ท่านอัฏฏุฟัยลฺ อิบนุ อัมรฺ อัดเด๊าซีย์ 1
ท่านฏุฟัยลฺ บุตรของอัมรฺ อัดเด๊าซีย์ เป็นหัวหน้าตระกูลเด๊าซ์ ในสมัยญาฮิลียะห์(สมัยก่อนอิสลาม)
ท่านเป็นบุคคลที่มีเกียรติคนหนึ่งในบรรดาผู้ที่มีเกียรติในหมู่ชาวอาหรับทั้งหลาย นอกจากนี้แล้วท่านยังเป็นผู้มีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่โอบอ้อมอารีต่อผู้คนทั่วไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อผู้ที่อ่อนแอขัดสนและอนาถา
ท่านเป็นบุคคลที่กว้างขวาง มีผู้คนไปมาหาสู่อยู่เป็นประจำ จนมีคำกล่าวเกี่ยวกับการปฎิบัติของท่านว่า
"หม้อของเขาไม่เคยลงจากเตา และประตูบ้านของเขาไม่ถูกปิดต่อผู้ที่มาหา"
คำกล่าวนี้เป็นการชี้ให้เห็นว่าท่านอัฎฎุฟัยลฺ มีใจบุญจนถึงขนาดเลี้ยงอาหารแก่ทุกคนที่มาหา และประตูบ้านของท่านเปิดต้อนรับแขกอยู่ตลอดเวลา
ท่านให้อาหารแก่ผู้ที่หิวกระหาย
ให้ความอบอุ่นแก่ผู้ที่ถูกข่มเหงและมีความกังวลใจ
เป็นผู้ที่ให้ความคุ้มครองแก่ผู้ที่ได้รับภัยอันตราย
นอกจากนี้แล้วท่านยังเป็นคนเฉลียวฉลาดเป็นนักกวี เป็นผู้มีหูตาไว มองการณ์ไกล มีไหวพริบดี คำพูดของท่านมีอิทธิพลจูงใจผู้คนให้เชื่อถือตามท่าน
ท่านออกจากบ้านเกิดเมืองนอนของท่านซึ่งอยู่ในดินแดนฎิฮามะห์ (อยู่ชายฝั่งทะเลแดงระหว่างเมืองฎออีฟกับเมืองอับฮา ปัจจุบันอยู่ในซาอุดิอาระเบีย) มุ่งหน้าไปสู่นครมักกะห์ ในช่วงระยะเวลานั้นพวกกุฟฟารกุเรชได้กระทำการรุนแรงต่อ ท่านรอซูล และผู้นับถือศาสนาอิสลาม
ท่านรอซูลพยายามอย่างยิ่งที่จะชักชวนบุคคลทั้งหลายให้รู้จักอัลเลาะห์ ด้วยพลังการอิมานและสัจธรรม
ท่านรอซูล ทำหน้าที่นี้กับทุกคนไม่ว่าจะเป็นชาวมักกะห์หรือบุคคลภายนอกที่เข้ามา ณ นครมักกะห์ แต่พวกกุเรชพยายามขัดขวางการเชิญชวนของท่านทุกวิถีทาง เมื่อท่านฎุฟัยลฺพบกับปัญหานี้ ซึ่งท่านเองไม่ประสงค์ที่จะเข้าร่วมกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และท่านก็ไม่เคย คิดมาก่อนเลยว่า ณ นครมักกะห์จะมีผู้ประกาศศาสนาเป็นท่านมุฮัมหมัด และท่านไม่เคยรู้เรื่องมาก่อนเลยว่าเกิดเรื่องกันขึ้นระหว่างท่านมุฮัมหมัดกับพวกกุเรช
ทั้งๆที่ท่านฎุฟัยลฺไม่ทราบเรื่องเหล่านี้ แต่บังเอิญท่านก็ได้พบว่าตัวท่านได้เข้าร่วมอยู่ในเหตุการณ์ ครั้งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ ขอให้เราฟังคำของท่านฎุฟัยลฺเองในเรื่องนี้ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่น่าแปลกประหลาดยิ่งเรื่องหนึ่ง
