จงระวังชุบุฮาต (สิ่งที่คลุมเครือ)
  จำนวนคนเข้าชม  27873

จงระวังชุบุฮาต (สิ่งที่คลุมเครือ)

จากท่านอันนัวะอฺมาน บิน บะชี๊ร ได้กล่าวว่า ฉันได้ยินท่านรอซูลลุลลอฮ์ กล่าวว่า :

          แท้จริงสิ่งที่ฮะล้าลก็แจ่มแจ้งแล้ว สิ่งที่ฮะรอมก็แจ่มแจ้งแล้ว สิ่งที่อยู่ระหว่างทั้งสองนั้นเป็นสิ่งที่คลุมเครือ(มุชตะบิฮาต) ซึ่งชนส่วนมากไม่รู้ ดังนั้น ถ้าผู้ใดระวังสิ่งที่เป็นชุบุฮาตแล้ว ก็เท่ากับว่าเขาได้ขอความหลุดพ้นเพื่อศาสนาและเกียรติยศของเขา และถ้าผู้ใดถลำเข้าไปในสิ่งที่เป็นชุบุฮาต ก็เท่ากับว่าเขาได้ถลำไปในสิ่งที่ฮะรอม เสมือนดังคนเลี้ยงสัตว์อยู่รอบสถานที่หวงห้าม ซึ่งรังแต่จะทำให้เขาถลำเข้าไปในสถานที่หวงห้ามนั้นสักเวลาหนึ่ง พึงรู้เถิดว่า และกษัตริย์ทุกองค์นั้น มีสถานที่หวงห้ามสำหรับพระองค์ แล้วสถานที่หวงห้ามสำหรับอัลเลาะห์นั้นคือสิงที่ฮะรอม พึงรู้เถิดว่า ในร่างกายนั้นมีเนื้ออยู่ก้อนหนึ่ง เมื่อมันดี ร่างกายทุกส่วนก็จะดีไปหมด และเมื่อมันเสีย ร่างกายทุกส่วนก็จะเสียไปหมด เนื้อก้อนนั้นก็คือหัวใจนั่นเอง

บันทึกโดยบุคอรีย์และมุสลิม

คำอธิบายศัพท์

          “ฮะล้าล” หรือที่เรียกทางภาคใต้ว่า “ฮาลา” นั้นคือสิ่งที่อัลเลาะห์อนุญาตให้มนุษย์กระทำได้
          “ฮะรอม” ทางภาคใต้เรียกว่า “ฮะแร” นั้นคือสิ่งที่อัลเลาะห์ไม่อนุญาตให้มนุษย์กระทำ
          “มุชตะบิฮาต” เป็นพหูพจน์ของคำ “มุชตะบีฮฺ” และ “ชุบุฮาต” เป็นพหูพจน์ของคำ “ชุบฮะห์” หรือที่ทางภาคใต้เรียกว่า “ชะบาฮะ” นั้นคือสิ่งคลุมเครือ เคลือบแคลง สงสัย คล้ายๆซึ่งเป็นปัญหาไม่รู้ว่าฮะล้าลหรือฮะรอม
          “ระวังสิ่งที่ชุบุฮาต” คือ ห่างไกลจากสิ่งที่เห็นเป็นฮะล้าล แต่ไม่ใช่ฮะล้าล
         “หลุดพ้นสำหรับศาสนาและเกียรติยศ” คือหลุดพ้นจากการลงโทษของศาสนาและการกล่าวหาของมนุษย์
          “คนเลี้ยงสัตว์” คือคนเลี้ยงสัตว์สี่เท้าประเภท อูฐ วัว แพะ แกะ
          “สถานที่หวงแหน” คือสถานที่หวงห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปนอกจากคนเฝ้า หรือยามเท่านั้น

