ผู้ที่กระทำบิดอะห์ (กิจกรรมในศาสนาที่อุตริขึ้นใหม่) คือผู้ที่หลงทาง
รายงานจากญาบิร กล่าวว่า :
ท่านรอซูล นั้น เมื่อท่านกล่าวคำปราศรัย ดวงตาทั้งสองข้างจะแดงก่ำ เสียงดัง และมีท่าทางคล้ายโกรธจัด ดูคล้ายกับว่าท่านกำลังเตือนภัยแก่กองทหาร (ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูแล้ว) ท่านกล่าวว่า :
พวกท่านทั้งหลายพึงระวังทั้งเช้าและเย็น
และกล่าวต่อไปว่า :
ในขณะที่ฉันได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ประกาศศาสนั้น ปรากฏว่า วันกิยามะห์ใกล้เข้ามาเหมือนกับความใกล้กันระหว่างนิ้วสองนิ้วนี้ และท่านก็เอานิ้วชี้กับนิ้วกลางชิดกัน
และกล่าวต่อไปว่า :
คำพูดที่ดีที่สุดก็คือคัมภีร์ของอัลเลาะห์ แนวทางที่ดีที่สุดก็คือแนวทางของมุฮัมหมัด กิจการต่างๆที่เลวที่สุดก็คือกิจการที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่ ทุกๆสิ่งที่อุตรินั้นเป็นสิ่งที่หลงทาง
ท่านกล่าวต่อไปว่า :
ฉันรักษาไว้ซึ่งสิทธิ์ของผู้ศรัทธาทั้งหลายยิ่งกว่าตัวเอง ผู้ใดทิ้งทรัพย์สินไว้ มันก็ตกเป็นของครอบครัวของเขา ผู้ใดทิ้งหนี้สินหรือลูกหลานไว้ ฉันจำเป็นต้องรับผิดชอบ
( บันทึกโดยมุสลิม ฮะดีษเลขที่ 867 )
คำอธิบาย
ฮะดีษนี้ชี้ให้เห็นว่า ท่านรอซูล เป็นผู้ที่มีศิลปในการพูด หรือกล่าวคำปราศรัย ท่านจะเชิญชวนสู่หลักการของอิสลามได้อย่างเป็นที่น่าประทับใจเสมอ ไม่ว่าท่านจะใช้ หรือจะห้ามก็ตาม ทุกครั้งที่ท่านกล่าวคำปราศรัย ท่านจะหาทางสื่อความหมาย ด้วยคำพูด กิริยา ท่าทาง และความรู้สึก ท่านจะแสดงออกเพื่อเป็นการสื่อความหมายสู่ผู้ฟัง ให้ผู้ฟังเกิดความสนใจ และให้ความสนใจต่อเรื่องที่ท่านกำลังจกล่าวถึง
ส่วนหนึ่งที่จะกระตุ้นเตือนความรู้สึกของผู้ที่ฟังได้ดีก็คือ การตักเตือนให้รำลึกถึงความตาย ซึ่งกำลังคืบคลานเข้ามาหาทุกขณะ และให้รำลึกถึงวันกิยามะห์ ซึ่งไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดรู้ได้ว่าเมื่อไหร่จะเกิดขึ้น ท่านรอซูล ได้กล่าวถึงวันกิยามะห์ว่า บัดนี้ใกล้จะถึงวันกิยามะห์แล้ว พร้อมกันนั้นท่านได้ชูนิ้วและนิ้วกลางขึ้น
จากคำพูดและลักษณะท่าทางเช่นนี้ ทำให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกว่า วันกิยามะห์จะมาถึงภายในไม่ช้า คล้ายกับว่าเหลือเวลาอีกไม่กี่วันก็จะเกิดขึ้นแล้ว
อีกประการหนึ่งที่ท่านรอซูล จะกล่าวในขณะปราศรัยเสมอๆ คือประโยคที่ว่า แท้จริงคำพูดที่ดีที่สุดก็คือคำพูดของอัลเลาะห์ที่อยู่ในคัมภีร์ของพระองค์ และแนวทางที่ดีที่สุดก็คือแนวทางของมุฮัมหมัด
ทั้งคัมภีร์ของอัลเลาะห์ และแบบฉบับของท่านนบีนั้น เป็นหลักมูลฐานของบัญญัติอิสลาม จำเป็นสำหรับมุสลิมทุกคนต้องยึดมั่น ส่วนเรื่องอุตริทั้งหลายนั้น ถือเป็นเรื่องทำขึ้นใหม่ในศาสนา ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่หลงทางทั้งสิ้น
สิ่งที่อุตริคือสิ่งที่ไม่มีมาในแบบฉบับของท่านรอซูล แต่ผู้ปฏิบัติพยายามจะแอบอ้างพาดพิงสิ่งนั้นว่าเป็นคำสอนที่มาจากศาสนา ด้วยการอ้างหลักฐานเท็จ หรือหลักฐานที่คลุมเครือ เป็นต้น
ต่อจากนั้น ท่านรอซูล ก็อธิบายถึงความผาสุขของมุสลิมทุกคนว่า จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้ปกครองต้องรับผิดชอบ ท่านรอซูลได้แจ้งให้ทราบว่า ท่านนั้นจำเป็นต้องดูแล อำนวยความสงบสุข ให้แก่บรรดาผู้ศรัทธายิ่งกว่าตัวเอง และสำหรับบรรดาผู้ศรัทธาก็จำเป็นจะต้องเชื่อฟัง และปฏิบัติตามคำแนะนำสั่งสอนของท่าน อย่าได้กระทำตามใจชอบ ท่านรอซูลกล่าวว่า :
ผู้ใดทิ้งทรัพย์สิ้นไว้ มันก็จะตกเป็นของครอบครัวของเขา ผู้ใดทิ้งหนี้สินหรือลูกหลานไว้ ฉันจำเป็นต้องรับผิดชอบ
คำพูดของท่านรอซูลดังกล่าว ชี้ให้เห็นว่า ผู้ปกครองจำเป็นต้องรับผิดชอบต่อหนี้สินของมุสลิมที่สิ้นชีวิตไปแล้ว ถ้าเขาไม่มีทรัพย์สินเหลือพอที่จะใช้หนี้ได้ และผู้ปกครองต้องอุปการะภรรยาและลูกๆของผู้ตายอีกด้วยถ้าหากพวกเขาไม่สามารถจะแสวงหาปัจจัยมาดำรงชีวิตได้ ผู้ยากจนจำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ดังที่ได้กล่าวมานี้เป็นแนวทางของอิสลาม หากมุสลิมนำเอาหลักการนี้ไปปฏิบัติอย่างจริงจัง ก็จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมอย่างมหาศาล
สิ่งที่ได้รับจากฮะดีษ
1. วันกิยามะห์นั้นใกล้ที่จะมาถึงแล้ว
2. คัมภีร์ของอัลเลาะห์ (อัลกุรอาน) และแบบฉบับของท่านรอซูล (ซุนนะห์)นั้น เป็นสิ่งสำคัญที่มนุษย์ทุกคนจะต้องปฏิบัติตาม จะปฏิเสธไม่ได้
3. ผู้ที่กระทำ บิดอะห์ เป็นผู้ที่หลงทาง
4. ผู้ปกครองนั้นจะเป็นต้องรับผิดชอบ
ที่มา: ริยาดุสซอลีฮีน
โดย สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับ