หน้าที่สตรีกับความสมดุลทางสังคมในอิสลาม
  จำนวนคนเข้าชม  13389

หน้าที่สตรีกับความสมดุลทางสังคมในอิสลาม

โดย อ.อิมรอน มะกูดี

          อัลลอฮ์ ทรงสร้างอาดัม โดยที่ยังไม่มีสตรีใดมาก่อนหน้าอาดัมเลย และพระองค์ทรงเดชานุภาพถ้าจะบรรดาลให้โลกทั้งผองมีแต่ผู้ชายเท่านั้น หรือจะให้มีแต่ผู้หญิง แต่ทว่าพระองค์ผู้ทรงปรานี ผู้ทรงรอบรู้ ทรงรู้ดีว่าจะทรงสร้างผู้ใด พระองค์ทรงบังเกิดอาดัม และสร้างฮาวาเพื่อให้อาดัมได้รับความปกติสุข และมีความพึงพอใจในตัวนาง

          ดังนั้นพระองค์ทรงบังเกิดเพศชาย และเพศหญิง และทรงกำหนดให้แต่ละเพศนั้นมีหน้าทีการงานของตน ในการดำรงชีวิต พระองค์ทรงตระเตรียมไว้สำหรับแต่ละเพศ ซึ่งเรือนร่างที่เหมาะสม เพื่อปฏิบัติหน้าที่ของตน และสิ่งที่ไม่ต้องสงสัย คือ ไม่มีผู้ใดที่อัลลอฮ์ทรงสร้างมา สามารถเปลี่ยนแปลงเรือนร่างผู้หญิง หรือผู้ชาย โดยที่จะให้ฝ่ายหนึ่งทำหน้าที่ของอีกฝ่ายหนึ่ง นอกจากหน้าที่ ที่อัลลอฮ์ทรงบังเกิดเขาขึ้นมา และยังไม่มีผู้ใดพิสูจน์ว่าผู้หญิง หรือชาย ประสบความล้มเหลวทางการดำเนินชีวิตตามที่พระองค์ทรงกำหนดขึ้นมา และไม่ปรากฏหลักฐานอีกเช่นกันว่า บุคคลใดในสองเพศประสบความสำเร็จในการปฏิบัติหน้าที่ของตน จนทำให้เขามีความสามรถ มีเวลาว่าง และมีความเหมาะสมในการปฏิบัติหน้าที่ของคนอื่น คู่เคียงไปกับหน้าที่ของตนเอง

          หน้าที่ของผู้ชาย คือ การแสวงหาปัจจัยยังชีพ ที่เหมาะสมสำหรับครอบครัว ภายในขอบข่ายของพลังความสามารถ และตามสภาพความเป็นอยู่ในการดำรงชีวิต

          หน้าที่ของผู้หญิง(ภรรยา) คือ การแบ่งเบาภาระของผู้ชาย (สามี) ในการรับผิดชอบต่อการดำเนินชีวิต หน้าที่ภายในบ้าน และการเลี้ยงดูอบรมลูก ซึ่งหน้าที่การเลี้ยงดูอบรมลูก เป็นหน้าที่ซึ่งมีความยิ่งใหญ่ที่สุด โดยผู้เป็นแม่ ต้องปฏิบัติกับผู้ที่อัลลอฮ์ ทรงบังเกิดมา ซึ่งความมีเกียรติ ความสวยงามแห่งชีวิตภายในโลกนี้

        เมื่อพระองค์บังเกิดอาดัมและทรงเป่าวิญญาณ อยู่ภายใต้การครอบครองของพระองค์เข้าไปยังเขา พระองค์ทรงมิได้ใช้ให้ผู้ใดกราบต่อเขานอกจาก มลาอิกะฮ์ เพราะมลาอิกะฮ์ มีเกียรติสูงสุดในบรรดาผู้ที่พระองค์ได้มอบหมายให้รับใช้มนุษย์ มลาอิกะฮ์ บางท่านทำหน้าที่ในการขออภัยโทษ และการขอพร เพื่อให้ได้รับความเอ็นดูเมตตาจากพระองค์ มลาอิกะฮ์บางท่านลงมาเพื่อขจัดความหวาดกลัว และความเศร้าโศก มลาอิกะฮ์บางท่านมาเพื่อช่วยเหลือ ในการทำสงคราม มลาอิกะฮ์บางท่านนำวะฮีย์ และบทบัญญัติของอัลลอฮ์ มามอบให้กับบรรดานะบีของพระองค์ และเช่นเดียวกัน อัลลอฮ์ ได้ทรงกำหนดหน้าที่ของผู้หญิงไว้ โดยเป็นมารดาเพื่อเลี้ยงดูลูกหลานของอาดัม ในขณะที่เขาเหล่านั้นกำลังนอนแบเบาะ(เยาว์วัย) และพระองค์ไม่ทรงประสงค์จะมอบหน้าที่นี้ให้กับผู้ใด เพราะนางเป็นผู้ที่มีความเหมาะสมที่สุด ที่จะปฏิบัติหน้าที่ โดยเหตุนี้พระองค์จึงเสริมสร้างบรรยากาศที่เหมาะสมให้แก่นาง โดยให้นางตั้งครรภ์ คลอดบุตร เลี้ยงดูเขา หน้าที่นี้ไม่สมควรที่จะใช้ให้คนใช้ หรือคนเลี้ยงเด็กเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่นี้ ซึ่งมันมิใช่สิ่งอื่นใด นอกจากจะเป็นการให้เกียรติของพระองค์อัลลอฮ์ ต่อบรรดาวงศ์วานลูกหลานของอาดัม ตลอดไป

          เพื่อให้สอดคล้องกับหลักความเป็นจริง ในศาสนา และบัญญัติจากฟากฟ้า ตลอดจนสิ่งที่สติปัญญาของมนุษย์ ที่สมบูรณ์สามารถยอมรับได้ ในการอธิบายทางด้านเศรษฐกิจ เกี่ยวกับหน้าที่ของสตรีในสังคมยุคใหม่ 

          สตรี คือ ผู้ที่ให้การเลี้ยงดูเยาวชนรุ่นแล้วรุ่นเล่า ซึ่งได้เสริมสร้างเศรษฐกิจภายในทุกด้าน ถ้าหากว่าสตรีละทิ้งหน้าที่รับผิดชอบนี้ ให้ผู้อื่นปฏิบัติ ผลที่จะติดตามมา คือ สังคมจะขาดสิ่งต่างๆมากมาย ที่จะได้รับผลประโยชน์จากเยาวชน เพราะเป็นผลสืบเนื่องจากการเลี้ยงดูแบบเทียม ห่างไกลจากสิ่งที่พระองค์อัลลอฮ์ ต้องการ เป็นที่ทราบกันดีในทางเศรษฐกิจว่า สิ่งที่กำลังประสบกับสังคมยุคใหม่ คือการว่างงานทุกด้าน และยังมีการวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ โดยไม่มีการแทรกแซงต่อการอธิบาย หรือคัดค้าน หรือตัดทอนความสำคัญลงไป

          สาเหตุหลักของปัญหานี้ คือ การที่สตรีทำหน้าที่ในส่วนของผู้ชาย จำนวนคนว่างงานชายในสังคมจะไม่เกินไปกว่าจำนวนคนงานหญิง ที่ทำงานนอกขอบข่ายของครอบครัว ผู้หญิง ไม่ว่านางจะตกอยู่ในสภาพใด ก็จำเป็นต้องมีผู้รับผิดชอบต่อนาง เช่น พ่อ พี่ชาย หรือ น้องชาย สามี หรือ ลูกชาย หรืออย่างน้อย ได้แก่ญาติของนาง โดยเหตุนี้นางจึงเป็นผู้ได้รับการเลี้ยงดู การปกป้องคุ้มครอง ให้ค่าครองชีพ แก่นางตามความเหมาะสม แต่ผู้ชายเล่า ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อเขา ภรรยา หรือบรรดาลูกๆอย่างนั้นหรือ? แท้จริงเขาต้องรับผิดชอบต่อตัวเขาเอง ต่อครอบครัว ต่อพ่อแม่ ด้วยเหตุนี้จึงไม่สมควรที่ผู้หญิงจะละทิ้งหน้าที่รับผิดชอบของนาง เพื่อมาแก่งแย่งผู้ชายในการฏิบัติหน้าที่ เพราะว่าผู้ชายมีความเหมาะสมที่สุดที่จะทำงานนอกบ้าน

          แท้จริงการทำงานของผู้ชาย จะไม่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสีย และจะปกป้องสังคมให้รอดพ้นจากความชั่ว ของผู้ที่ถูกอารมณ์บีบบังคับให้ปฏิบัติในสิ่งที่ไม่ดี และนี่คือ ผลประโยชน์ ที่มีอยู่ในขนบประเพณีด้านเศรษฐกิจ แท้จริงความชั่วร้าย ที่อยู่เบื้องหลังในการที่ผู้หญิงออกไปทำงานนอกบ้าน มิได้จำกัดอยู่เพียงเท่านี้ แต่ยังทำให้สังคมมีความเสื่อมโทรมด้านเศรษฐกิจ และยังนำสังคมไปสู่ความเสื่อมเสีย เพราะการที่ผู้หญิงออกไปทำงานนอกบ้าน นางได้ละทิ้ง หรือละเลย หรือจำกัดหน้าที่การเลี้ยงดูลูกๆ เพราะเนื่องจากการได้รับความเหน็ดเหนื่อยในการทำงาน และบรรดาสถานที่เลี้ยงเด็ก โรงเรียนอนุบาล หรือองค์กรที่เลี้ยงดูเด็กๆ ไม่อาจแบ่งเบาภาระให้แม่ละทิ้งการเลี้ยงดูลูกๆของนางได้