คำอธิบายฮะดีษ

           การงานทุกอย่างในชีวิตนี้ มีดีที่ใจยินยอม ซึ่งเมื่อกระทำแล้วทำให้รู้สึกสบายอกสบายใจ และที่ชั่วก็ที่ใจไม่ยินยอม ซึ่งเมื่อกระทำแล้วทำให้ไม่สบายใจ ประการแรกนั้นเป็นสิ่งที่ศาสนาอนุญาตให้กระทำได้ ประการที่สองนั้นเป็นสิ่งที่ศาสนาห้ามไม่ให้กระทำ และทั้งสองประการนั้นแจ่มแจ้งชัดเจน ไม่มีปิดบังในข้อเท็จจริง และกฎบัญญัติของมัน สำหรับการงานที่ดีก็คือ ที่เป็นประโยชน์เป็นที่ชอบ และเป็นคุณแก่ส่วนตัว และส่วนรวม นั่นคือที่เป็นฮะล้าล ส่วนการงานที่ชั่วนั้นก็คือ ที่เป็นโทษ ที่มิชอบ และไม่เป็นคุณแก่ส่วนตัว และส่วนรวม นั่นคือที่เป็นฮะรอม

          ในเมื่อสิ่งที่ฮะล้าลเป็นสิ่งที่กระทำได้ เป็นที่ชัดเจนในการอนุญาต และสิ่งที่ฮะรอมเป็นสิ่งที่ต้องห้าม เพราะได้ประจักษ์ในการห้าม ดังนั้น มีสิ่งหนึ่งที่ยังไม่รู้กฎบัญญัติ และท่าที สิ่งนี้ก็คือการงานที่เรียกว่า “มุชตะบิฮาต” คือ เป็นการงานที่เป็นที่สงสัย ซึ่งรอซูลุลลอฮ์ได้เตือนให้เราระวังในฮะดีษนี้ เพื่อให้เราพ้นจากการลงโทษของศาสนบัญญัติ เพื่อรักษาศาสนาของเรา และให้รอดพ้นจากการครหาของผู้คน เพื่อรักษาเกียรติยศของเรา

           ท่านรอซูลุลลอฮ์ แจ้งให้เราทราบว่า สิ่งที่อัลเลาะห์ทรงห้ามนั้นก็คือ สถานที่หวงห้ามของพระองค์ในพื้นแผ่นดิน ซึ่งเป็นสถานที่ที่เราจะเข้าใกล้ไม่ได้ เพราะการล้ำเข้าไป ณ ที่นั้นเป็นอันตรายแก่เรา ต่อมาท่านก็แจ้งอีกว่า สิ่งที่เคลือบแคลงนั้นก็คือ สถานที่ที่อยู่รอบๆสถานที่มีอันตราย หรือใกล้สถานที่อันตราย ดังนั้น การล้ำเข้าไป ณ ที่นั้นจะทำให้ถลำเข้าไปในสิ่งที่หวงห้ามซึ่งจะเป็นอันตรายต่อเราได้ ฉะนั้น ท่านจึงตักเตือนให้เราระวังและห่างไกลจากชุบุฮาต หรือสิ่งที่เคลือบแคลง จนกระทั่งเราปลอดภัยในด้านศาสนา ซึ่งทำให้การกระทำของเราดี และเราปลอดภัยในเรื่องเกียรติยศของเราซึ่งไม่ทำให้เราได้รับการครหาจากปากคำของผู้คน

           ท่านรอซูล เปรียบเทียบผู้ที่กล้าเสี่ยงเข้าใกล้ชุบุฮาต เหมือนคนเลี้ยงสัตว์อยู่รอบสถานที่หวงแหนของกษัตริย์ เพราะว่าคนเลี้ยงสัตว์นั้นเขารู้อยู่แก่ใจว่า เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะล้ำเข้าไปในสถานที่หวงห้ามของกษัตริย์ เพราะ ถ้าสัตว์ตัวใดถ้าล้ำเข้าไปแล้วเขาจะได้รับโทษ เพราะฉะนั้นทางที่ดีก็ให้เขาออกห่างไกลจากสถานที่ดังกล่าวเท่าที่จะไกลได้ เพราะว่าการออกไปให้ไกลนั้นเป็นทางเดียวที่จะทำให้เขาปลอดภัย

