เพราะเหตุใด มักกะห์จึงเป็นอุมมุลกุรอ ?
เขียนโดย : เตาฟีก บิน อัยยาด
แปลและเรียบเรียงโดย : อ.มุนีร มูหะหมัด
อุมมุลกุรอ (เมืองแม่) ในอัลกุรอาน
ได้มีการกล่าวถึง อุมมุลกุรออฺ ในอัลกุรอานสองครั้ง เกี่ยวกับการเชิญชวนของท่านนบี มุฮัมหมัด โดยเป็นการตักเตือนชาวเมืองนี้ และตักเตือนผู้ที่อยู่โดยรอบเมืองนี้ (ประชาชนทั่วไป) อัลเลาะห์ ได้ทรงตรัสไว้ในซูเราะห์ อัลอันอาม ในอายะห์ที่ 92 ว่า :
นี่คือ คัมภีร์(อัลกุรอาน) ที่เราได้ประทานลงมา เพื่อเป็นความจำเริญ และเพื่อยืนยันถึงคัมภีร์ที่มาก่อนหน้านี้ และเพื่อพวกเจ้าจะได้ตักเตือนชาวอุมมุลกุรอ(มักกะห์) และผู้ที่อยู่โดยรอบเมืองนี้(ชนทั่วไป) และบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่อวันสิ้นโลก จะศรัทธาต่ออัลกุรอาน และเขาเหล่านั้นจะดำรงการละหมาด (6 : 92)
และอัลเลาะห์(ซ.บ.) ยังได้ทรงตรัสไว้ในอายะห์ที่ 7 ซูเราะห์ อัชชูรออ ว่า :
และเช่นเดียวกัน เราได้วะฮีย์กุรอานมาเป็นภาษาอาหรับแก่เจ้า(มุฮัมหมัด) เพื่อเจ้าจะได้ตักเตือนชาวอุมมุลกุรอ(ชาวมักกะห์) และผู้ที่อยู่โดยรอบเมืองนี้(ชนทั่วไป) และเจ้าจงตักเตือนกันถึงวันแห่งการชุมนุม(วันกิยามะห์) ซึ่งไม่มีข้อสงสัยใดๆในวันนั้น พวกหนึ่งจะอยู่ในสวรรค์ และพวกหนึ่งจะอยู่ในนรก( 42:7)
เมื่อเราพิจารณาดูหนังสืออธิบายอัลกุรอานที่ปรากฏตลอดระยะเวลา 14 ศตวรรษ เราจะพบว่า บรรดานักอธิบายอัลกุรอานทุกคน เพียงพูดว่า อุมมุลกุรอ คือ มักกะห์ อัลมุกัรร่อมะห์ (มักกะห์ที่มีเกียรติ) บุคคลหนึ่งอาจจะตั้งคำถามขึ้นถามว่า เพราะเหตุใดอัลเลาะห์จึงเรียกมักกะห์ว่า อุมมุลกุรอ? และทำไมจึงทรงทำให้เมืองนี้เป็นจุดเริ่มต้นแห่งการเชิญชวนของท่านนบีมุฮัมหมัด ? และทำไมจึงให้เป็นกิบละห์(จุดผินหน้า) ของมุสลิมในการละหมาด? ทำไมจึงให้เป็นสถานที่ชุมนุมของมุสลิมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งจัดขึ้นทุกปีในเทศกาลฮัจญ์? แต่ทว่าเราไม่พบคำตอบเกี่ยวกับคำถามเช่นนี้ในบรรดาหนังสืออธิบายอัลกุรอานเลย
จุดศูนย์กลางของพื้นดินในโลก
ในปี ฮ.ศ.1397 (ค.ศ.1977) ด.ร.ฮุเซนกะมาลุดดีน ได้ออกประกาศตามที่มีปรากฏในนิตยาสาร วิทยาสาร อันดับที่ 20 ว่า เขาสามารถไขปัญหาปริศนาซึ่งจะได้มีการหยิบยกมาวิเคราะห์กันได้แล้ว เขากล่าวต่อไปว่า ในการค้นคว้าหาวิธีอันเป็นประโยชน์ซึ่งจะทำให้มุสลิมรู้ถึงทิศทางของกิบละห์ในการปฏิบัติการละหมาด ไม่ว่าจะอยู่ ณ จุดใดของโลก เขาจึงได้ประดิษฐ์เครื่องอุปกรณ์เล็กๆชนิดหนึ่งขึ้น ซึ่งมุสลิมจะใส่กระเป๋าติดตัวไป เพื่อจะใช้ในการกำหนดทิศทางของกิบละห์ ในขณะที่เขาทำละหมาดในระหว่างเดินทางไม่ว่าจะอยู่บนบก ทางทะเล หรือทางอากาศ แต่ทว่า เขาไม่มีทุนอย่างเพียงพอที่จะผลิตอุปกรณ์ชนิดนี้ เพื่อให้มีราคาเหมาะสมสำหรับผู้ใช้ทุกคนได้ โดยเหตุนี้เขาจึงคิดทำการวาดแผนที่โลกขึ้น เพื่อกำหนดทิศทางกิบละห์ ในขณะที่กำลังวาดแผนที่อยู่นั้น เขาได้ค้นพบโดยบังเอิญว่า มักกะห์คือจุดศูนย์กลางของพื้นดินในโลกปัจจุบัน และก็เป็นจุดศุนย์กลางของพื้นดินในโลกโบราณขณะที่เริ่มการเชิญชวนไปสู่อิสลาม ก่อนที่จะค้นพบทวีปอเมริกาและออสเตรเลียด้วย
