การศรัทธาต่อคัมภีร์
  จำนวนคนเข้าชม  11246

 

คัมภีร์ของอัลออฮ์

โดย อ.มัสลัน มาหะมะ

การศรัทธา 

          ศรัทธาเชื่อมั่นว่าอัลลอฮ์  ได้ทรงประทานบรรดาคัมภีร์ของพระองค์ลงมาแก่มนุษย์โลกในยุคต่างๆโดยผ่านศาสนทูตทั้งหลาย (ที่เรียกว่านะบี หรือเราะซูล) ซึ่งเป็นหลักศรัทธาประการที่สามที่นะบีมุฮัมมัดได้สั่งให้ศรัทธา พระองค์ได้ทรงบัญญัติไว้ในคัมภีร์ต่างๆเกี่ยวกับเอกภาพ(เตาฮีด) การเคารพสักการะ(อิบาดะฮ์) รวมทั้งกฎเกณฑ์ต่างๆ เกี่ยวกับการจัดระเบียบชีวิตมนุษย์ และสร้างความผูกพันอันพึงมีต่อพระผู้เป็นเจ้าในรูปแบบที่พระองค์ทรงยินดี ซึ่งเป็นหลักประกันสำหรับความสุขสันติในโลก(ดุนยา)แห่งนี้ และความรอดพ้นในโลหน้า(อาคิเราะฮ์)

          ก่อนหน้านะบีมุฮัมมัด อัลลอฮ์ ได้ทรงประทานคัมภีร์ให้กับนะบีบางคนของพระองค์ คัมภีร์เหล่านี้ได้ถูกประทานมาในลักษณะเดียวกับที่พระองค์ได้ทรงประทานอัลกุรอาน  เราได้ทราบชื่อของคัมภีร์บางเล่ม เช่น คัมภีร์ของนะบีอิบรอฮีม คัมภีร์เตารอตของนะบีมูซา คัมภีร์ซะบูรของนะบีดาวูด และคัมภีร์อินญีลของนะบีอีซา ส่วนคัมภีร์ที่ถูกประทานให้แก่นะบีคนอื่นๆ นั้นเราไม่ทราบชื่อ ดังนั้นคัมภีร์ทางศาสนาเล่มอื่นไม่อยู่ในฐานะที่จะเชื่อมั่นว่าคัมภีร์เหล่านั้นเป็นต้นฉบับเดิมที่ถูกประทานมาหรือไม่ แต่เราเชื่อมั่นได้ว่าคัมภีร์ที่อัลลอฮ์ ได้ประทานมานั้นล้วนเป็นความจริง

          ในบรรดาคัมภีร์ที่เราได้ถูกบอกกล่าวนั้น คัมภีร์ของนะบีอิบรอฮีมได้สาบสูญไปแล้วและไม่สามารถหาร่องรอยได้ ส่วนคัมภีร์ซะบูรของนะบีดาวูด คัมภีร์เตารอตและอินญีลที่อยู่กับชาวยิวและคริสเตียนนั้น  ในอัลกรุอานได้บอกให้เราทราบว่าคัมภีร์เหล่านี้ได้ถูกปรับเปลี่ยน แก้ไขเพิ่มเติมมากมายหลายครั้ง และถ้อยคำของพระเจ้าได้ถูกบิดเบือนรวมกับสิ่งที่พวกเขาคิดขึ้นมา การบิดเบือน ตกแต่งคัมภีร์มีมากมายจนแม้แต่ชาวยิวและชาวคริสต์เองก็ยอมรับว่าไม่มีต้นฉบับเดิมเหลืออยู่ แต่มีแค่ฉบับแปลเท่านั้น และฉบับแปลนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ในการศึกษาคัมภีร์เราได้พบหลายข้อความและหลายเรื่องที่เห็นได้ชัดว่า ถ้อยคำของพระเจ้าและถ้อยคำของมนุษย์ได้ถูกปะปนกัน และไม่มีทางที่จะรู้ว่าส่วนไหนมาจากพระเจ้าและส่วนไหนเป็นการต่อเติมของมนุษย์

