ความหมายจริยศาสตร์
โดย อิจรลาลีย์
เชิงภาษา จริยะในภาษาอาหรับตรงกับคำว่า الأخلاق ( อัล-อัคลาค ) ซึ่งในรูปศัพท์แล้ว คำว่า “ อัคลาก” เป็น พหูพจน์ของ الخلق ( อัล-คุลุก ) หมายถึง สัญชาติญาณ ความเคยชิน ธรรมชาติที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ สิ่งที่ประพฤติปฏิบัติอยู่เป็นประจำ คำว่า “ คุลุก” มีปรากฏอยู่ในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน อยู่ 2 ที่ ดังในบท อัล-กอลัม ดำรัสที่ว่า
" และแท้จริงเจ้านั้น อยู่บนคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ " ( 68/4 )
และในบท อัชชุอะรออฺ ดำรัสที่ว่า
" นี่ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากเป็นเรื่องโกหกในสมัยก่อนๆ" ( 19 / 137 )
พระดำรัสของอัลลอฮ ที่ปรากฏคำว่า “คุลุก” ในสองที่นี้ ให้ความหมายต่างกัน ดังปรากฏว่าในที่แรก เป็นการกล่าวในลักษณะสรรเสริญ ชมเชย ฐานะเป็นบรรทัดฐานพฤติกรรม คุณธรรมหรือจริยธรรมในที่นี้มาจากพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งพระองค์ทรงประทานผ่านเทวทูตแห่งพระองค์ แก่หัวใจของท่านศาสดามุฮัมหมัด เพื่อบัญชาให้ท่านยึดถือเป็นคุณธรรมประจำตัวท่านและเป็นแบบฉบับอันดีงามแก่ผู้ติดตามท่านในภายหลัง หมายถึงเมื่อพระองค์ทรงประทานอัลกุรอานเป็นบทบัญัติแห่งพระองค์แก่ท่านศาสดาแล้ว ท่านศาสดามีน้าที่โดยสมบูรณ์ในการปฏิบัติตามสิ่งที่พระองค์ทรงบอกกล่าวไว้ในพระคัมภีร์ ซึ่งแน่นอนว่าพฤติกรรมทั้งหมดของท่านล้วนเป็นอรรถาธิบายที่ลึกซึ้ง ละเอียดลออแก่พระคัมภีร์ จึงสรุปได้ว่า คำว่า “คุลุก” ในความหมายแรก หมายถึง ธรรมชาติประจำตัวมนุษย์ ความเคยชิน สัญชาติญาณ ที่อัลลอฮ ทรงกำหนดไว้เป็นธรรมชาติของความเป็นมนุษย์
ขณะที่อีกพระดำรัสหนึ่งเป็นการกล่าวบรรยายถึงคุณลักษณะที่สืบต่อกันมาของชนรุ่นก่อน กล่าวคือเป็นธรรมเนียมประเพณี สืบต่อกันมาจากชนก่อนหน้าท่านศาสดาฮู๊ด อะลัยฮิสสลาม ( Hud ) ที่ทำหน้าที่เชิญชวน ตักเตือน แต่แล้วกลุ่มชนของท่านกลับตอบรับท่านด้วยการปฏิเสธและเย้ยหยัน โดยกล่าวอ้างว่าสิ่งที่ท่านนำมานั้นเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของชนรุ่นก่อนๆ
จริยธรรมในเชิงภาษาแล้วจึงหมายความถึง ภาคแสดงภายในของมนุษย์ ซึ่งก็คืออุปนิสัย หรือ ธรรมชาติตัวตนที่แท้จริงของบุคคลนั้นๆ ส่วนภาคแสดงภายนอกนั้น เรียกว่า พฤติกรรม หรือความประพฤติ ที่เปิดเผยและแสดงออกมา หากเป็นพฤติกรรมที่ดี ก็ถือว่ามีจริยธรรม และหากเป็นพฤติกรรมตรงกันข้าม ก็ถือว่าไร้จริยธรรม ดังนั้น ความประพฤติจึงถือเป็นเครื่องหมายบ่งชี้ถึงอุปนิสัยภายในและพฤติกรรมภายนอก
ความหมายสากล
คือ ศาสตร์ที่ว่าด้วยเรื่องของชีวิตที่มีจริยธรรม สนับสนุนให้รู้จักจุดมุ่งหมายของชีวิต ชี้แจงถึงกฏเกณฑ์การตัดสินและมาตรวัดระดับจริยธรรม เป็นศาสตร์ที่อธิบายถึงความหมายของความดีและความชั่ว ดีคืออะไร ไม่ดีคืออะไร แบบอย่างอันสูงส่งที่มนุษย์พึงยึดถือปฏิบัติตามคืออะไร จริยศาสตร์ศึกษาว่า อะไรควรเว้น อะไรควรทำ อะไรผิด อะไรถูก อะไรดี อะไรชั่ว โดยเปรียบเทียบความประพฤตินั้นกับความดีเลิศทั้งหลาย
กล่าวโดยสรุปคือ “เป็นศาสตร์ที่นำพาสู่หนทางที่พึงกระทำ สู่สิ่งที่พึงจะเป็น” จริยศาสตร์จึงถือเป็นตัวแปรสำคัญในการชี้นำบุคคลให้อยู่บนรากฐานการตัดสินใจที่มั่นคง แน่วแน่ ไม่คล้อยตามอารมณ์และความต้องการของตน เป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยอุดมคติอันสูงสุดที่มีความสัมพันธ์อยู่กับชีวิตมนุษย์
จริยศาสตร์(Ethics) หมายถึงสาขาหนี่งของปรัชญาที่ว่าด้วยการแสวงหาความดีสูงสุดของชีวิตมนุษย์ การแสวงหากฎเกณฑ์ในการตัดสินความประพฤติของมนุษย์ว่าอย่างไรถูก ไม่ถูก ดี ไม่ดี ควร ไม่ควร จะพิจารณาของคุณค่าทางศีลธรรม (ราชบัณฑิตยสถาน,2540:34)
สำหรับคำนิยามเฉพาะของจริยศาสตร์ อิสลาม คือ ศาสตร์ที่ประมวลไว้ด้วยเรื่องของคำพูด การกระทำ ที่จำเป็นต้องตั้งอยู่บนมูลฐาน กฎเกณฑ์ กติกามารยาท ที่สอดคล้องและสัมพันธ์อย่างแนบแน่นกับคัมภีร์ของอัลลอฮ และแนวทางการปฏิบัติของท่านศาสดามุฮัมหมัด จริยธรรมจึงไม่ได้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของศาสนาแต่เป็นแก่นแท้ เป็นจิตวิญญาณของอิสลาม
พฤติกรรมตามธรรมชาติของมนุษย์
พฤติกรรม คือ การกระทำตามเจตจำนงค์ เพื่อให้เกิดผลดังที่ตั้งเจตนาไว้ การกระทำที่เป็นผลจากเจตจำนงค์ จากความคิด ความตั้งใจของผู้กระทำเท่านั้นที่เรียกว่าพฤติกรรม และเป็นการกระทำที่แบ่งแยกระหว่างมนุษย์กับสัตว์ เพราะสัตว์มีเพียงการกระทำที่มาจากสัญชาติญาณเท่านั้น และมนุษย์เป็นผลจากการผสมผสานระหว่างดินและวิญญาณ จึงเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่พร้อมประพฤติในด้านดีและด้านไม่ดีอย่างเท่าเทียม หากแต่มนุษย์ทุกคนถูกสร้างมาพร้อมกับการมีสิทธิ์เลือกอย่างเสรีระหว่างสิ่งดีและสิ่งไม่ดี ดังปรากฏในพระคัมภีร์ ว่า
"พระองค์ทรงดลใจชีวิตให้รู้ทางดีและทางชั่ว" ( อัชชัมซฺ 91/ 8 )
"และเรา( อัลลอฮ )ได้ชี้แนะทางแห่งความดีและความชั่วให้แก่เขาแล้ว" (อัลบะลัด 90 /10 )
พลังธรรมชาติที่ฝังอยู่ในมนุษย์ทุกคน คือ พลังแห่งสติปัญญา พลังแห่งความคิด ใครที่ใช้สติปัญญาในการขัดเกลาตนเอง ทำให้ตนบริสุทธิ์จากสิ่งไม่ดีทั้งหลาย นั่นย่อมแสดงถึงชัยชนะ ส่วนใครที่ดับพลังสติปัญญานี้ ย่อมพบกับความผิดหวังและขาดทุน
" แน่นอน ผู้ที่ขัดเกลาชีวิต ย่อมได้รับความสำเร็จ และแน่นอนผู้หมกมุ่นในการชั่ว ย่อมล้มเหลว" ( อัชชัมซฺ 91/ 9-10 )
จะเห็นได้ว่า พฤติกรรมมนุษย์เป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงได้เสมอ หากได้รับการอบรม ขัดเกลา เมื่อมนุษย์เคยชินกับภาวะแวดล้อมใด พฤติกรรมมนุษย์ก็สามารถคล้อยตามสภาวะแวดล้อมนั้นๆ อิสลามจึงได้ส่งเสริมและกำชับในเรื่องจริยธรรมอันดีงาม หากพฤติกรรมมนุษย์เป็นสิ่งคงที่ ไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว ก็เท่ากับว่า อิสลามได้สั่งใช้ในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ หรือ กลายเป็นว่าบัญญัติอิสลามเป็นสิ่งไม่มีความหมาย ซึ่งดังกล่าวเป็นไปไม่ได้โดยเด็ดขาด
ท่านศาสดา มุฮัมมัด กล่าวว่า
“ความสุขุมมีขึ้น ด้วยการหมั่นสุขุม ความอดทนมีขึ้น ด้วยการหมั่นอดทน และะความรู้จะมีขึ้น ด้วยการหมั่นเรียนรู้”
พระคัมภีร์อัลกุรอานระบุว่า
"และจงตักเตือนเถิด แท้จริง การตักเตือนนั้นจะยังประโยชน์แก่บรรดาผู้ศรัทธา " ( อัซซาริย๊าต 51 / 55 )
จึงเป็นที่เข้าใจชัดเจนแล้วว่า อุปนิสัย พฤติกรรมของมนุษย์ย่อมสามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้เสมอ หากมนุษย์ถูกสร้างมาพร้อมกับอุปนิสัยที่ตายตัวแล้ว การตักเตือนดังปรากฏในพระดำรัสข้างต้น จะมีประโยชน์ต่อมนุษย์ได้อย่างไร
ความสัมพันธ์ระหว่างจริยธรรมและพฤติกรรมมนุษย์
เมื่อทราบแล้วว่าอุปนิสัยคือภาคแสดงภายในตัวมนุษย์ และพฤติกรรมคือภาคแสดงภายนอก ทั้งสองจึงมีความสัมพันธ์อย่างแนบแน่น เปรียบดั่งลักษณะความสัมพันธ์ของ ผล และ เหตุ ของสิ่งที่เกิดและสิ่งที่ทำให้เกิด หากแต่ไม่สามารถกล่าวได้ว่า เฉพาะอุปนิสัยเท่านั้นที่ส่งผลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ เพราะในความเป็นจริงแล้วยังคงมีภาวะแวดล้อมอื่นๆที่เกี่ยวข้องและอาจส่งผลโดยตรงต่อพฤติกรรมของมนุษย์ ซึ่งสิ่งดังกล่าวอาจสามารถระงับพฤติกรรมนั้นๆจากผู้กระทำได้ ดังเราจะเห็นได้ว่า ไม่จำเป็นที่ผู้ที่ได้ชื่อว่ากล้าหาญ จะต้องเป็นคนกล้าหาญอยู่ตลอดเวลา เพราะในบางสถานการณ์ความเจ็บป่วยอาจทำให้เขาไม่สามารถแสดงถึงความกล้าหาญของตนในสถานการณ์ใด สถานการณ์หนึ่งได้ เป็นต้น
Part 2 Next >>>>Click