           มนุษย์นั้นจำเป็นจะต้องมีความปรารถนาที่ฉลาด สามารถบังคับและควบคุมกำลังวังชาทั้งหมดเพื่อที่จะชักนำไปในทางที่ดีและห้ามปรามคนเข้าใกล้ความชั่วร้าย หรือ ชุบุฮาต ความปรารถนาที่ฉลาดอันนี้ก็คือหัวใจนั่นเอง อันเป็นก้อนเนื้อก้อนน้อยๆอยู่ก้อนหนึ่ง เพราะมันเท่านั้นเป็นจุดศูนย์กลางแห่งความปรารถนา และบงการ ถ้ามันดี การบงการก็ดี และมีความสุขุมรอบคอบ ดังนั้น มนุษย์ผู้เป็นเจ้าของหัวใจนั้นก็ดีตามไปด้วย ตรงกันข้าม ถ้าหากหัวใจนั้นเสีย มันก็จะบงการไปในทางที่เสีย ทำให้เจ้าตัวประพฤติไปในทางที่เสีย ในที่สุดก็จะเสียคนไปเลย

           ด้วยความประเสริฐของตำแหน่งอันพิเศษนี้ ซึ่งหัวใจของมนุษย์ครอบครองและใช้ในการบังคับอวัยวะต่างๆและกำลัง อัลเลาะห์จึงตรัสถึงเรื่องหัวใจว่า มันเป็นสถานที่แห่งความทรงจำและลืม อ่อนน้อม และแข็งกระด้าง สงบเสงี่ยมและขลาด

           ท่านรอซูล ร่างธรรมนูญแห่งการหลบภัยจากโทษทัณฑ์ของอัลเลาะห์ และเข้ารับความโปรดปรานของพระองค์ด้วยฮะดีษนี้แก่เรา ดังนั้น สิ่งที่ฮะล้าลก็คือ สิ่งที่ดีทีทำให้หัวใจที่ดีสงบ เป็นหลักประกันในผลประโยชน์ของบุคคลและหมู่คณะ และทำให้การงานดำเนินไปอย่างเที่ยงธรรม ส่วนสิ่งที่ฮะรอมนั้นก็คือสิ่งที่ไม่ดีที่ทำให้หัวใจที่ดีรังเกียจ และทำให้ขัดผลประโยชน์ส่วนบุคคลและหมู่คณะ สำหรับชุบุฮาตนั้นก็คือสิ่งที่นำมาซึ่งความสงสัยเป็นเหตุแห่งการครหาและชักนำไปสู่การประกอบสิ่งที่เป็นฮะรอม ฉะนั้น จำเป็นที่ทุกคนจะต้องห่างไกลจากสิ่งที่ฮะรอมและชุบุฮาตพร้อมๆกัน จนกระทั่งไม่มีความสัมพันธ์เลยระหว่างเขากับสิ่งที่ออกนอกลู่นอกทาง และจำเป็นที่จะต้องรีบทำตัวให้บริสุทธิ์โดยการภักดีต่ออัลเลาะห์ เพราะว่าจิตใจของมนุษย์จะบริสุทธิ์และสูงส่งมากขึ้นถ้าหากเขาทำการภักดีต่ออัลเลาะห์ และห่างไกลจากสิ่งที่เป็นฮะรอมและชุบุฮาตมากขึ้น

           สำหรับอวัยวะที่เป็นบ่อเกิดแห่งความดีหรือความชั่วทั้งหมดนั้นก็คือหัวใจ ดังนั้นจำเป็นที่จะต้องมีการแก้ไขรักษาอย่างสมบูรณ์ด้วยปัจจัย 6 อย่างที่ท่านผู้รู้กำหนดขึ้น