           เราเชื่อว่าก่อนหน้าคัมภีร์อัลกุรอาน อัลลอฮ์  ได้ทรงประทานคัมภีร์ต่างๆ โดยผ่านบรรดานะบีของพระองค์ คัมภีร์เหล่านั้นมาจากพระเจ้าองค์เดียวกันกับผู้ที่ประทานอัลกุรอานมา และอัลกุรอานนั้นมิใช่เป็นเรื่องใหม่ หากแต่ประทานมาเพื่อยืนยัน กล่าวซ้ำและทำให้คำสั่งของอัลลอฮ์ ซึ่งผู้คนได้ทำลายหรือสูญหายไปมีความสมบรูณ์

 

           อัลกุรอานเป็นคัมภีร์เล่มสุดท้ายที่อัลลอฮ์ ได้ประทานมาและมีบางอย่างที่แตกต่างไปจากคัมภีร์ก่อน ๆ สรุปได้ดังนี้

 

           1) ต้นฉบับเดิมของคัมภีร์ก่อนหน้าได้สูญหายไปโดยสิ้นเชิง จะมีแต่ฉบับคำแปลที่ยังคงอยู่ แต่ในทางตรงข้าม คัมภีร์อัลกุรอานยังคงอยู่เหมือนกับที่ถูกประทานแก่นะบีมุฮัมมัดทุกถ้อยคำ ไม่มีหรือแม้แต่พยางค์ใดถูกต่อเติมหรือเปลี่ยนแปลง และวจนะของอัลลอฮ์ ได้ถูกเก็บรักษาไว้ตลอดกาล

 

          2) ในคัมภีร์ก่อนหน้าอัลกุรอาน มนุษย์ได้ใส่คำพูดปะปนไปกับคำบัญชาของพระองค์ แต่ในคัมภีร์อัลกุรอาน เราจะพบเพียงคำสั่งของอัลลอฮ์ เท่านั้น และเป็นคำบัญชาที่คงบริสุทธิ์อยู่ แม้แต่ผู้ปฏิเสธก็ยังยอมรับในความจริงนี้

 

           3) ในกรณีที่ผู้คนกลุ่มต่าง ๆ เราสามารถใช้หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เชื่อถือได้กล่าวว่า คัมภีร์ที่ได้ถูกประทานแก่นะบีท่านอื่นนั้น ไม่ทราบว่าถูกประทานลงมาในยุคไหน แต่สำหรับคัมภีร์อัลกุรอานมี หลักฐานที่ระบุแน่ชัดว่าประทานแก่นะบีมุฮัมมัด และเป็นหลักฐานที่เชื่อถือได้ และแม้แต่นักวิจารณ์อิสลามที่มีอคติที่สุดก็ไม่สามารถสงสัยได้ หลักฐานนี้มีรายละเอียดทุกอย่างแม้แต่เวลาและสถานที่ของการประทาน ข้อความและคำสั่งของคัมภีร์อัลกุรอานก็เป็นที่รู้อย่างแน่ชัด

 

           4) คัมภีร์ก่อนหน้าได้ถูกประทานลงมาในภาษาที่ตายแล้ว ไม่มีชาติหรือชุมชนใดที่พูดภาษาเหล่านั้นและมีเพียงไม่กี่คนที่อ้างว่าเข้าใจภาษาดังกล่าว ดังนั้น หากว่าต้นฉบับของคัมภีร์ยังคงอยู่ในปัจจุบันโดยที่ไม่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลง ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนเข้าใจและแปลความหมายได้อย่างถูกต้องและนำไปปฏิบัติตามเจตนารมณ์ที่แท้จริงของคัมภีร์นั้น แต่ในทางตรงข้ามภาษาของคัมภีร์อัลกุรอานเป็นภาษาที่ยังมีชีวิตอยู่ และมีผู้คนนับร้อยล้านคนใช้ในการสื่อสารและเข้าใจความหมายตราบจนวันสิ้นโลก คัมภีร์อัลกุรอานได้ถูกอ้างอิงและเป็นตำราเรียนในแทบทุกมหาวิทยาลัยของโลก มนุษย์ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ และผู้ที่ไม่รู้สามารถที่จะหาคนที่มีความรู้ในภาษาเพื่ออธิบายความหมายของอัลกุรอานให้แก่เขาได้

 

