อิสลามกับระบบการเมืองการปกครอง
อิสลามเป็นศาสนาที่วางกฏระเบียบทุกประการของมนุษย์ และให้มนุษย์ปฏิบัติภารกิจในฐานะผู้แทนของอัลลอฮ์ ดังนั้นจึงมีการกำหนดกฏกติกาว่าด้วยการเมืองการปกครอง เพื่อใช้ศักยภาพในการพัฒนาชีวิตให้เป็นไปตามความประสงค์ของ อัลลอฮ์ ผู้ทรงอำนาจอันแท้จริงในสากลจักรวาลหลักคำสอนของอิสลามว่าด้วยการเมืองการปกครองสรุปได้ดังนี้
1. แนวคิดทางการเมืองการปกครองแนวคิดทางการเมืองการปกครองในอิสลามประกอบด้วยองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการดังนี้
1.1 แนวคิดว่าด้วยความเชื่อในเอกภาพของอัลลอฮ์(เตาฮีด) หมายถึงมุสลิมต้องเชื่อว่าอัลลอฮ์ เพียงองค์เดียวที่มีสิทธิในการวางกฏระเบียบต่างๆให้ปฏิบัติ ไม่มีผู้ใดมีอภิสิทธิ์ในการตัดสินร่วมกับพระองค์ ปฏิเสธการบูชาเคารพมนุษย์ด้วยกัน เพราะไม่มีสิ่งใดที่สมควรแก่การเคารพบูชานอกจากอัลลอฮ์ เท่านั้น
1.2 แนวคิดว่าด้วยสาสน์แห่งนะบีมุฮัมมัด (ริสาละฮ์) เชื่อว่านะบีมุฮัมมัดคือต้นแบบสำหรับการดำเนินชีวิตที่สมบูรณ์ของมุสลิมและประสบผลสำเร็จ มุสลิมต้องศึกษาและปฏิบัติตามวิธีการดำเนินชีวิตของนะบีมุฮัมมัด อย่างครบถ้วนสมบูรณ์
1.3 แนวคิดว่าด้วยการเป็นผู้แทนของอัลลอฮ์ (คิลาฟะฮ์) หมายถึงการใช้อำนาจในการเมืองการปกครอง มุสลิมต้องปฏิบัติในฐานะเป็นผู้แทนเท่านั้น มิได้มีกรรมสิทธิ์ที่สมบูรณ์ จึงไม่มีสิทธิ์ปฏิบัติตามอำเภอใจ
บนพื้นฐานแนวคิดดังกล่าว มุสลิมจึงสามารถบริหารบ้านเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีความยุติธรรมอย่างแท้จริง
2. ผู้นำรัฐในอิสลามอัลมาวัรดีย์ ได้ให้ทัศนะว่า ผู้นำ หมายถึง ตำแหน่งที่สืบทอดจากท่านศาสนทูต เพื่อพิทักษ์ศาสนาและบริหารปกครองโลก
อิบนิคอลดูน ได้ให้ทัศนะว่า ผู้นำ หมายถึง ความรับผิดชอบในการประยุกต์ทฤษฎีในหลักศาสนาเพื่อบริหารกิจการศาสนาและประโยชน์สาธาณะ ดังนั้นกิจการทางโลกก็เพื่อประโยชน์ในอาคีเราะฮ์ คือการเป็นผู้แทนของพระผู้เป็นเจ้าในการปกป้องศาสนา และปกครองโลกด้วยอิสลาม
นักนิติศาสตร์อิสลามได้ให้ความหมายของผู้นำว่า เป็นผู้ปกครองกิจการทั้งมวลทั้งเรื่องทางโลกและศาสนา ผู้นำคือตัวแทนของท่านศาสนทูตในการธำรงค์ศาสนาให้เป็นศูนย์กลางของประชาชาติ และทำให้ปวงประชาราษฎร์ปฏิบัติตามผู้นำหรือเคาะลีฟะฮ์
อัลบัยดอวี นักอรรถาธิบายอัลกุรอานท่านหนึ่งได้กล่าวว่า ผู้นำหรือเคาะลีฟะฮ์ หมายถึง ผู้สืบทอดหน้าที่แทนท่านนะบี เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของอิสลาม ประชาชาติมุสลิมทุกคนต้องยอมรับคำสั่งและอำนาจของเคาะลีฟะฮ์
