มุสลิมเปรียบประดุจเรือนร่างเดียวกัน
  จำนวนคนเข้าชม  56058

มุสลิมเป็นพี่น้องกัน เปรียบประดุจเรือนร่างเดียวกัน

อัลเลาะห์ ทรงตรัสว่า

แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธานั้นเป็นพี่น้องกัน

(ซูเราะห์ อัลหุญุร๊อต : 10)

รายงานจาก อบีมูซา กล่าวว่า ท่านรอซูล กล่าวว่า :

ผู้ศรัทธาต่อผู้ศรัทธานั้น (ต้องช่วยเหลือกัน) เหมือนกับอาคาร ซึ่งบางส่วนของมันยึดเหนี่ยวกับอีกบางส่วน
แล้วท่านรอซูลประสานมือเข้าด้วยกัน

บันทึกโดยบุคอรีย์ และมุสลิม
(ดูในบุคอรีย์ เล่ม 5 หน้า 72 และดูในมุสลิม หะดีษเลขที่ 2585)

คำอธิบาย

            การให้ความช่วยเหลือกันระหว่างผู้ศรัทธานั้น จะต้องดูให้ครบทุกๆด้าน ทุกๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องในทางโลกอาคิเราะห์ หรือการดำเนินชีวิตในดุนยา เปรียบได้กับอาคาร ทุกชิ้นส่วนของมันจะต้องยึดเหนี่ยวซึ่งกันและกัน จึงจะทำให้อาคารนั้นแข็งแรงมั่นคง

สิ่งที่ได้รับจากฮะดีษ

1. ผู้ศรัทธาต้องให้ความช่วยเหลือกัน
2. ผู้ศรัทธาจะเอาตัวรอดเพียงลำพังไม่ได้ ทั้งเรื่องดุนยาและอาคิเราะห์

รายงานจาก นัวอฺมาน อิบนิบะชีรกล่าวว่า  ท่านรอซูล ได้กล่าวว่า :

              เปรียบเทียบบรรดาผู้ศรัทธาในด้านความรัก ความเอ็นดูเมตตา และการให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลของพวกเราที่มีต่อกันนั้นเหมือนกับร่างกาย กล่าวคือ เมื่ออวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งเจ็บปวด อวัยวะส่วนอื่นๆของร่างกายก็จะเจ็บปวดไปด้วยทั่วร่างกายพาให้นอนไม่หลับ เกิดอาการไข้

บันทึกโดยบุคอรีย์และมุสลิม
(ดูในบุคอรีย์ เล่ม 10 หน้า 367 และดูในมุสลิม หะดีษเลขที่ 2586)


คำอธิบาย

            ท่านรอซูล เปรียบเทียบลักษณะของผู้ศรัทธา เกี่ยวกับความรักที่มีต่อกัน การให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลกันว่า เหมือนกับร่างกายของคนเรา ถ้าหากอวัยวะส่วนหนึ่งส่วนใดได้รับความเจ็บปวด ก็จะทำให้ทั่วเรือนร่างต้องพลอยเจ็บปวดไปด้วย
            มุสลิมก็เช่นเดียวกัน ถ้าหากผู้หนึ่งผู้ใดได้รับความทุกข์ ทุกคนก็จะคอยให้ความช่วยเหลือ จะทอดทิ้งกันไม่ได้ อิสลามถือว่าทุกคนเป็นพี่น้องกัน ทุกข์สุขร่วมกัน เหมือนคนคนเดียวกัน

สิ่งที่ได้รับจากฮะดีษนี้

1. สายสัมพันธ์แห่งความศรัทธาทำให้มุสลิมทั่วโลกเหมือนคนคนเดียวกัน
2. มุสลิมต้องรักกัน ทุกข์ สุข ร่วมกัน ช่วยเหลือกันอยู่เสมอ


รายงานจากอิบนิอุมัร ว่า แท้จริงท่านรอซูล กล่าวว่า :

           มุสลิมนั้นเป็นพี่น้องของมุสลิม เขาจะไม่อธรรมต่อพี่น้องของเขา และเขาจะไม่จับตัวพี่น้องของเขา (มอบให้แก่ศัตรู) ผู้ใดช่วยเหลือธุระของพี่น้องของเขา อัลเลาะห์ก็จะทรงช่วยเหลือในธุระของเขา ผู้ใดบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่มุสลิมคนหนึ่งคนใด อัลเลาะห์จะทรงบรรเทาความเดือดร้อนหนึ่งจากบรรดาความเดือดร้อนในวันกิยามะห์ให้เขา ผู้ใดปกปิดสิ่งไม่ดีไม่งามให้แก่มุสลิมคนหนึ่งคนใด อัลเลาะห์จะทรงปกปิดสิ่งไม่ดีไม่งามให้แก่เขาในวันกิยามะห์

