มุฮัมมัด ศาสนฑูตของอัลลอฮ์
  จำนวนคนเข้าชม  13472

 

 

"มุฮัมมัด" ศาสนฑูตของอัลลอฮ์

โดย อ.อิมรอน มะกูดี

 

         ท่านนะบีมุฮัมมัด นั้นท่านไม่ได้พึ่งความยิ่งใหญ่แห่งมนุษย์ชาติ บนทรัพย์สิน ความมีหน้ามีตา ความเป็นมหาเศรษฐี หรือความเป็นญาติใกล้ชิด ทั้งนี้เพราะท่านเติบโตขึ้นมา ในฐานะลูกกำพร้าและความยากจน ท่านมีชีวิตอยู่อย่างผู้ที่อ่านเขียนไม่เป็น ตั้งแต่แรกเริ่มจนกระทั่งวาระสุดท้าย ชีวิตของท่านปราศจากความฟุ่มเฟือย เพริดแพร้ว ความจอมปลอมของวัตถุ และอารณ์ใฝ่ต่ำ ดังนั้น ท่านจึงสู้รบกับนักรบ หาฟืน ขุดสนามเพลาะ และสร้างมัสยิดด้วยมือที่มีเกียรติของท่าน

ท่านต้องเผชิญการโจมตีของศัตรูหลายๆ สมรภูมิ ท่านเคยหาหินมาผูกไว้กับท้องเพราะความหิวโหย ท่านได้ถูกให้เลือกระหว่างการเป็นนะบีที่เป็นกษัตริย์  และการเป็นนะบีที่เป็นบ่าว ท่านได้เลือกเอาการเป็นนะบีที่เป็นบ่าว เพราะจะได้หิวโหยวันหนึ่งแล้วอดทน และอิ่มวันหนึ่ง แล้วขอบคุณต่ออัลลอฮ์  ท่านรักการเป็นนะบีมากกว่า ทั้งๆที่เสียงของพวกมุชริกยังดังก้องหู เรียกร้องให้ท่านเป็นกษัตริย์ที่ร่ำรวย โดยคัดค้านท่านในการเป็นบ่าวและเป็นเราะซูล

          อัลกุรอาน ได้เล่าเรื่องของคนเหล่านั้น ไว้ในซูเราะฮ์อัลฟุรกอน มีความว่า

"และเขาเหล่านั้นกล่าวว่า นี่เราะซูลอะไรกัน เขากินอาหารและเดินในตลาด

ไฉนเล่ามลาอิกะฮ์ตนหนึ่งไม่ถูกส่งมายังเขา(เราะซูล) จะได้มาเป็นผู้ตักเตือนร่วมกับเขา

หรือไม่ก็คลังสมบัติถูกโยนมาให้เขา หรือไม่ก็ให้มีสวนหนึ่งแก่เขา โดยที่เขาจะได้บริโภค(ลูกไม้) จากสวนนั้น

และพวกอธรรมกล่าวว่า ท่านทั้งหลาย(กลุ่มผู้ศรัทธาต่ออัลลอฮ์) มิได้ดำเนินตามใคร นอกจากคนที่ถูกอาคมครอบงำเท่านั้น"

 

          ท่านอุมัร อิบนุคอฏฏอบ ได้เดินเข้าไปหาท่านเราะซูล  ขณะที่ท่านกำลังนอนหลับอยู่บนเสื่อผืนเก่าๆ ซึ่งสีข้างของท่านยังมีรอยเสื่อติดอยู่ ท่านอุมัร ได้ร้องไห้เมือได้เห็นสภาพของท่านเราะซูล  เป็นเช่นนั้น หลังจากท่านได้รำลึกถึงกษัตริย์เปอร์เซีย(กิสรอ) ซีซาร และสิ่งที่คนทั้งสองอวดดีอวดโต และโอ้อวดด้วยการใช้ผ้าไหม ผ้ากำมะหยี่ และสิ่งที่เขาทั้งสองได้รับความสุขในพระราชวัง   ท่านเราะซูล  จึงปลอบโยนท่านอุมัรว่า

"โอ้ อุมัร พวกเหล่านี้เป็นหมู่คณะที่จะได้รับสิ่งดีๆ อย่างรีบด่วนในชีวิตนี้ ส่วนพวกเรานั้นเป็นหมู่คณะที่จะได้รับสิ่งดีๆ ในภายหลัง คือ วันกิยามะฮ์"