          จากการวิจัย และศึกษาด้านวิชาการแผนใหม่ ได้ยืนยันว่า เด็กที่แม่ไม่ได้ทำการเลี้ยงดู้วยตนเอง จะไม่ได้รับความอบอุ่นทางใจ ก่อให้เกิดปัญหาด้านจิตใจ ที่ร้ายแรง ตลอดจนเกิดความผิดปกติด้านอุปนิสัย เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่

          ส่วนผลเสียทางด้านเศรษฐกิจ คือ ผลผลิตของผู้หญิงที่ทำงานนอกบ้าน ไม่อาจจะทัดเทียมกัน กับผลเสียที่เกิดขึ้นภายในสังคม เนื่องจากการจำกัดผู้ชายที่มีสุขภาพดี มีความสามารถรับใช้สังคม และเรายังมิได้กล่าวเกี่ยวกับการปะปนระหว่างชายหญิง และหากเกิดการปะปนระหว่างผู้ชายและผู้หญิง จึงเป็นเคราะห์กรรม และการเสื่อมเสียทางศาสนา และทางด้านเศรษฐกิจ เพราะการปะปนนี้ เป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้ผลผลิตจากการทำงานลดน้อยลง

         การเรียกร้องเสรีภาพของสตรี ประการสำคัญที่นางเรียกร้อง คือการออกไปทำงานนอกบ้าน เคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้ชาย โดยนางลืมไปว่า การที่นางออกไปทำงานนอกบ้านนั้น นางต้องเอาผู้หญิงอื่นมาเป็นเสมือนทาส ไว้ทำงานภายในบ้าน หากคิดว่าการทำงานบ้านนั้นทำให้นางสูญเสียเสรีภาพ แล้วเหตุใดจึงนำผู้หญิงอื่นมาทำงานบ้านอีกเล่า ?

          การที่ผู้หญิงออกไปทำงานนอกบ้าน อาจเป็นเพราะสมัยนิยม หรือการผจญภัย หรือเป็นการท้าทายต่อสังคม เพราะนางจะต้องยอมรับการทำงานที่ไม่เหมาะสมกับธรรมชาติแห่งความเป็นหญิง ถึงแม้จะไม่ต้องกลับไปทำงานบ้านอีกก็ตาม

          ตัวอย่างเช่น ในสหรัฐอเมริกา กองทัพอากาศได้เปิดรับสมัครผู้หญิง เป็นทหารอากาศ ปรากฏว่าผู้สมัครเป็นทั้งแม่บ้านและหญิงสาว ประมาณ 150 คน จากนั้นบรรดาผู้สมัครได้เริ่มการศึกษาหลักการถืออาวุธ การชกมวย คาราเต้ ยูโด และการลอดสิ่งกีดขวาง เหตุการณ์นี้ทำให้มีผู้พยากรณ์ว่า ผู้หญิงจะมีอำนาจเหนือผู้ชาย และภายในโลกช่วงระหว่าง 25 ปีข้างหน้า ในหนังสือของนักวิชาการสหรัฐ นายโรเบิร์ต โกตก ชื่อว่า "ผู้หญิง 2001" เขากล่าวว่า แท้จริงการทำนาย ได้แสดงว่าโลกนี้ในปี 2001 จะเป็นโลกของสตรี ซึ่งผู้หญิงจะเป็นผู้บริหาร ทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ และทางทหารในหลายประเทศภายในโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศมหาอำนาจ และบทบาทของผู้ชายจะค่อยๆ ลดความสำคัญลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่มีความสำคัญเลย และคำพูดของพวกเขาจะไม่มีผู้รับฟัง นายโรเบิร์ต ได้กล่าวเสริมว่า ต่อไปการที่สตรีมีอิทธิพลอย่างเต็มที่จะทำให้สงครามยุติลง เพราะว่าผู้หญิงจะต้องคิดเป็นจำนวนถึง 1000 ครั้ง ก่อนที่จะประกาศทำสงคราม ซึ่งสงครามอาจทำให้นางสูญเสียสามี และลูกๆ นายโรเบิร์ต ได้กล่าวต่ออีกว่า ผู้ชายที่ไม่มีภรรยา หรือลูก จะมีความเกรงกลัวต่อนางเหล่านั้น และเขาจะเปรียบเสมือนผู้ที่ไม่มีสติปัญญา หรือไม่มีหัวใจในการบังคับบัญชา เหมือนเช่นกับสภาพของผู้หญิง

          บางคนอาจมีเหตุผลว่า สาเหตุที่ผลักดันให้ผู้หญิงทำงานนอกบ้าน เพราะว่าอัตราค่าครองชีพได้สูงขึ้น เฉพาะรายได้ของผู้ชายนั้นไม่เพียงพอที่จะใช้ภายในครอบครัว เหตุผลนี้ไม่มีน้ำหนักพอทีจะใช้ในการอ้าง เพราะมนุษย์ที่มีสติปัญญาจะไม่กำหนดระดับค่าครองชีพของตนเอง เว้นแต่เท่ากับรายได้ของตน ส่วนการกำหนดค่าครองชีพให้สูงขึ้นและพยายามที่จะหาเงินทองมาชดเชยตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ จึงไม่พบว่าจะมีหนทางอื่นใด นอกจากจะผลักดันให้ภรรยาของตนออกไปทำงาน การมีทัศนะเช่นนี้ การยึดถืออุดมการณ์ "เป้าหมายจะกำหนดถึงวิธีการ" เป็นอุดมการณ์ที่เลวร้ายทีสุด ที่มนุษย์ยึดถือ เพราะการที่จะทำให้เป้าหมายที่ตั้งไว้บรรลุผล ก็อาจจะใช้วิธีการคดโกง หรือลักขโมยก็ได้

         ผู้หญิงไม่มีหน้าที่อื่นใด นอกจากจะอยู่กับบ้าน ถ้าหากนางขาดผู้ที่จะอุปการะเลี้ยงดู สังคมมุสลิมจะเป็นผู้เลี้ยงดูนางเอง หากสังคมต้องการให้ผู้หญิงทำงาน งานนั้นจะต้องมีความเหมาะสมกับนาง และต้องมีความคล้ายคลึงกับหน้าที่ของสตรีภายในบ้าน เช่น ทางด้านการแพทย์ การอบรม การเลี้ยงดู การสอนหนังสือ เป็นต้น จำเป็นที่ผู้ชายจะต้องไม่ว่างงาน ในการปฏิบัติหน้าที่ และจำเป็นที่สังคมจะต้องเสริมสร้างบรรยากาศอันเหมาะสมสำหรับสตรี เพื่อการรักษาเกียรติและธรรมชาติแห่งการเป็นผู้หญิง  การมีความสงบเสงี่ยมจะต้องไม่ก่อให้เกิดผลเสียหายแก่สิทธิและหน้าที่ภายในครอบครัว เช่น หน้าที่ ที่จะต้องปฏิบัติต่อสามี และลูกๆ

          นี่คือปัญหา เกี่ยวกับการเสริมสร้างความสมดุล ตามจุดประสงค์ที่พระองค์อัลลอฮ์ ได้บังเกิดผู้หญิง และผู้ชาย ดังที่พระองค์อัลลอฮ์ ตรัสว่า

"และในหมู่พวกเขามีศรัทธาในอัลกุรอานและในหมู่พวกเขามีผู้ไม่ศรัทธา(*1*) และพระเจ้าของเจ้าทรงรู้ดียิ่ง

ต่อบรรดาผู้บ่อนทำลายทั้งหลาย(*2*) และถ้าพวกเขาปฏิเสธ(ไม่ยอมศรัทธา)จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) “

การงานของฉันก็เป็นของฉัน และการงานของพวกท่านก็เป็นของพวกท่าน(*3*)

พวกท่านจงปลีกตัวออกจากสิ่งที่ฉันกระทำและฉันก็จะปลีกตัวออกจากสิ่งที่พวกท่านกระทำ (*4*)"  

(ยูนุส / 40-41)


(1)  พวกเขาจะตายอยู่ในสภาพเช่นนั้น คือไม่ศรัทธาต่ออัลกุรอาน
(2)  พระองค์ทรงรอบรู้ดีว่า ผู้ใดจะสามารถรับฮิดายะฮ์ พระองค์ก็จะทรงชี้แนะทางที่ถูกต้องให้เขา และผู้ใดสมควรจะอยู่ในทางที่หลงผิด พระองค์ก็จะให้อยู่ในทางนั้น 

(3)  หมายถึงการตอบแทน อันเนื่องมาจากการงานของแต่ละคน
(4)  ไม่มีผู้ใดรับบาปของใคร….ตัวใครตัวมัน