คอลีฟะห์อุมัร อิบนุ คอฏฏอบ
(ฮ.ศ.13-23)
ประวัติ
คอลีฟะห์อุมัร เป็นบุตรของอัลคอฏฏอบ บุตรของนุไฟอฺ มีฉายานามว่า อัลฟารุก ( ผู้จำแนกระหว่างความจริงกับความเท็จ ) มีชื่อเล่นว่า อบูฮัฟสฺ ท่านสืบเชื้อสายมาจาก ตระกูลตะดียฺ จากเผ่ากุเรช ท่านเกิดหลังจากท่านนบีมูฮำหมัด 13 ปี ท่านได้รับการเลี้ยงดูให้มีความกล้าหาญ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น และพูดจริง
ท่านนบีมูฮำหมัด ประกาศศาสนาอิสลาม ท่านอุมัรเป็นผู้หนึ่งที่ต่อต้านอย่างรุนแรง และได้ทำร้ายต่อบรรดามุสลิม จนกระทั่งอัลเลาะห์ทรงเปิดหัวใจของท่านให้นับถือศาสนาอิสลาม ท่านจึงกลายเป็นกำลังสำคัญ ในการปกป้องศาสนาอิสลาม และมุสลิมจากการทำร้ายของกาฟิร ลักษณะและอุปนิสัยของคอลีฟะห์อุมัร คอลีฟะห์อุมัรเป็นผู้ที่มีร่างกายสูงใหญ่ แข็งแรง มีผิวขาวปนแดง เสียงดังไม่ค่อยหัวเราะ อ้วนท้วม มีความเด็ดขาดและยุติธรรม มีสติปัญญาเฉียบแหลม รังเกียจความอธรรม ยืนหยัดในความจริง มีความบริสุทธิ์ในศาสนา การดำรงตำแหน่งคอลีฟะห์ เมื่อคอลีฟะห์อบูบักรป่วยลง ท่านได้เรียกบรรดาซอฮาบะห์ของท่านร่อซูล มาเพื่อปรึกษาหารือ ถึงผู้ที่จะดำรงตำแหน่งคอลีฟะห์คนต่อไป ท่านได้เสนอให้ท่านอุมัรเป็นคอลีฟะห์เนื่องจากว่าท่านอุมัร เป็นผู้ที่มีความเด็ดขาด มีความยุติธรรม ยืนหยัดอยู่กับความจริง และกลัวว่าจะเกิดความแตกแยกระหว่างมุสลิม บรรดาซอฮาบะห์ของท่านนบีมูฮำหมัด เห็นชอบด้วยที่จะให้ท่านอุมัรเป็นคอลีฟะห์สืบต่อจากท่านอบูบักร
ผลงานของคอลีฟะห์อุมัร
ขยายการพิชิตอิรักและเปอร์เซีย
เมื่อพวกเปอร์เซียทราบว่าคอลีฟะห์อบูบักร ได้มีคำสั่งให้ท่านคอลิด อิบนุล วะลีด เดินทางไปยังกองทัพมุสลิมในประเทศชาม กิสรอ จักรพรรดิแห่งเปอร์เซียจึงระดมพลอย่างมากมาย เมื่อคอลีฟะห์อุมัรทราบข่าวเช่นนั้น ท่านจึงได้จัดกำลังทหารมุสลิมจำนวน 20,000 คน โดยแต่งตั้งให้ท่านซะอัด อิบนุอบีวักก้อซ เป็นแม่ทัพเพื่อทำสงครามกับทหารเปอร์เซีย
เมื่อกองทัพมุสลิมเดินทางปถึงป้อมอัลกอดิซียะห์ อยู่ใกล้กับเมืองกูฟะห์ ในประเทศอิรัก ก็พบกับกองกำลังทหารเปอร์เซีย ซึ่งมีผู้บัญชาการทัพชื่อ รุสตุม สนับสนุนด้วยช้างจำนวนมาก ท่านซะอัดจึงร้องตะโกนขึ้นว่า
อัลลอฮุอักบัร อัลเลาะห์ทรงยิ่งใหญ่
แล้วกำลังทหารมุสลิมก็บุกเข้าโจมตีกำลังทหารเปอร์เซีย ในตอนแรกกำลังทหารมุสลิม ซึ่งมีจำนวนน้อยกว่า ประสบความเพลี่ยงพล้ำ แต่พวกเขาก็ยืนหยัดต่อสู้ ขณะนั้น กำลังสมทบทหารมุสลิมจากประเทศชามภายใต้การบัญชาการของเกาะอฺกออฺ อิบนุอัมรฺ และอาซิมก็เดินทางมาถึง ในที่สุดฝ่ายมุสลิมก็ประสบกับชัยชนะ โดยสามารถสังหารรุสตุม ผู้บัญชาการกองทัพเปอร์เซีย และเหล่าทหารจำนวนมาก ส่วนที่เหลือก็หลบหนีไป สำหรับฝ่ายมุสลิมก็ได้สูญเสียทหารจำนวนหนึ่ง ในจำนวนนี้ก็มีบุตรของนางคอนซาอฺ นักกวีมุสลีมะห์รวมอยู่ด้วย 4 คน เมื่อนางได้ทราบข่าว นางกล่าวว่า
มวลการสรรเสริญเป็นของอัลเลาะห์ ผู้ทรงให้เกียรติแก่ฉัน โดยให้พวกเขาได้ตายชะฮีด
แล้วท่านซะอัด อิบนุอบีวักก้อซ ก็นำกองทัพมุสลิมรุกคืบหน้าไป จนสามารถยึดครองอิรักทั้งหมด พร้อมทั้งยึดครองเมืองมะดาอิน และพิชิตกรุงเยรูซาเล็ม กองทัพมุสลิมได้ทำการปิดล้อมเมืองนี้เป็นเวลา 4 เดือน จนกระทั่งชาวเมืองรู้สึกเบื่อหน่ายที่เฮราคลีอุส จักรพรรดิโรมันไม่ยอมส่งเสบียงมาให้ พวกเขาจึงยอมจำนนโดยมีเงื่อนไขว่า คอลีฟะห์อุมัร จะต้องเดินทางมารับกุญแจเมืองด้วยตนเอง ท่านอัมรฺ อิบนุอาศ จึงได้มีหนังสือไปแจ้งให้คอลีฟะห์อุมัรได้ทราบ คอลีฟะห์อุมัรจึงเดินทางไปยังเมืองเยรูซาเล็ม ในต้นปี ฮ.ศ.15- ค.ศ.635 โดยรับกุญแจเมือง แล้วเดินทางเข้าไปในเมือง พร้อมกับให้สัญญาว่า จะปฏิบัติกับชาวเมืองโดยดี
การพิชิตอียิปต์
ต่อจากนั้นอัมรฺ อิบนุอาศ ได้ขออนุญาตคอลีฟะห์อุมัร ในการพิชิตอียิปต์ ซึ่งขณะนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของโรมัน ผู้ปกครองมีชื่อว่า มุเกาก้อส คอลีฟะห์อุมัร ก็อนุญาต อัมรฺ อิบนุอาศจึงได้พากองทัพมุสลิมเดินทางจากปาเลสไตน์ เข้าไปยังดินแดนอียิปต์ โดยพิชิตหัวเมืองต่างๆที่อยู่รายทาง อัมรฺ อิบนุอาศได้รับการต้อนรับอย่างดีจากชาวอียิปต์ ทั้งนี้เนื่องจากพวกเขามีความเกลียดชังต่อการปกครองของโรมันที่เต็มไปด้วยการกดขี่ข่มเหงและการขูดรีดภาษี
อัมรฺ อิบนุอาศ ได้นำกองทัพมุสลิมบุกไปในอียิปต์จนถึงป้อมบาบิลีโยน และได้ปิดล้อมอยู่ 2 เดือน จึงสามารถยึดครองได้ ต่อจากนั้นก็ได้เดินทางต่อไปยังเมืองอเล็กซานเดรีย และพิชิตเมืองนี้ พร้อมกับบังคับให้มุเกาก้อส ผู้ปกครองอียิปต์ ทำสัญญาสงบศึกกับมุสลิม โดยให้เสรีภาพในการนับถือศาสนากับพวกเขา แต่ก็มีชาวอียิปต์จำนวนไม่น้อย ที่เข้านับถือศาสนาอิสลาม และอีกบางส่วนก็ยังคงนับถือศาสนาคริสต์ตามเดิม โดยที่พวกเขาต้องจ่ายภาษีส่วนบุคคลให้แก่ผู้ปกครองมุสลิม เพื่อตอบแทนที่ปกป้องพวกเขาจากการทำร้ายของผู้อื่น จึงทำให้ชาวอียิปต์ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความผาสุก ภายใต้การปกครองของมุสลิม
โปรดติดตามตอนต่อไป คอลีฟะห์อุมัร 2 >>>Click