อะบุล อะลา เมาดูดี ได้กล่าวว่า ผู้นำรัฐหรือเคาะลีฟะฮ์ หมายถึง ตัวแทนแห่งคุณธรรม ซึ่งมีสิทธิ์ใช้อำนาจหน้าที่บนแผ่นดินนี้ภายใต้ขอบเขตที่ได้บัญญัติไว้ ผู้นำจึงไม่ใช่มรดกทางการเมืองของตระกูล หรือชนชั้นใดเป็นการเฉพาะ แต่เป็นหน้าที่ของประชาคมที่มีคุณสมบัติเป็นผู้ศรัทธาในหลักแนวคิดด้านเตาฮีดและริสาละฮ์ที่ได้กล่าวข้างต้น
ดังนั้น จึงสามารถสรุปความหมายของคำว่า ผู้นำ หรือ เคาะลีฟะฮ์ตามเชิงอรรถในด้านวิชาการทางอิสลามได้ 3 ประการคือ
ก. เป็นผู้สืบทอดหน้าที่แทนนะบีมุฮัมมัด ในเรื่องทางโลก รวมทั้งดำเนินการเผยแพร่และคุ้มครองศาสนาอิสลาม ผู้นำในอิสลามจึงไม่ใช่เป็นนะบี หรือผู้ก่อตั้งชะรีอะฮ์(กฎหมายอิสลาม)ขึ้นมาใหม่
ข. เป็นผู้สืบทอดหน้าที่ของนบีมูฮัมมัด เพื่อดำเนินการในเรื่องต่างๆโดยการปฏิบัติและดำเนินการให้อยู่ในภายใต้ขอบเขตกฎเกณฑ์ตามที่อิสลามได้ระบุไว้
ค. เป็นประมุขของรัฐ เพื่อเป็นแบบฉบับที่ดีแก่ประชาชนทั่วไป อิบนูคอลดูน บิดาแห่งปรัชญาอิสลาม ได้ให้คำนิยามของ เคาะลีฟะฮ์หรือผู้นำไว้ว่า เคาะลีฟะฮ์ นั้นเป็นผู้ที่จะต้องนำประชาชนให้ดำเนินตามชารีอะฮ์ที่ระบุไว้ในอัลกุรอาน เพื่อขอประทานความสำเร็จในชีวิตทั้งโลกนี้และโลกหน้า
3. คุณสมบัติของผู้นำสูงสุดหรือเคาะลีฟะฮ์ในอิสลามบรรดานักกฎหมายอิสลามให้ความสำคัญกับคุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นผู้นำ เพราะผู้มีคุณสมบัติทุกคนมิใช่ว่าจะสามารถทำหน้าที่เป็นตัวแทนและควบคุมอำนาจของประชาชนได้ ดังนั้นผู้ที่จะเป็นผู้นำได้ต้องมีความเหมาะสมกับตำแหน่ง และสามารถดำเนินการในหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์
บรรดานักปราชญ์มีทัศนะที่แตกต่างกันในการกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะดำรงตำแหน่งผู้นำ โดยระบุคุณสมบัติอย่างละเอียดบางส่วนพอสังเขป และอีกบางส่วนได้ระบุถึงในลักษณะกลางๆดังนี้
อิบนุห์ซัม ซึ่งเป็นนักกฎหมายอิสลาม มีความเห็นว่า ผู้นำนั้นต้องมีคุณสมบัติ ครบ 8 ประการ คือ
1) ต้องมาจากเผ่ากุร็อยช์
2) บรรลุนิติภาวะแล้ว
3) เป็นชาย
4) เป็นมุสลิม
5) มีความรู้บทบัญญัติต่างๆที่เกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่
6) มีความยำเกรงต่ออัลลอฮ์
7) ไม่กระทำการฝ่าฝืนบทบัญญัติอย่างเปิดเผย
8) มีความเหมาะสมกับหน้าที่การงาน
ท่านได้สรุปว่า ผู้ที่มีคุณสมบัติไม่ครบถ้วนถือเป็นโมฆะ เป็นผู้นำที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
ทัศนะของอัลมาวัรดีย์
ท่านได้กำหนดคุณสมบัติของผู้นำไว้ 6 ประการ คือ
1) มีความยุติธรรมตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้
2) มีความรู้ที่สามารถทำการวิจัยต่อปัญหาที่เกิดขึ้น
3) มีประสาทสัมผัสที่สามารถดำเนินการต่างๆที่ต้องใช้ประสาทสัมผัสเหล่านั้น
4) มีความคิดเห็นที่สามารถปกครองประชาชนและจัดการประโยชน์ต่างๆได้
5) มีความกล้าหาญที่สามารถรักษาดินแดนและต่อสู้กับศัตรู
6) จะต้องมีเชื้อสายเป็นกุร็อยช์ เพราะมีตัวบท พร้อมทั้งเป็นมติเอกฉันท์ของประชาชาติอีกด้วย
ทัศนะของอัลญุวัยนีย์
ท่านได้กำหนดคุณสมบัติของผู้นำไว้ดังนี้
1) ต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถทำการอิจญติฮาดโดยไม่ต้องอาศัยผู้อื่นในปัญหาที่เกิดขึ้น
2) ต้องเป็นผู้ที่รู้จักการให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์
3) มีความกล้าหาญในการตระเตรียมกองทัพและการปกป้องชายแดน
4) มีความคิดเฉลียวฉลาดในการรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ
5) มีจิตใจที่เข้มแข็งในการลงโทษผู้กระทำผิด
คุณสมบัติที่ขาดไม่ได้ตามทัศนะของมัซฮับซาฟีอีย์ คือ ต้องมีเชี้อสายเป็นชาวกุร็อยช์ ทั้งนี้เพราะท่านนะบีมุฮัมมัด ได้กล่าวไว้ความว่า บรรดาผู้นำนั้นมาจาเผ่ากุร็อยช์ ( รายงานโดย อะห์หมัด)
ทัศนะของอิบนุคอลดูน
ได้กำหนดคุณสมบัติของผู้นำนอกเหนือจากการเป็นมุสลิมและเป็นผู้ชายเพิ่มเติมอีก 4ประการ คือ
1) ความรู้
2) ความยุติธรรม
3) ความสามารถ
4) มีความสมบูรณ์ของประสาทสัมผัสและอวัยวะต่างๆ ที่มีผลต่อการใช้อำนาจหน้าที่ในด้านการวินิจฉัยและการสั่งการพร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลที่จะต้องมีคุณสมบัติดังกล่าวด้วย
นอกจากนั้นท่านได้หยิบยกทัศนะที่แตกต่างกันในเรื่องการมีเชื้อสายกุร็อยช์ พร้อมทั้งชี้แจงถึงสาเหตุที่ทำให้สิ่งนี้มีความจำเป็นในยุคแรก คือ ความเข้มแข็งมีอยู่กับเผ่านี้ แต่หลังจากที่เผ่านี้ได้กระจัดกระจายไป ทำให้มีความอ่อนแอเนื่องจากมีผลประโยชน์ทางโลกมาเกี่ยวข้อง ดังนั้นคุณสมบัติดังกล่าวจึงไม่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง
4.หลักพื้นฐานที่สำคัญในการเมืองการปกครองในอิสลามหลักพื้นฐานที่สำคัญในการเมืองการปกครองในอิสลามสรุปได้ดังนี้
1 หลักการความยุติธรรม
ความยุติธรรมถือเป็นหัวใจหลักของการปกครองในอิสลาม ทั้งนี้เพราะหนึ่งในพระนามของอัลลอฮ์คือ พระผู้ทรงยุติธรรม ดังนั้นพระองค์ทรงกำชับให้มนุษย์ดำรงตนในความยุติธรรม ไม่ว่าในสถานการณ์ใดก็ตาม ดังที่อัลลอฮ์ตรัสไว้ในอัลกุรอานความว่า