 

         แท้จริง มุฮัมมัด  ในความยิ่งใหญ่อันแท้จริงของท่านนั้น ท่านมีชีวิตอยู่อย่างง่ายๆ แม้ภายหลัง อัลลอฮ์ ได้ทรงอำนวยให้พิชิตเมืองต่างๆ และบรรลุสู่ชัยชนะอย่างชัดแจ้งต่อศัตรู ท่านก็มิได้ใช้ผ้าไหมปูแทนพรม มิได้สวมใส่เสื้อผ้ากำมะหยี และมิได้ประดับประดาด้วยทองคำ ตรงกันข้ามบ้านพักของท่านกลับเป็นบ้านเล็กๆ ที่อยู่แบบธรรมดาๆ และปรากฏว่าเดือนหนึ่ง หรือสองเดือนผ่านไป ในบ้านหลังนั้นมิได้มีการจุดไฟหุงหาอาหารกันเลย

         อุรวะฮ์ อิบนุ ซุไบยร์ กล่าวขณะนั่งฟังท่านหญิงอาอิซะฮ์ น้าสาวของเขาพูดกับเขาถึงเรื่องนี้ว่า

"โอ้ น้าสาว เขา(มุฮัมมัด) มิได้ให้พวกท่านกินอยู่บ้างหรือ" ท่านหญิงอาอิซะฮ์ กล่าวว่า "มีอยู่สองอย่าง คือ อินทผลัม กับ น้ำ"

 

         ท่านเราะซูล  ไม่เคยประจบสอพลอหมู่คณะของท่าน หรือพยายามเอาอกเอาใจคนเหล่านั้น หากแต่ท่านมีเป้าหมายอยู่อย่างเดียวเท่านั้น คือ การเชิญชวน การเรียกร้องสู่อัลลอฮ์ สู่การศรัทธาต่อพระองค์ และช่วยเหลือมนุษย์  ให้พ้นจากความหลงผิดของการบูชาเทวรูป  เเละความเหลวไหลไร้สาระของญาฮิลียะฮ์

         ขณะที่ท่านเราะซูล  กล่าวเเก่เขาเหล่านั้นว่า  เเท้จริง  ฉันนี้คือเราะซูลของอัลลอฮ มายังพวกท่านทั้งมวล พวกเขาเหล่านั้นปฏิเสธท่าน เเละรวมหัวกันต่อต้าน เเต่ท่านไม่ได้อ่อนข้อให้เขาเหล่านั้น ตรงกันข้ามท่านกลับเริ่มโจมตีในสิ่งที่พวกเขาหวงเหนเเละบูชาอยู่ คือ ในหลักการเชื่อมั่น เเละการค้าขายของพวกเขา จนกระทั่งบางคนในหมูพวกเขา กล่าวเเก่ท่านว่า

"โอ้ มูฮัมหมัด เเท้จริงท่านได้นำเรื่องสำคัญยิ่งมาสู่หมู่คณะเเละด้วยสิ่งที่เจ้านำมานั้น เจ้าได้ให้หมู่คณะเเตกแยกกัน

เจ้าได้สบประมาทคนเหล่านั้น เเละได้ตำหนิพระผู้เป็นเจ้า เเละศาสนาของของคนเหล่านั้น"

 

        คนทั้งหลายได้ทำร้าย เละสู้รบกับท่านนะบี  กดขี่ และทำร้ายสาวกของท่าน จนชีวิตความเป็นอยู่ของท่านนะบีในมักกะห์นั้น เป็นเสมือนสายโซ่แห่งความยากลำบาก(คือมีความยากลำบากอยู่เนืองๆ) อีกทั้งศรัทธาชน  ผู้เป็นสาวกได้รับการเขย่าขวัญอย่างรุนเเรง

         ถึงกระนั้นก็ตาม ท่านมิได้อ่อนเเอ และความตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวมิได้เสื่อมคลายเลย ท่านมิได้คิดที่จะเอาใจ  หรือสร้างความพึงพอใจแก่คนเหล่านั้น แม้แต่ลุงของท่านเอง (อบูฏอเล็บ) เมื่อเขาได้ขอร้องให้ท่านลดหย่อนการรณรงค์ต่อพวกมุชริกีน ท่านนะบีได้ปฏิเสธคำขอร้องนั้นอย่างเด็ดขาด  พร้อมกับกล่าวถ้อยคำที่เป็นที่ทราบกันอย่างเเพร่หลายว่า