บึนทึกโดยบุคอรีย์ และ มุสลิม
(ดูในบุคอรีย์ เล่ม 5 หน้า 70 และดูในมุสลิม ฮะดีษเลขที่ 2580)

คำอธิบาย

           ผู้ศรัทธานั้นต่างก็มีความผูกพันทางด้านจิตใจกันอยู่ ในฐานะเป็นพี่น้องร่วมหลักการศรัทธาเดียวกัน จากจิตสำนึกนี้ทำให้ทุกคนต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ช่วยบรรเทาความเดือดร้อน ช่วยกันปกปิดสิ่งไม่ดีไม่งามของกันไว้ ผลตอบแทนในการกระทำเช่นนี้ อัลเลาะห์จะทรงตอบแทนให้ในวันกิยามะห์

สิ่งที่ได้รับจากหะดีษนี้

1. มุสลิมเป็นพี่น้องกัน ต้องช่วยเหลือกันทุกๆด้าน
2. มุสลิมจะทอดทิ้งกันไม่ได้
3. อัลเลาะห์จะทรงช่วยเหลือผู้ที่เคยให้ความช่วยเหลือพี่น้องของเขา

รายงานจาก อบีฮุรอยเราะห์ กล่าวว่า ท่านรอซูล กล่าวว่า :
 
             ท่านทั้งหลายอย่าอิจฉากัน อย่าหลอกลวงกัน อย่าเกลียดกัน อย่าหันหลังให้กัน อย่าขายของตัดหน้ากัน จงเป็นบ่าวของอัลเลาะห์ในฐานะเป็นพี่น้องกันเถิด มุสลิมนั้นเป็นพี่น้องของมุสลิม เขาจะไม่อธรรมต่อพี่น้องของเขา เขาจะไม่เหยียดหยามพี่น้องของเขา และเขาจะไม่ทอดทิ้งพี่น้องของเขา การยำเกรงอัลเลาะห์นั้นอยู่ที่นี่ และท่านรอซูลชี้ไปที่หน้าอกสามครั้ง นับได้ว่าเป็นความชั่วแล้วในการที่คนหนึ่งดูถูกเหยียดหยามพี่น้องมุสลิมของเขา มุสลิมต่อมุสลิมนั้น เลือด ทรัพย์สิน และเกียรติยศเป็นที่ต้องห้าม

บันทึกโดยมุสลิม
ดูในมุสลิม ฮะดีษเลขที่ 2564

คำอธิบาย

               ส่วนหนึ่งสำหรับเป้าหมายที่ว่ามุสลิมเป็นพี่น้องกันก็คือ จะต้องไม่อิจฉาริษยา คนจนต้องไม่มีอคติต่อคนรวย เพราะต่างก็ทราบกันว่า อัลเลาะห์เป็นผู้ทรงให้ริสกี คนที่อ่อนแอไม่ต้องอิจฉาคนที่เข้มแข็ง คนที่เป็นลูกน้องไม่ต้องอิจฉาคนที่เป็นหัวหน้า และในมุมกลับกันคนรวยต้องเสียสละให้มาก คนเข้มแข็งต้องให้ความช่วยเหลือ คนที่เป็นหัวหน้าต้องเอ็นดูเมตตาลูกน้อง ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เกิดแรงต่อต้านกดดันฝ่ายหนึ่งฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้ มุสลิมนั้นจะต้องไม่ใช้เล่ห์เหลี่ยมในการซื้อขาย จะต้องเสริมสร้างความเข้าใจอันดีต่อกัน ให้มีความรักใคร่เอ็นดูเมตตา ไม่เห็นแก่ตัว และจะต้องขจัดความหวาดระแวง ไม่ไว้วางใจกันออกไป ถ้าหากหระทำเช่นที่กล่าวมานี้แล้ว ความเป็นพี่น้องกันก็บรรลุสู่เป้าหมายที่อิสลามวางไว้

สิ่งที่ได้รับจากฮะดีษนี้

1. มุสลิมจะต้องมีความจริงใจต่อกันทุกด้าน
2. มุสลิมจะละเมิดสิ่งหนึ่งสิ่งใดของกันและกันไม่ได้
3. การดูถูกเหยียดหยามมุสลิมด้วยกันถือว่าเป็นความชั่วแล้ว


รายงานจากท่าน อะนัส จากท่านนบี กล่าวว่า :

             คนหนึ่งคนใดในหมู่ของพวกท่านยังไม่มีศรัทธาที่สมบูรณ์ จนกว่าเขารักที่จะให้ได้แก่พี่น้องของเขา ซึ่งสิ่งที่เขารักที่จะให้ได้แก่ตัวเอง