แท้จริงอัลลอฮ์ทรงสั่งใช้ให้รักษาความยุติธรรมและกระทำความดี และการบริจาคแก่ญาติใกล้ชิด และทรงสั่งห้ามจากการกระทำสิ่งชั่วช้าลามกและบาปทั้งปวง (อัลกุรอาน16:90)
อิสลามสอนว่าการดำรงไว้ซึ่งความยุติธรรมนั้นทำให้สามารถเสริมสร้างความยำเกรงต่ออัลลอฮ์ ดังปรากฏในอัลกุรอานความว่า
และจงอย่าให้การเกลียดชังพวกหนึ่งพวกใด จนเป็นเหตุให้พวกเจ้าไม่ยุติธรรม จงยุติธรรมเถิด มันเป็นสิ่งที่ใกล้กับความยำเกรงยิ่งกว่า(อัลกุรอาน 5:8)
2 หลักการปรึกษาหารือ
อิสลามได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับการประชุมปรึกษาหารือ เพราะเป็นการตักเตือนซึ่งกันและกัน การแสดงแนวคิด ความคิดเห็นที่แต่ละคนมีอยู่ให้คนอื่นได้รับทราบ การประชุมเพื่อปรึกษาหารือจึงเป็นเรื่องจำเป็น และเป็นหลักการที่สำคัญในการคลี่คลายประเด็นปัญหา ดังที่อัลลอฮ์ ได้ตรัสไว้ในอัลกุรอานความว่า
อีกทั้งการทำงานของพวกเขา มีการประชุมในระหว่างพวกเขาและพวกเขาเสียสละทรัพย์สินบางส่วนที่เราได้ประทานแก่พวกเขา ( อัลกุรอาน 42 : 38 )
และอัลลอฮ์ ได้กล่าวอีกความว่า
และจงปรึกษาพวกเขาในการงาน (ต่างๆ ที่คิดกระทำ) ครั้นเมื่อเจ้าตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว เจ้าก็จงมอบหมาย(การงานนั้น)แด่อัลลอฮ์เถิด แท้จริงอัลลอฮ์ทรงรักบรรดาผู้(มีจิต)มอบหมาย(ในพระองค์) (อัลกุรอาน 3 : 159 )อิสลามได้กำชับให้มุสลิมมีการปรึกษาหารือในทุกกิจการ โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาบ้านเมือง หลักการมีส่วนร่วมนี้ถือเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการบริหารที่อิสลามได้เริ่มใช้ 1000 กว่าปีมาแล้ว ทั้งที่ในสมัยนั้นประชาชนไม่มีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นและไม่ได้รับโอกาสให้คำปรึกษาแก่ผู้นำเลย
3 หลักการการแต่งตั้งผู้ที่เหมาะสม
อัลลอฮ์ ได้กล่าวความว่า
โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย พวกเจ้าอย่าบิดพลิ้วต่ออัลลอฮ์และศาสนทูต และอย่าบิดพลิ้วต่อความไว้วางใจ (ที่ผู้อื่นมอบแก่) พวกเจ้า ทั้งๆ ที่พวกเจ้าก็รู้ดี ( อัลกุรอาน 8 : 27 )
จากอายะฮ์ที่ได้กล่าวมานั้นทำให้เข้าใจว่าการแต่งตั้งหรือคัดเลือกผู้ที่มีความเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งนั้นสำคัญมาก จึงมีการกำหนดหลักการไว้อย่างชัดเจน คือ ใช้หลักความเหมาะสมเป็นหลัก ในที่นี้หมายถึงความเหมาะสมที่ครอบคลุมทั้งทางโลกและทางธรรม ซึ่งหมายความว่าผู้นั้นต้องมีความรู้ความเข้าใจในทั้งสองเรื่องเป็นอย่างดี ไม่ได้หมายความว่าจะมีความชำนาญในด้านการบริหารแต่เพียงอย่างเดียวที่สำคัญจะต้องเป็นผู้ที่มีศาสนา มีจิตใจเที่ยงธรรม มีความศรัทธา มีความบริสุทธิ์ใจต่ออัลลอฮ์และยำเกรงต่อพระองค์อย่างมั่นคง อิสลามถือว่าการแต่งตั้งผู้ที่ไม่เหมาะสม หรือมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับผู้นำ เป็นการทรยศต่ออัลลอฮ์ เราะซูลและศรัทธาชน ดังปรากฏในหะดีษความว่า
ผู้ใดที่ดำรงตำแหน่งในกิจการของมุสลิม โดยที่เขาแต่งตั้งคนๆหนึ่ง ทั้งที่เขารู้ว่ายังมีผู้อื่นที่เหมาะสมกว่าคนๆนั้น แน่นอนเขาได้ทรยศต่ออัลลอฮ์ เราะซูลและบรรดาผู้ศรัทธา (หะดีษรายงานโดยหากิม)
4 หลักการความเสมอภาค
ความเสมอภาคนับได้ว่าเป็นหลักการที่สำคัญอีกประการหนึ่งของอิสลาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ที่อยู่ในตำแหน่งผู้นำ อัลลอฮ์ ได้ตรัสไว้ในอัลกุรอานความว่า
โอ้มวลมนุษย์ แท้จริงเราได้บังเกิดพวกเจ้ามาจากชายหนึ่งหญิงหนึ่ง และบันดาลพวกเจ้าให้แตกออกเป็นเผ่าพันธุ์และเป็นกลุ่มต่าง ๆ เพื่อพวกเจ้าจะได้ทำความรู้จักซึ่งกันและกัน แท้จริงผู้มีเกียรติที่สุดในหมู่พวกเจ้า ณ อัลลอฮ์คือ ผู้ที่มีความยำเกรงต่ออัลลอฮ์ ( อัลกุรอาน 49 : 13 )
นะบีมุฮัมมัดได้กล่าวไว้ความว่า
โอ้มวลมนุษย์ทั้งหลายจงรู้ไว้เถิดว่าแท้จริงพระเจ้าของพวกท่านนั้นมีเพียงองค์เดียว บรรพบุรุษของพวกท่านก็มาจากคนเดียวกัน จงรู้เถิดว่าคนอาหรับก็ไม่ได้เลิศเลอเหนือคนที่ไม่ไช่อาหรับ และคนที่ไม่ใช่อาหรับก็ไม่ได้เหนือกว่าคนอาหรับ คนผิวแดงก็ไม่ได้เลิศเลอเหนือกว่าคนผิวดำ และคนผิวดำก็ไม่ได้เหนือกว่าคนผิวแดง และผู้ที่ประเสริฐยิ่งก็คือผู้ที่ยำเกรงต่ออัลลอฮ์เท่านั้น( บันทึกโดยอะห์มัด)จากอายะฮ์อัลกุรอานและหะดีษที่ได้บ่งบอกถึงความสำคัญของความเสมอภาคในด้านความเป็นอยู่ร่วมกันภายใต้กฎระเบียบของศาสนาอิสลามและจะได้รับสิทธิเท่าเทียมกันโดยไม่คำนึงถึงเผ่าพันธุ์ เชื้อชาติ สีผิว ฐานะความเป็นอยู่ หรือเกียรติยศ เป็นต้น
อิสลามเป็นศาสนาที่ส่งเสริมให้มีการให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะแตกต่างด้านเชื้อชาติ ศาสนาหรือสีผิว เพราะผู้ที่มีเกียรติในทัศนะของอิสลามอยู่ที่ความยำเกรงต่ออัลลอฮ์ ต่างหาก
อิสลามจึงให้ความสำคัญกับการเมืองการปกครอง และถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการทำความเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์ อิสลามสอนให้มนุษย์ทราบว่าตราบใดที่สังคมมนุษย์อยู่ในครรลองของอิสลามแล้ว สังคมจะประสบแต่ความสุขและความปลอดภัยทั้งในโลกนี้และโลกอาคิเราะฮ์
เรียบเรียงโดย อ.มัสลัน มาหะมะ