"โอ้ คุณลุง ขอสาบานด้วยอัลลอฮ์ หากเขาเหล่านั้นจะเอาดวงอาทิตย์มาวางไว้ในมือขวาของฉัน   และเอาดวงจันทร์มาวางไว้ในมือซ้ายของฉัน

โดยทีจะให้ฉันทิ้งเรืองนี้ (เรืองการเผยเเพร่ศาสนา)   ฉันจะไม่ยอมทิ้งเป็นอันขาด  จนกว่าอัลลอฮ์จะทรงให้เรื่องนั้นประจักษ์ชัด  หรือจะทรงทำลายสิ่งอื่นจากมัน"

 

         เเละนี่คือสิ่งที่พวกกกุรอยช์ได้เสนอเเก่ท่านนะบี   ซึ่งการเป็นกษัตริย์ครองอำนาจราชบัลลังก์  ทรัพย์สมบัติ   เกียรติ  ความมีหน้ามีตา เเละการเป็นนายโดยให้แลกเปลี่ยนกันกับการละทิ้งการเรียกร้องเชิญชวน หรือไม่ก็ปล่อยให้อยู่ในระหว่างตัวท่านกับหมู่คณะของท่าน

          อุตบะฮ์ อิบนุ ร่อบีอะฮ์ ไปหาท่านเราะซูล  ในฐานะเป็นตัวแทนจากพวกกุรอยช์ เสนอข้อเสนอดังกล่าวทั้งหมดเพื่อเป็นการยั่วให้เกิดความอยากได้ และเป็นการทดสอบท่าน 

อุตบะฮ์  กล่าวว่า

          "โอ้  ลูกของน้องชาย  (หลาน)  เอ๋ย เจ้านั้นก็เป็นคนหนึ่งในพวกเรา  โดยที่เจ้านั้น  มาจากตระกูลที่ดีเลิศในพวกเรา   เเละมีเชื่อสายที่มีเกียรติยิ่งในพวกเรา แท้จริง เจ้าได้นำเอาเรื่องสำคัญใหญ่หลวงมาสู่หมู่คณะของเจ้า เจ้าได้ทำให้ชุมชนในหมู่คณะนั้นแตกแยกกัน  เจ้าได้สบประมาทพระผู้เป็นเจ้าของเขาเหล่านั้น 

โอ้มุฮัมมัดเอ๋ย  หากเจ้าต้องการทรัพย์สมบัติในเรื่องนี้ เราก็จะรวบรวมทรัพย์สมบัติให้เเก่เจ้า จนกระทั่งเจ้าเป็นคนที่มีทรัพย์สมบัติมากที่สุดในพวกเรา หากเจ้าต้องการเป็นกษัตริย์   เราก็จะแต่งตั้งเจ้าให้เป็นกษัตริย์ปกครองเรา  

หากเจ้าต้องการเกียรติยศและการเป็นนาย เราก็จะเเต่งตั้งเจ้าให้เป็นนายเหนือพวกเรา หากผู้ที่มาหาเจ้าเเสดงว่าเป็นผู้ที่มาจากญิน เเละเจ้าไม่สามารถจะขจัดปัดเป่าให้ พ้นจากตัวเจ้าได้   เราก็จะหาหมอให้เจ้า เเละจะเป็นผู้ที่ออกค่าใช้จ่ายให้เจ้าจนกระทั่งเจ้าพ้นจากการรบกวนของพวกญิน"

          ท่านเราะซูล  ตอบอุตบะฮ์ ด้วยอายาตอัลกุรอาน ซึ่งสามารถครอบงำจิตใจความนึกคิด เเละก่อให้เกิดความประทับใจเเก่เขาอย่างยิ่งยวด   จากอายาตต่างๆ  ที่ท่านเราะซูลได้นำมาอ่าน  เขาได้พบว่า  ท่านไม่มีความโลภ ความหลงในการมีอำนาจปกครอง ในทรัพย์สมบัติ  หรือการเป็นนายเหนือหัว  หากเเต่ความตั้งใจจริงอันเดียวเเละเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของท่าน คือ ต้องการให้คนทั้งหลายเคารพสักการะพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา ไม่นำเอาสิ่งใดมาเป็นภาคีกับพระองค์  เเละละทิ้งสิ่งที่ปู่ย่าตายายเคยปฏิบัติมาอันเป็นเรื่องหลงผิดเเละเหลวไหล

 

         อีกด้านหนึ่ง ท่านเราะซูล ได้อ่านพระคัมภีร์ให้เเก่มนุษย์ฟัง ซึ่งในคัมภีร์นั้นพระองค์ได้ทรงตำหนิท่านในบางครั้ง ขณะที่เราเห็นว่าผู้ชอบเป็นผู้นำ พยายามที่จะปกปิดข้อตำหนิเหล่านั้นมิให้ประชาชนรู้ เเล้วเเสดงต่อหน้าคนทั้งหลาย  ซึ่งทุกสิ่งที่เป็นความประเสริฐอันจะทำให้ใกล้ชิดกับคนทั้งหลายยิ่งขึ้น ส่วนท่านเราะซูล  นั้น  ทั้งๆที่ได้รับการสนับสนุนจากวะฮีย์ที่มาจากเบื้องบนท่านยังยอมการตำหนิจากอัลลอฮ์ ด้วยหัวใจที่กว้างขว้าง  ท่านได้เผยเเพร่ออกไปอย่างตรงไปตรงมาชัดเจน ด้วยความสัตย์จริง เเละความซื่อสัตย์ ส่วนหนึ่งจากตัวอย่างนั้น  คือ  สิ่งที่อัลลอฮ์ได้ระบุไว้ซึ่งมีความว่า

 "ไม่บังควรที่นะบี จะมีเชลยไว้กับเขา  จนกว่าเขาจะได้ทำการสังหารอย่างมากมาย  ในผืนเเผ่นดิน

พวกเจ้าต้องการปัจจัยในโลกนี้    เเต่อัลลอฮ์ทรงประสงค์ให้ได้  ในอาคีเราะฮ์เเละอัลลอฮ์นั้นทรงเดชานุภาพ  ทรงปรีชาญาณ"

"และหากไม่มีกำหนดมาจากอัลลอฮ์มาก่อน แน่นนการลงโทษอันอันยิ่งใหญ่ก็ประสบกับเจ้าในสิ่งที่พวกเจ้าได้เอา (ค่าไถ่)"

และอัลลอฮ์ตรัสไว้มีความว่า

"และจงรำลึก เมื่อเจ้ากล่าวแก่ผู้ที่อัลลอฮ์ทรงโปรดปรานแก่เขา และที่เจ้าก็โปรดปรานแก่เขาว่า ท่านจงยึดคู่ครองของเจ้าไว้แก่เจ้าเถิด

และจงยำเกรงต่ออัลลอฮ์และจงปกปิดไว้ในใจของเจ้า สิ่งที่อัลลอฮ์จะทรงเป็นผู้เปิดเผยมัน

และเจ้าเกรงกลัวมนุษย์ และต่ออัลลอฮ์นั้น สมควรยิ่งกว่าที่เจ้าจะกลัวเกรงพระองค์"

 

             แท้จริงท่านนะบีมูฮัมมัด  มีบุคลิกภาพหลายด้านของความยิ่งใหญ่แห่งอิสลามปรากฎอยู่  ซึ่งท่านไม่ได้ ได้มาด้วยทรัพย์สมบัติเพราะท่านใช้ชีวิตอยู่อย่างยากจน ท่านมิได้รับความยิ่งใหญ่จากบิดามารดา เพราะท่านเติบโตขึ้นมาเป็นลูกกำพร้า และท่านก็มิได้ได้มาจากครูผู้สอน เพราะท่านเป็นคนเขียน อ่านไม่เป็น

            อันที่จริงมันเป็นนุบูวะฮ์ (การเป็นนบี) ที่อัลลอฮ์ทรงประทานให้แก่ท่าน และไม่เป็นการถูกต้องในความคิดที่กล่าวว่าท่านเป็นผู้นำ ภายหลังจากที่เราทราบถึงคุณสมบัติของการเป็นนะบี และเป็นผู้นำ นอกเหนือจากนั้นพวกที่มีเป้าหมายอยู่เบื้องหลังในการบรรยายคุณลักษณะของการเป็นผู้นำให้แก่ท่านเราะซูล โดยการทำให้ท่านห่างไกลจากวะฮีย์แห่งพระผู้เป็นเจ้า