          5) คัมภีร์ศาสนาแต่ละเล่มที่พบในโลกมีจุดมุ่งหมายสำหรับคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดเป็นการเฉพาะ คัมภีร์แต่ละเล่มบรรจุไว้ด้วยคำบัญชาที่มีไว้สำหรับยุคหนึ่งยุคใดในประวัติศาสตร์และตอบสนองความต้องการของคนในยุคนั้นเป็นการเฉพาะ และไม่สามารถให้คำตอบในสิ่งที่เป็นอนาคต ตลอดจนไม่สามารถที่จะนำมาปฏิบัติในยุคนี้ได้อย่างเหมาะสม สิ่งเหล่านี้เองที่เป็นหลักฐานว่าคัมภีร์เหล่านี้มีไว้สำหรับคนกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ มิได้เป็นคัมภีร์ที่มีไว้สำหรับชาวโลกทั้งมวล และให้ปฏิบัติเฉพาะยุคนั้นๆ แต่ในทางตรงกันข้าม อัลกุรอานได้ถูกประทานมาเพื่อมนุษยชาติทั้งมวล คำบัญชาและคำสั่งสอนในอัลกุรอานสามารถปฏิบัติได้ในทุกสถานที่และทุกสมัย นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าอัลกุรอานได้ประทานมาสำหรับคนทั้งโลก เป็นหลักการควบคู่กับเป็นคู่มือสำหรับการดำรงชีวิตของมนุษย์

 

         6) ไม่มีการปฏิเสธว่า คัมภีร์ก่อนๆ บรรจุไว้ด้วยเรื่องความดีและคุณธรรม คัมภีร์ดังกล่าวได้สอนหลักการแห่งศีลธรรมและความซื่อสัตย์ ตลอดจนได้บอกถึงวิถีแห่งการดำรงชีวิตที่พระผู้เป็นเจ้าทรงโปรดปราน แต่ไม่มีคัมภีร์เล่มใดที่เนื้อหาครอบคลุมสิ่งจำเป็นทุกอย่างสำหรับชีวิต คัมภีร์บางเล่มดีงามในด้านหนึ่งในขณะที่คัมภีร์อีกเล่มหนึ่งดีงามในอีกด้านหนึ่ง มีแต่คัมภีร์อัลกุรอานเท่านั้นที่รวบรวมสิ่งที่ดีทั้งหมดและทำให้แนวทางของอัลลอฮ์ สมบรูณ์และวางแนวทางแห่งชีวิตที่ครอบคลุมสิ่งที่จำเป็นทั้งหลายสำหรับมนุษย์บนโลกนี้ไว้ด้วย

 

           7) การแต่งเติมในคัมภีร์ก่อนๆ ได้ถูกสอดแทรกสิ่งที่ขัดกับความเป็นจริง ใส่ความอธรรมเข้าไปมากมาย มีสิ่งที่ทารุณโหดร้ายและทำให้ความเชื่อและการกระทำของมนุษย์ต้องเสียไป ยิ่งกว่านั้นยังมีสิ่งน่ารังเกียจ ลามกหยาบคายและไร้ศีลธรรมถูกสอดแทรกเพื่อประโยชน์ของคนบางกลุ่ม แต่อัลกุรอานปราศจากสิ่งน่ารังเกียจเหล่านั้น อัลกุรอานไม่มีสิ่งใดที่ผิดพลาด ไม่มีคำสั่งใดที่ไม่เป็นธรรมและไม่มีสิ่งใดที่ชี้นำอย่างผิดๆ ไม่มีการผิดศีลธรรม อัลกุรอานเต็มไปด้วยวิทยปัญญาและสัจธรรม นับตั้งแต่เริ่มต้นจนกระทั่งจบ มีปรัชญาและกฏหมายที่ดีที่สุดสำหรับอารยธรรมของมนุษย์ คัมภีร์อัลกุรอานชี้ทางที่ถูกต้องและนำมนุษย์ไปสู่ความสำเร็จและความรอดพ้น

 

          ด้วยคุณสมบัติพิเศษของคัมภีร์อัลกุรอาน ที่ทำให้ผู้คนในโลกมีความศรัทธา และหันมาปฏิบัติตามอัลกุรอาน กล่าวได้ว่าอัลกุรอานเป็นคัมภีร์ที่มีผู้คนบนโลกนี้อ่านและศึกษาค้นคว้ามากที่สุดในแต่ละวัน