บันทึกโดยบุคอรีย์และมุสลิม
ดูในบุคอรีย์ เล่ม 1 หน้า 53 และดูในมุสลิม หะดีษเลขที่ 45

คำอธิบาย

             ผู้ที่ศรัทธานั้น การศรัทธาของเขายังไม่สมบูรณ์ จนกว่าเขาจะรักใครเอ็นดูเมตตาพี่น้องมุสลิมทุกคน เหมือนกับรักตัวเอง เขาอยากจะได้สิ่งใดก็อยากจะให้พี่น้องมุสลิมได้รับด้วย เขาไม่ชอบสิ่งใด ก็ไม่ชอบให้สิ่งนั้นประสบกับพี่น้องมุสลิมเช่นกัน สภาพเช่นนี้จะก่อให้เกิดความสงบสุขขึ้นในสังคม แต่ถ้าหากผู้ศรัทธาไม่มีลักษณะดังกล่าวแล้ว สังคมก็จะเดือดร้อน เนื่องจากผู้คนจะทุจริตต่อกัน มีการอิจฉาริษยา ขโมย คดโกง ซึ่งดังกล่าวนี้ ล้วนแต่จะมาบั่นทอนความศรัทธาออกไปจากหัวใจ สังคมก็เหมือนตกอยู่ในความมืด ดังนั้นอิสลามจึงใช้ให้ทุกคนเมื่อรักตัวเองแล้ว ก็ต้องรักผู้อื่นด้วย

สิ่งที่ได้รับจากฮะดีษนี้

1. ส่วนหนึ่งจากการมีศรัทธาอย่างสมบูรณ์ คือต้องรักพี่น้องมุสลิมเหมือนรักตัวเอง
2. มุสลิมต้องนอบน้อมต่อพี่น้องมุสลิม
3. มุสลิมต้องรักใครสนิทสนมกัน ซึ่งจะนำไปสู่การให้ความช่วยเหลือกัน


รายงานจาก อะนัส กล่าวว่า ท่ารอซูล กล่าวว่า :

“ท่านจงช่วยเหลือพี่น้องของท่าน ไม่ว่าเขาจะเป็นผู้อธรรมหรือผู้ถูกอธรรมก็ตาม”
ชายคนหนึ่งถามว่า :
ฉันจะช่วยเหลือเขาก็เมื่อเขาถูกอธรรม จงบอกฉันหน่อยซิว่า ถ้าหากเขาเป็นผู้อธรรมแล้ว ฉันจะช่วยเหลือเขาอย่างไร
ท่านรอซูลกล่าวว่า :
ท่านก็ยับยั้งเขาจากการอธรรมนั้นๆ แท้จริงนั่นแหละคือการช่วยเหลือเขาแล้ว

บันทึกโดยบุคอรีย์
ดูในบุคอรีย์ เล่ม 5 หน้า 71

คำอธิบาย

              ศาสนาอิสลามมุ่งทำลายสิ่งเลวร้าย และความประพฤติที่ไม่ดีงามของญาฮิลียะห์ ทุกวิถีทาง สิ่งหนึ่งที่ติดมาจากสังคมญาฮิลียะห์ก็คือ การให้ความช่วยเหลือคนในเผ่าเดียวกัน ไม่ว่าจะผิดหรือถูก ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายอธรรมหรือถูกอธรรม จนกระทั่งทำให้สังคมสมัยนั้นแตกแยก ต่างคนต่างอยู่ เมื่อท่านรอซูล บอกให้ช่วยเหลือกันอีก บรรดาซอฮาบะห์จึงแปลกใจ จึงถามท่านรอซูลว่าจะให้ช่วยเหลืผู้ที่อธรรมต่อคนอื่นอย่างไร เพราะนั่นเท่ากับเป็นการกระทำเหมือนในสมัยก่อนอิสลาม ท่านรอซูล  จึงอธิบายว่า การช่วยเหลือผู้ที่อธรรมในที่นี้ก็คือ ให้ยับยั้งเขาจากการอธรรมนั้นเสีย เท่ากับเป็นการขจัดการอธรรมออกไป และช่วยให้ความดีงามคงอยู่

สิ่งที่ได้รับจากฮะดีษนี้

1. อิสลามได้ขจัดสภาพของ “ญาฮิลียะห์” และนำหลักการที่ดีกว่ามาสู่โลก
2. อิสลามถือว่าการให้ความช่วยเหลือกันเป็นสิ่งสำคัญ


 

ที่มา: ริยาดุสซอลีฮีน


โดย สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับ