ความพร้อมสมบูรณ์ของศาสนาอิสลาม
  จำนวนคนเข้าชม  13355

 

ความพร้อมสมบูรณ์ของศาสนาอิสลาม

โดย... อ.ดาวูด รอมาน

 

 

      อัลลอฮ์ ทรงประกาศความเสร็จสมบูรณ์ ของศาสนาอิสลามไว้ว่า

" วันนี้ข้าได้ให้สมบูรณ์แก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งศาสนาของพวกเจ้า

และข้าได้ให้ครบถ้วนแก่พวกเจ้าแล้ว ซึ่งความกรุณาเมตตาของข้า  และข้าได้เลือกอิสลามให้เป็นศาสนาแก่พวกเจ้า "

(อัลมาอิดะฮ์ / 3)

 

         โองการนี้ ได้บ่งบอกถึงความเสร็จสมบูรณ์ ของศาสนาอิสลามอันเป็นสิ่งที่พอเพียง กับทุกๆความต้องการของมนุษย์และญิน ท่านอิหม่าม อิบนุกะซีร ได้กล่าวไว้ในตัฟซีรของท่าน เล่มที่ 2 หน้าที่ 19 มีใจความว่า

        "นี่เป็นความโปรดปรานอันยิ่งใหญ่ ที่อัลลอฮ์ ทรงมอบให้แก่ประชาชาติ นั่นคือ การที่อัลลอฮ์ ทรงทำให้ศาสนาของพวกเขาเสร็จสมบูรณ์ ทั้งนี้ก็เพื่อพวกเขาต้องไม่ไปแสวงหาหนทางอื่น นอกจากอิสลาม และเพื่อว่าพวกเขาจะไม่ไปแสวงหานะบีคนใดอีกแล้ว นอกจากนะบีของพวกเขาเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ อัลลอฮ์จึงทำให้ท่านนะบีมุฮัมมัด เป็นนะบีท่านสุดท้ายแห่งญิน และมนุษย์ และไม่มีข้ออนุมัติใดนอกจากเป็นข้ออนุมัติของอัลลอฮ์ และไม่มีข้อห้ามใด นอกจากเป็นข้อห้ามของพระองค์ และไม่มีแนวทางใดนอกจากเป็นกำหนดของพระองค์"

         และทุกสิ่งที่พระองค์ล่าวไว้ย่อมเป็นสัจจะเสมอ โดยไม่มีการโกหกและบิดพลิ้ว ดังที่อัลลอฮ์  ทรงตรัสว่า

" และถ้อยคำแห่งพระเจ้าของฉันนั้นครบถ้วนแล้ว ซึ่งความสัจจะและความยุติธรรม

ไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงบรรดาถ้อยคำของพระองค์ได้และพระองค์นั้นคือผู้ทรงได้ยิน ผู้ทรงรอบรู้ "

(อัล อันอาม / 115)

         กล่าวคือ คำพูดของอัลลอฮ์  สัจจริงในทุกเรื่องราว ยุติธรรมในการสั่งใช้และสั่งห้าม ดังนั้นเมื่อพระองค์ทรงให้ความสมบูรณ์แก่ศาสนาอิสลาม เท่ากับว่าทรงให้ความโปรดปราน ความเมตตาที่มีต่อพวกเขาครบถ้วนเช่นกัน

         หากว่ามีผู้หนึ่งได้ประดิษฐ์สิ่งใหม่ขึ้นมาในศาสนา โดยเพิ่มเติมจากเดิม จึงถือว่าเขาได้มาแก้ไขบทบัญญัติ และคำประกาศของอัลลอฮ์ เพราะการกระทำดังกล่าว ทำให้เข้าใจว่าบทบัญญัติของอัลลอฮ์ยังมีความบกพร่อง และยังไม่สมบูรณ์ ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่ฝ่าฝืนคำสั่งที่มีอยู่ในอัลกุรอาน

 

        จาก ฎอริก อิบนุ ซิฮาบ ได้กล่าวว่า 

"ยิวคนหนึ่ง ได้กล่าวแก่ท่านอุมัรว่า : แท้จริงพวกท่านได้อ่านโองการหนึ่งในคัมภีร์ของพวกท่านหรือไม่ ซึ่งหากว่าโองการดังกล่าวได้ถูกประทานลงมาให้กับพวกเราชาวยิวแล้วละก็ แน่นอนว่า เราจะเอาวันที่ประทานโองการนั้นมาเป็นวันรื่นเรง

ท่านอุมัร กล่าวว่า : แล้วมันคือโองการใดเล่า ?

พวกยิวตอบว่า : คือ โองการที่ว่า "วันนี้ข้าได้ทำให้ศาสนาของพวกเจ้าสมบูรณ์ แข้ได้ทำให้ความเมตตาของข้าสมบูรณ์แก่พวกเจ้าแล้ว"

ท่านอุมัร กล่าวว่า : ขอสาบานต่ออัลลอฮ์ แน่นอนว่า ฉันรู้ดีถึงวันที่โองการนั้นลงมายังท่านเราะซูล ตลอดเวลาที่โองการนั้นลงมา (กล่าวคือ ถูกประทานลงมายังท่านเราะซูล ในตอนเย็นวันอะรอฟะฮ์ ที่ตรงกับวันศุกร์ เดือน ซุลฮิจญะฮ์ ที่ 10 )"  

(บันทึกโดย บุคอรีย์ และมุสลิม) 

        จาก อบีซัรริน อัลฆิฟารีย์  กล่าวว่า "ท่านเราะซูลได้จากพวกเราไป โดยที่ไม่มีแม้กระทั่งนกที่โบยบินอยู่ในอากาศ เว้นแต่ท่านได้กล่าวความรู้ จากมันให้แก่พวกเราได้รับรู้"  อบีซัรริน เล่าว่า  ท่านเราะซูล  กล่าวว่า :

"ไม่มีสิ่งใดที่ทำให้เข้าใกล้สวรรค์ และทำให้ห่างไกลนรกหลงเหลืออีกแล้ว นอกจากมันได้ถูกชี้แจงแก่พวกท่านทั้งหมดแล้ว"

(บันทึกโดย ฎอบรอนีย์)

         ฮะดิษบทนี้ได้ชี้แจงเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ทุกสิ่งที่ทำให้เข้าใกล้สวรรค์นั้น ท่านนะบีได้อธิบายให้พวกเราได้รับรู้หมดแล้ว และทุกสิ่งที่ทำให้ห่างไกลนรกนั้น ท่านก็ได้บอกพวกเราให้รับรู้หมดแล้ว  ดังนั้นการประดิษฐ์ หรือการอุตริสิ่งใหม่ขึ้นในศาสนา อันที่จริงมันคือการแก้ไข การดัดแปลง การต่อเติมบทบัญญัติศาสนา และมันเป็นความกล้าหาญที่น่าเกลียด อันเป็นผลมาจากการที่บทบัญญัติยังไม่สมบูรณ์ ยังไม่พร้อมจึงต้องมีการต่อเติม

          เหล่าซอฮาบะฮ์ของท่านเราะซูล ต่างมีความเข้าใจตรงกันว่า ศาสนาอิสลามนั้นเสร็จสมบูรณ์แล้ว ดังนั้นท่านอิบนุมัสอูด ได้กล่าวว่า

"พวกท่านทั้งหลายจงปฏิบัติตาม และพวกท่านทั้งหลายอย่าประดิษฐ์สิ่งใหม่ เพราะแน่นอนว่าเป็นที่พอเพียงแก่พวกท่านแล้ว

 และทุกๆการอุตริกรรมนั้น เป็นการหลงผิดทั้งสิ้น"

 (บันทึกโดย อบูฮัยซะมะฮ์)

          สรุป พวกที่คิดดีโดยการประดิษฐ์สิ่งใหม่นั้น ตามความเชื่อของพวกเขา คือ บัญญัติศาสนายังไม่เสร็จสมบูรณ์ และกับคำประกาศของอัลลอฮ์ ถึงความสมบูรณ์ของศาสนานั้น พวกเขาไม่ได้นำไปพิจารณาเลย

ท่านอิบนุลมาญิซูน ได้กล่าวว่า ฉันได้ยินอิหม่าม มาลิก กล่าวว่า

        "ใครที่ประดิษฐ์สิ่งใหม่ขึ้นมาในศาสนาหนึ่งเรื่อง โดยเห็นว่ามันเป็นเรื่องดี แน่นอนเขาได้กล่าวหาว่า ท่านนะบีมุฮัมมัด นั้น บิดพลิ้วสาสน์ของอัลลอฮ์ เพราะอัลลอฮ์ ได้กล่าวว่า "วันนี้ข้าได้ทำให้ศาสนาของพวกท่านสมบูรณ์แล้ว"  ดังนั้นในวันนี้ สิ่งใดที่ไม่ได้เป็นศาสนา ในวันนี้มันก็ไม่ได้เป็นศาสนา"

(หนังสือ อัล เอี๊ยติวอม 1/49)

          ดังนั้นแนวทางของศาสนา และการทำอิบาดะฮ์ที่ถูกต้องนั้น ต้องได้มาจากการกำหนดของอัลลอฮ์ โดยผ่านมาทางท่านเราะซูล  ใครที่มาเพิ่มเติม หรือมาตัดทอนในสิ่งที่เราะซูลได้กำหนด แน่นอนว่าได้ฝ่าฝืนอัลลอฮ์ และเราะซูล ซึ่งเหมือนกับว่า เขาได้ปรุงยาขึ้นมาเอง บางครั้งยาของเขากลายเป็นโรค และการทำอิบาดะฮ์ของเขากลายเป็นการทำความชั่ว โดยไม่รู้ตัว เพราะศาสนานั้นได้เสร็จสมบูรณ์ทุกกระบวนการ ใครที่เพิ่มเติมสิ่งใดในศาสนา เท่ากับว่าเขาเชื่อว่าศาสนานั้นบกพร่อง และเขาคือผู้ที่ทำให้ศาสนาสมบูรณ์ด้วยตัวของเขาเอง และด้วยการมโนภาพที่ไร้ค่า

 

         ท่านอิหม่าม เซากานีย์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือ "อัลเกาลุลมุฟีด" หน้าที่ 38 เพื่อตอบโต้นักอุตริกรรมว่า

        "เมื่ออัลลอฮ์ ได้ทรงทำให้ศาสนาอิสลาม เสร็จสมบูรณ์ก่อนที่พระองค์จะทรงเก็บชีวิตนะบีของพระองค์ไป ดังนั้นกับสิ่งที่นักอุตริกรรมได้คิดค้นประดิษฐ์กันขึ้นมา หลังจากที่พระองค์ทรงทำให้ศาสนาสมบูรณ์แล้ว จะเรียกมันว่าอะไร ?

 

- หากว่าอุตริกรรมนั้น เป็นศาสนาตามความเชื่อของพวกเขา ก็หมายความว่าอิสลามยังไม่เสร็จสมบูรณ์ นอกจากต้องด้วยความคิดของพวกเขา เมื่อเป็นเช่นนั้นมันเป็นการปฏิเสธอัลกุรอาน ที่ประกาศความสมบูรณ์ของอิสลาม

 

- หากว่าสิ่งที่เป็นอุตริกรรม ไม่ได้เป็นเรื่องของศาสนา ดังนั้น มันไม่มีประโยชน์ที่จะไปขวนขวายกระทำสิ่งที่ไม่ได้เป็นศาสนา"

 

        นี่เป็นหลักฐานเด็ดขาด และยิ่งใหญ่ ที่นักอุตริกรรมแย้งไม่ขึ้น ดังนั้นจงทำให้โองการดังกล่าวเป็น"โองการที่ตีแสกหน้า เพื่อทำให้ข้ออ้างต่างๆ ต้องเป็นโมฆะไป"

 

ทุกๆสิ่งที่ประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ในศาสนา หลังจากโองการดังกล่าวได้ถูกประทานลงมา จึงเป็นส่วนเกิน เป็นการต่อเติม และเป็นอุตริกรรม