         ท่านเราะซูล เป็นผู้ฟื้นฟู ปฏิรูปสังคมหรือ ! จากข้อเท็จจริงที่ปรากฏแน่นอนว่า มุฮัมมัด เป็นเราะซูล เป็นนะบี ซึ่งได้ปรับปรุงแก้ไขสภาพแห่งมนุษย์ชาติที่กำลังตกต่ำ ในฐานะท่านเป็นเราะซูลไม่ใช่ในฐานะผู้ปฏิรูปสังคม  ผู้ที่เป็นศัตรูกับอิสลามมักอ้างว่า มุฮัมมัด  ได้ใช้ศาสนาบังหน้า เพื่อปรับปรุงแก้ไขสถานะภาพของสังคมที่กำลังฟอนเฟะ ซึ่งเขาเหล่านั้นโกหก โดยพระองค์อัลลอฮ์ได้ระบุไว้ในอัลกุรอาน ความว่า

"ถ้อยคำที่ออกจากปากพวกเขาเหล่านั้น ชางใหญ่โตเหลือเกิน พวกเขามิได้พูดสิ่งใดนอกจากเป็นการโกหกเท่านั้น"

 (อัลกะฮฟ์ / 5)

         เพราะหน้าที่ของผู้เชิญชวนสู่การปรับปรุงฟื้นฟูสังคมนั้น จะกำจัดอยู่แต่เพียงด้านสังคมเท่านั้น ไม่เชิญชวนกินเลยไปด้านอื่นๆอีก ส่วนท่านเราะซูล  นั้น การเชิญชวนของท่านครอบคลุมไปทุกด้าของการดำเนินชีวิต เช่น ด้านหลักการเชื่อมั่น หลักการเคารพสักการะ การสังคม การเมือง การวางบทบัญญัติ (กฏหมาย) เศรษฐกิจ และด้านศีลธรรมจรรยามารยาท

- สำหรับหลักการเชื่อมั่นนั้น ได้แก่ การศรัทธาต่ออัลลอฮ์ ต่อมลาอิกะฮ์ ต่อบรรดาคัมภีร์ ต่อบรรดาเราะซูล ต่อวัปรโลก ต่อการกำหนดกฏสภาวะ(กอฎอ กอดัร)

- ส่วนมุอามาลาต คือการปฏิบัติต่อกันในสังคม อันได้แก่ การค้าขาย การจำนอง การให้เช่า และอื่นๆ

 - มารยาทในสังคมได้แก่ มารยาทในการเข้าบ้าน มารยาทในการรับประทานอาหาร เป็นต้น

- ด้านการลงโทษ ได้แก่ บทลงโทษในการทำซินา การดื่มสุรา และการฆ่า เป็นต้น

- การตัดสินคดีระหว่างคนทั้งหลาย และการชี้ขาดในข้อพิพาท

- บทบัญญัติหลังจากตายไปแล้ว เช่น การแบ่งมรดก การทำพินัยกรรม

- ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในยามสงคราม ในยามสงบ และสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสภาวะการณ์ทั้งสอง

- ด้านศีลธรรม ได้แก่ ความสัตย์จริง ความซื่อสัตย์ และการปฏิบัติตามสัญญา เป็นต้น

 

         ท่านเราะซูล และสาวก ได้ผชิญกับความหายนะมาแล้ว เพื่อยึดมั่นหลักการเชื่อมั่นในเรื่องของเตาฮีด(หลักเอกภาพของอัลลอฮ์) และทำการอิบาดะฮ์(เคารพ) สักการะต่ออัลลอฮ์ ด้วยความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง

          ท่านได้ดำเนินการเรียกร้องเชิญชวนต่อไป แม้จะเห็นว่าการทำเช่นนั้น ได้นำภยันตรายร้ายแรงมาสู่ผู้ที่ศรัทธาต่อท่าน และนำไปสู่การปิดล้อมที่ช่องเขาบะนีฮาซิม มีการต่อต้านอย่างสมบูรณ์แบบ และมีการขับไล่ไสล่งออกนอกเมือง

          ท่านได้ใช้ให้ผู้ดำเนินตามละหมาดกลางคืน และละหมาดวันละ 5 เวลา ถือศีลอดหนึ่งเดือนเต็มทุกปี

          ท่านเรียกร้องอะหลุลกิตาบ(คริสต์ และยิว) ด้วยการเชิญชวนให้รับอิสลาม อีกทั้งยังเรียกร้องเชิญชวนผู้ที่บูชาเทวรูปให้เลิกการเคารพบูชารูปปั้น ท่านได้เชิญชวนชาวโลกให้เคารพในศาสนาอิสลาม และประกาศว่าท่านเป็นนะบีและเราะซูลคนสุดท้าย

 

          ทั้งหมดนั้นคือหลักฐานยืนยันว่า มุฮัมมัด  เป็นเราะซูลจากอัลลอฮ์ เผยแพร่จากพระผู้เป็นเจ้า โดยมิได้คำนึงถึงสิงอื่นใด นอกจากทำหน้าที่เพื่ออัลลอฮ์เท่านั้น และนั่นเป็นการตอบโต้ที่หยาบคายต่อข้ออ้างที่ทำให้ท่านห่างไกลจากวะฮีย์ของพระผู้เป็นเจ้า และถือว่าท่านเป็นคนหนึ่งในบรรดาผู้ปรับปรุงฟื้นฟูที่ปรากฏตัวขึ้นในบางโอกาส

          แท้จริงท่านนะบีมุฮัมมัด  มิได้วางเป้าหมายการเผยแพร่ไปในด้านการปรับปรุง สังคมเท่านั้น หากแต่ความสนใจอันดับแรกคือ การแก้ไขหลักการเชื่อมั่นให้ถูกต้อง และการจัดะเบียบความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับอัลลอฮ์ โดยทางการอิบาดะฮ์ และปรับปรุงการปฏิบัติต่อกัน ถึงแม้การปรับปรุงแก้ไขสังคม และการเมืองจะประสบผลสำเร็จโดยท่านเราะซูล  แต่นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งในการเผยแพร่และเชิญชวนในฐานะเราะซูลจากอัลลอฮ์สู่สากลโลก

          สภาพการของท่านเราะซูล  ย่อมเป็นประจักษ์พยานได้อย่างดีว่า ท่านเป็นนะบี เป็นเราะซูล และได้มีการแจ้งข่าวดีถึงตัวท่านไว้ก่อนหน้านี้ว่าท่านจะปรากฏตัวขึ้นมา บรรดาเราะซูล และนะบีได้แจ้งข่าวไว้จนกระทั่งท่านนะบีมุฮัมัด  ได้กล่าวว่า

"ฉันคือคำวิงวอนของอิบรอฮีม บิดาของฉัน และข่าวดีจากอีซา อะลัยฮิสลาม พี่ชายของฉัน"  

          ส่วนคำวิงวอนของอิบรอฮีม อะลัยฮิสลาม บิดาของฉันก็คือ

"ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าของเรา ขอพระองค์ได้ทรงแต่งตั้งในพวกเขา ซึ่งเราะซูลคนหนึ่งจากพวกเขา

โดยที่เราะซูลผู้นั้นจะได้อ่านโองการของพระองค์ท่านแก่พวกเขา และสอนพวกเขาซึ่งคัมภีร์และวิทยาการ

และขัดเกลาเขาเหล่านั้นให้สะอาดปราศจากการตั้งภาคีกับอัลลอฮ์ แท้จริงพระองค์ท่านเป็นผู้ทรงเดชานุภาพ ทรงปรีชาญาณ"

 

          ส่วนข่าวดีที่นะบี อีซา อะลัยฮิสลาม ได้แจ้งไว้คือ

"และจงรำลึกเมื่ออีซาบุตรของมัรยัมได้กล่าวว่า โอ้วงศ์วานของอิสรออีล แท้จริงฉันนี้เป็นเราะซูล ของอัลลอฮ์

มายังพวกเจ้าในฐานะเป็นผู้ยืนยันคัมภีร์เตารอต อันเป็นสิ่งที่อยู่ต่อหน้าของฉันและในฐานะเป็นผู้บอกข่าวดีถึง(วงศ์วานอิสรออีล)

เราะซูลคนหนึ่งที่จะมาหลังจากฉัน เขามีชื่อว่า อะหมัด แต่แล้วเมื่อเขา(มุฮัมมัด) ได้นำเอาบรรดาหลักฐานอันชัดแจ้งมายังพวกเขา

แล้วพวกเขาก็กล่าวว่า นี่เป็นไสยศาสร์อย่างชัดแจ้ง"

 

          ชีวิตของท่านเราะซูล เป็นภาพแห่งการปฏิบัติตามอัลกุรอานที่ท่านนำมาจากอัลลอฮ์ ท่านนะบี ได้กล่าวว่า

"อัลลอฮ์ ทรงอบรมฉัน และพระองค์ก็ให้การอบรมแก่ฉันอย่างสวยงาม"

 

         ท่านหญิงอาอิซะฮ์ กล่าวว่า มารยาทของท่านเราะซูล  คือ อัลกุรอาน และท่านเราะซูล  จะไม่บัญชาให้ทำกิจการใด นอกจากท่านจะเป็นคนแรกในบรรดาผู้ลงมือทำ และท่านจะไม่ห้ามปรามสิ่งใด นอกจากท่านจะเป็นหมู่ในผู้ละเว้นจากสิ่งถูกห้าม ท่านละหมาดกลางคืน ท่านทำละหมาดอย่างมาก ท่านบริจาคทานด้วยสิ่งที่มีอยู่ จนกระทั่งเมื่อท่านเสียชีวิต เสื้อเกราะของท่านยังถูกจำนำไว้ที่ชาวยิวคนหนึ่ง เพื่อนำเงินมาเป็นค่าอาหารแก่ครอบครัว

          ขณะที่ลูกชายของท่านชื่อ"อิบรอฮีม" ตาย ได้เกิดสุริยคราสขึ้นตอนกำลังฝัง บรรดามุสลิมมีนที่อยู่รอบหลุมฝังศพ ส่งเสียงตะโกนว่า มันเป็นสัญญาณหนึ่งในบรรดาสัญญาณของอัลลอฮ์ หากท่านเราะซูล  เป็นคนหนึ่งในหมู่ผู้ที่คอยเล่าสิ่งที่ออกนอกกฏเกณฑ์ธรรมชาติ ที่จะยกฐานะของเขาเหล่านั้นเนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แน่นอนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นก็ไม่เป็นภาระแก่ท่าน เพียงแต่ท่านนิ่งเงียบ โดยที่ท่านมิได้อ้างและมิได้ปฏิเสธ ขณะที่ท่านกำลังโศกเศร้าต่อการสูญเสียลูก ท่านก็ไม่ลืมอามานะฮ์ในการนำบรรดาผู้ศรัทธาสู่ทางที่ถูกต้อง ท่านจึงเริ่มตักเตือนบรรดาผู้ศรัทธาให้รำลึกถึงสัญญาณต่างๆของอัลลอฮ์ พลางกล่าวว่า

"แท้จริงดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ นั้นเป็นสัญญาณจากบรรดาสัญญาณของอัลลอฮ์

มันจะไม่เป็นจันทรคราส หรือสุริยคราส เพราะความตาย หรือการมีชีวิตอยู่ของคนหนึ่งคนใด"

 

          สภาพการทั้งหมดนั้น มิได้เป็นประจักษ์พยานว่า เราะซูลนั้นเป็นนะบีที่ถูกแต่งตั้งมาดอกหรือ สิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นหลักฐานที่เด่นชัด และสมบูรณ์ที่สุดที่บ่งบอกถึงการเป็นนะบีและการยืนยันการเป็นเราะซูลของอัลลอฮ์  และได้เปิดเผยถึงเจตนร้ายในการกล่าวอ้างของพวกศัตรูที่ผูกใจเจ็บต่อท่านเราะซูล  ตำแหน่งของท่านในการเป็นเราะซูลของอัลลอฮ์ และในฐานะเป็นความเมตตาที่ถูกมอบให้แก่มนุษย์ทั้งมวล อัลลอฮ์ ผู้ทรงยิ่งใหญ่ ได้ตรัสไว้สมจริงแล้ว ซึ่งพระองค์ได้ตรัสไว้มีใจความว่า

 

"และเรามิได้ส่งเจ้ามา(เพื่ออื่นใด) นอกจากเป็นความเมตตาแก่ประชาชาติทั้งหลาย"