ดร.ฮุเซน กะมาลุดดีน กล่าวต่อไปว่า : ดังนั้น จึงเป็นการง่ายสำหรับเราในปัจจุบันที่จะทำความเข้าใจต่อโองการของอัลเลาะห์ ในซูเราะห์ อัลบะเกาะเราะห์ อายะห์ที่ 143 ที่ว่า :
และในทำนองเดียวกัน เรา(อัลเลาะห์) ได้ทำให้พวกเจ้า(มุสลิม) เป็นประชาชาติสายกลาง(2:143)
และสองโองการของซูเราะห์ อัลอันอาม และซูเราะห์ อัชชูรอ ที่เราได้นำมากล่าวไว้ข้างต้นแล้ว
ฮิกมะห์เกี่ยวกับการตั้งชื่อมักกะห์ว่า อุมมุลกุรอ
เป็นที่ทราบกันดีว่า บรรดามุสลิมต่างเวียนรอบวิหารกะอฺบะห์ ณ นครมักกะห์ ทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่ว่าจะในฤดูร้อน หรือฤดูหนาว เป็นประจำไม่ขาดระยะเลย การเวียนรอบเช่นนี้ของเขาเหล่านั้นเป็นคล้ายกับตัวอิเล็กตรอน (ประจุไฟฟ้าลบ) ที่วิ่งวนรอบนิวเคลียส(จุดศูนย์กลางของอะตอม) ของอะตอมหนึ่งๆ(ปรมาณู) หรือเป็นคล้ายๆกับบรรดาดวงดาวต่างๆ ที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ เมื่อเราสมมติว่า บรรดามุสลิมที่มีอยู่ในส่วนต่างๆของโลก และเขาเหล่านั้นปฏิบัติละหมาด 5 เวลา ภายในเวลาของมัน ซึ่งย่อมจะมีความแตกต่างกันระหว่างสถานที่หนึ่งกับอีกสถานที่หนึ่ง ทั้งนี้โดยพิจารณาความแตกต่างของกลางคืนกับกลางวัน
ถ้าหากว่าคนหนึ่งในหมู่พวกเราโดยสารอยู่บนดาวเทียมโคจรรอบโลก เขาก็จะเห็นว่า บรรดามุสลิมต่างยืนละหมาด โค้งคำนับ(รุกัวะอฺ) กราบ(สุญูด) โดยผินหน้าไปทางมักกะห์ โดยคล้ายวงกลมหนึ่ง ซ้อนอีกวงกลมหนึ่งตลอดเวลา ไม่มีขาดตอนเลย ถ้าหากว่าวงกลมหนึ่งหยุด อีกวงกลมหนึ่งก็จะเคลื่อนไหว เรามีหลักฐานประกอบคำกล่าวอ้างเช่นนี้จากอัลกุรอาน โดยที่พระองค์อัลเลาะห์ได้ตรัสไว้ในซูเราะห์ อัลฮัจญ์ โองการที่ 26 ว่า :
และจงรำลึกถึงครั้นเมื่อเรา(อัลเลาะห์) ได้ชี้ให้อิบรอฮีมได้รู้ถึงที่ตั้งแห่งอาคาร(อัลบัยต์) ว่าเจ้าจงอย่าตั้งสิ่งใดเป็นภาคีกับข้า และจงทำความสะอาดอาคารของข้า สำหรับบรรดาผู้(ฏอว๊าฟ) เดินเวียนรอบ ผู้ที่ยืนละหมาด ผู้ที่ก้ม(รุกัวะอฺ) และผู้ที่กราบ(สุญูด)(22:26)
โดยเหตุนี้ จึงทำให้เราเข้าใจได้ถึงฮิกมะห์ที่อัลเลาะห์ได้ทรงเรียกมักกะห์ว่า อุมมุลกุรอ และได้ทรงทำให้เป็นจุดเริ่มต้นของการเชิญชวนไปสู่อิสลาม โดยถือว่าเป็นจุดถ่วงดุลของโลกนี้ทางด้านสถานที่
และโองการของอัลเลาะห์ ในซูเราะห์ อาละอิมรอน ได้ให้การสนับสนุนความเห็นนี้ พระองค์ตรัสว่า :