1. อ่านพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานโดยการใคร่ครวญในความหมายและคำแนะนำสั่งสอน
2. ทำท้องให้ว่างจากอาหารด้วยการถือศีลอด เพราะว่าท้องที่เต็มไปด้วยอาหารนั้นทำให้เกิดความเกียจคร้าน
3. ตื่นในเวลากลางคืนโดยการละหมาด ขอพร ขอลุแก่โทษ เพื่อไม่ให้เป็นคนโอ้อวดได้
4. สำรวมและนอบน้อมต่ออัลเลาะห์ในตอนดึก เพื่อทำให้นอนหลับสนิทและฝันดี
5. นั่งร่วมกับบุคคลซอและห์(คนดี) และคนอุละมาอฺ(ผู้รู้) เพื่อรับประโยชน์จากความรู้ความเคร่งศาสนา และความเกรงกลัวต่ออัลเลาะห์ของเขา
6. รับประทานอาหารที่ฮะล้าล เพราะจะทำให้จิตใจบริสุทธิ์และการงานดี กล่าวกันว่าอาหารนั้นเป็นพันธุ์แห่งการกระทำ ถ้าหากบริโภคไปอย่างฮะล้าล การกระทำอย่างฮะล้าลก็จะออกมา ถ้าหากมันเข้าไปอย่างฮะรอม มันก็จะออกมาอย่างฮะรอม และถ้าหากมันเข้าไปอย่างชุบฮะห์ มันก็จะออกมาอย่างชุบฮะห์

ขออัลเลาะห์จงได้โปรดบันดาลให้เราบรรลุผลในการแก้ไขรักษาหัวใจของเราด้วยเถิด

บทเรียนจากฮะดีษนี้


1.   จำเป็นจะต้องละทิ้งชุบุฮาต เพราะมันสนับสนุนในการทำสิ่งที่ฮะรอม และมีฮะดีษหลายต้นที่แสดงว่าการกระทำความชั่วมากๆ จะทำให้มนุษย์เป็นกาฟิรฺได้ ดังนั้น อัลเลาะห์ จึงทรงห้ามไม่ให้เข้าใกล้ขอบเขตของพระองค์ ดังดำรัสของพระองค์ที่ว่า


 “เหล่านี้แหละคือขอบเขตที่อัลเลาะห์ทรงกำหนด ฉะนั้น อย่าได้ล่วงล้ำขอบเขตของอัลเลาะห์เป็นอันขาด"

และท่านรอซูล ได้กล่าวว่า :

“อัลเลาะห์ทรงสาปแช่งขโมยที่ขโมยไข่ แล้วมือของเขาก็ถูกตัด และขโมยที่ขโมยเชือก แล้วมือของเขาก็ถูกตัด”
(บันทึกโดยบุคอรีย์และมุสลิม)

ซึ่งแสดงว่าคนที่ขโมยไข่นั้น ในที่สุดก็จะขโมยเชือก และใครที่มักง่ายกับสิ่งเล็กๆ ต่อไปกับสิ่งใหญ่ก็จะทำได้เหมือนกัน
 
2. จำเป็นจะต้องรักษาศาสนา และเกี่ยวกับศาสนานั้นก็คือ ทุกคนอย่าได้ปล่อยตัวให้ตกอยู่ในครหา

3. จำเป็นจะต้องรักษาเกียรติ ดังที่มีเรื่องเมื่อท่านนบี ยืนอยู่กับนางซอฟียะห์ภริยาของท่าน มีสาวกสองคนเดินผ่านมา เมื่อเห็นท่านยืนอยู่กับผู้หญิงซึ่งไม่รู้ว่าเป็นภริยาของท่าน ก็เลยรีบเดินไปอย่างรวดเร็ว ท่านนบีก็เลยกล่าวว่า “เดินช้าๆก็ได้ เธอคือซอฟียะห์เอง” เรื่องนี้ทั้งๆที่ท่านรอซูล ก็เป็นผู้บริสุทธิ์จากความผิดหรือการครหา แต่พวกสาวกก็ยังสำรวมแล้วเราจะกล้าเสี่ยงเข้าใกล้สถานที่ครหา และสงสัยละหรือ?

4. จำเป็นจะต้องสัญญากับใจตนเองว่าจะทำให้ใจสำนึกอยู่เสมอ จนกระทั่งการงานของเขาดำเนินไปในทางที่ดีแล้ว เขาก็จะได้รับความสุขทั้งในโลกนี้และโลกหน้า

 


บทความโดย : มุอฺมิน

เผยแพร่โดย : สายสัมพันธ์