองค์เพียงองค์เดียว โดยไม่มีสิ่งอื่นใดแอบแฝง พระคัมภีร์ระบุว่า" โอ้บรรดาผู้ศรัทธา พวกเจ้าจงอย่าทำให้ทานของพวกเจ้าไร้ผล ด้วยการลำเลิกและสร้างความเดือดร้อน " (อัลบะเกาะเราะฮ 2 / 264 )
3. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่ดีด้วยจริยธรรมที่ดีงาม เช่น เปลี่ยนจากการโกหก เป็นการมีสัจจะวาจา จากการทรยศหักหลังเป็นการซื่อสัตย์ จากอธรรมเป็นยุติธรรม การเปลี่ยนแปลงปรับปรุงเช่นนี้ ย่อมทำให้พฤติกรรมที่ไม่ดีหมดสิ้นไป จริยธรรมที่งดงามจะเข้ามาแทนที่ ดังเช่นการเปลี่ยนแปลงของผู้กลับเนื้อกลับตัวอย่างแท้จริง
Part 3 >>>>Click
Part 5 >>>>Click