แท้จริง อาคารหลังแรกที่ถูกก่อตั้งขึ้นสำหรับมนุษย์(เพื่อทำการเคารพภักดี) นั้น อยู่ที่มักกะห์ เป็นที่ๆมีความจำเริญ และเป็นแนวทางอันเที่ยงตรงสำหรับโลกทั้งผอง ณ อาคารนี้ มีสัญญาณต่างๆมากมายที่ชัดแจ้ง (เช่น) ที่ยืน(มะกอม) ของอิบรอฮีม และผู้ใดเข้าไปในอาคารนี้ เขาจะได้รับความปลอดภัย และสำหรับ(ภารกิจที่) อัลเลาะห์(ทรงกำหนด) แก่มนุษย์คือ การมุ่งเดินทางสู่อาคารเหล่านั้น เพื่อประกอบพิธีฮัจญ์ สำหรับผู้ที่มีความสามารถ และผู้ใดที่ปฏิเสธ แท้จริง อัลเลาะห์ทรงเป็นผู้มั่งคั่ง(ไม่ทรงพึ่งพิง) เหนือโลกทั้งผอง (3 : 96-97)
โดยเหตุนี้ จึงทำให้มักกะห์เป็นเมืองแม่ของบรรดาเมืองทั้งหลาย ทั้งนี้เนื่องจากเป็นสถานที่ตั้งทางภูมิศาสตร์และเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ โดยได้ผูกความสัมพันธ์มนุษยชาติทั้งหลายด้วยกับสายใยร่วมกันซึ่งมีจุดปมอยู่ที่อาดัม และสายใยนี้ ได้ทำให้มนุษยชาติมีความสูงส่งด้วยกับการมีเอกภาพต่อพระผู้สร้าง ผู้ทรงบันดาล พระองค์องค์เดียวที่เป็นที่พึ่งเสมอ
จากการตีความเช่นนี้เอง ซึ่งจะไม่มีผู้ใดคัดค้าน เว้นแต่ผู้ที่มีความยะโส ผู้ที่มีความดื้อรั้น ซึ่งเขามิได้บรรจุสิ่งใดไว้ในหัวใจ เว้นแต่อารมณ์ใฝ่ต่ำของเขาเท่านั้น
ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงขอเรียกร้องโลกอิสลาม ซึ่งมีอาณาเขตตั้งแต่ปลายมหาสมุทรหนึ่ง จรดมหาสมุทรอีกด้านหนึ่ง ให้ปลดแอกตนเองจากการตกเป็นทาสของศัตรูอิสลามทางเส้นเวลากรีนิชในการกำหนดเวลา และจำเป็นจะต้องกำหนดให้เส้นแวงขึ้นมาใหม่ ซึ่งลากผ่านมักกะห์ เป็นจุดเริ่มต้นแห่งการคำนวณทางด้านการกำหนดเวลาภายในโลก หรือโดยเฉพาะสำหรับประชาชาติอิสลาม เพื่อเป็นการยืนยันถึงข้อเท็จจริงของอัลกุรอาน และเพื่อยืนหยัดด้วยกับตัวเอง เพราะการคัดเลือกเส้นกรีนิชในการกำหนดเวลาของโลกนั้นมิใช่อื่นใด หากแต่เป็นการตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของจักรวรรดินิยมตะวันตก อิทธิพล และการกดขี่ และไม่ปรากฏว่ามีมุสลิมคนใดมีส่วนร่วมในการคัดเลือกศูนย์การกำหนดเวลานี้ด้วยเลย โดยเหตุนี้ จึงจำเป็นที่เราจะต้องมีอิสรภาพและมีจุดยืนของเราเองในการกำหนดเวลา และสิ่งที่ดีที่สุดที่เราจะจบบทความนี้คือ การยกเอาดำรัสของผู้ทรงสูงส่ง ผู้ทรงอานุภาพ ซึ่งได้ตรัสไว้ในซูเราะห์ อัลบะเกาะเราะห์ อายะห์ที่ 145 ว่า :
และแน่นอน ถ้าหากว่าเจ้า(มุฮัมหมัด) จะได้นำหลักฐานทุกประการมาเสนอต่อบรรดาชนที่ได้รับคัมภีร์เหล่านั้น(พวกยิวและคริสต์) ก็ดี พวกเขาจะยอมหันตาม(กิบละห์) ของเจ้าก็หาไม่ อีกทั้งเจ้าก็ย่อมไม่ยอมหันตามกิบละห์ของพวกเขา และในหมู่พวกเขาเอง ก็ยังไม่ยอมหันมาตามกิบละห์ของกันและกัน และหากว่าเจ้าอนุโลมตามอารมณ์ปรารถนาของพวกเขาภายหลังจากที่ได้มีความรู้ ความเข้าใจแก่เจ้าแล้วไซร้ แน่นอน เจ้าก็จะพลันตกเป็นฝ่ายอธรรมเป็นแน่แท้( 2 : 145)
วัสสลาม