ท่านฎุฟัยลฺเล่าว่า :
เมื่อฉันได้มาถึงมักกะฮฺ หัวหน้าของกุเรชคนสำคัญๆได้มาหาฉันและได้ให้การต้อนรับฉันอย่าง สมเกียรติ
หัวหน้าพวกกุเรชได้กล่าวแก่ฉันว่า :
โอ้ท่านฎุฟัยลฺ ท่านได้ถึงเมือง(มักกะห์) ของเราแล้ว และผู้ชายคนนี้ (หมายถึงท่านนบีมุฮัมหมัด) ได้อ้างตัวเป็นนบี จึงทำให้พวกเราแตกแยกกัน เราเกรงว่า การที่ท่านคบค้าสมาคมติดต่อกับเขา จะทำให้พวกของท่านแตกแยกกัน และประสบเหตุการณ์เช่นเดียวกับที่เรากำลังประสบอยู่ ดังนั้นท่านจงอย่าพูดหรือฟังสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากคนๆนี้เลย
แท้จริงคำพูดของเขามีอิทธิพลเหมือนไสยศาสตร์ สร้างความแตกแยกระหว่างพ่อกับลูก ระหว่างพี่กับน้องและสามีกับภรรยา
ฎุุุุฟัยลฺกล่าวว่า :
ฉันขอสาบานว่า พวกเขา(กุเรช) ยังคงเล่าเรื่องแปลกประหลาดในด้านการลบหลู่ท่านมุฮัมหมัด และยังพยายามให้เกิดมีความหวาดกลัวแก่ฉันและหมู่คณะของฉันในเรื่องของท่านมุฮัมหมัด จนกระทั่ง ฉันตั้งใจและตัดสินที่จะไม่เข้าใกล้กับท่าน จะไม่พูดและจะไม่ฟังสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากท่าน(มุฮัมหมัด)เลย
วันรุ่งขึ้นฉันเดินไปมัสยิดเพื่อทำการฎอวาฟรอบกะอฺบะห์และขอความจำเริญ และบารมีจากรูปปั้นที่วางอยู่รอบๆกะบะห์ *(รูปปั้นดังกล่าวได้ถูกทำลายลงเมื่อท่านรอซูล และบรรดามุสลิมได้เข้าพิชิตมักกะห์)
รูปปั้นเหล่านี้แหละที่เรามุ่งไปให้เกียรติและให้การเคารพและฉันได้เอาสำลีอุดหูไว้เพื่อไม่ต้องการจะได้ยินคำพูดของมุฮัมหมัดเลย ทันใดที่ฉันเข้าไปในมัสญิด ฉันก็เห็นท่านมุฮัมหมัดยืนละหมาดที่อัลกะอฺบะห์ การละหมาดของท่านมุฮัมหมัดไม่เหมือนกับการละหมาดของพวกเราและการปฎิบัติศาสนกิจของท่านไม่เหมือนกับการปฎิบัติศาสนกิจของพวกเรา (มุชริกีน) ภาพนี้ได้สร้างความประทับใจแก่ฉัน การอิบาดะห์ของท่านทำให้ฉันรู้สึกตื่นเต้น ฉันเห็นตัวฉันกำลังเดินเข้าไปใกล้ท่านทีละนิด ทีละนิด จนกระทั่งฉันได้เข้าไปอยู่ใกล้ท่านทั้งๆที่ฉันไม่มีเจตนาที่จะเข้าไปใกล้ท่านเลย แต่อัลเลาะห์ไม่ทรงประสงค์ตามที่ฉันต้องการพระองค์จึงทำให้ฉันได้ยินคำพูดที่ดีๆจากปากของท่าน
ฉันกล่าวแก่ตัวเองว่า :
โอ้ ฎุฟัยลฺขอความพินาศจงมาสู่เจ้าเถิด แท้จริงเจ้าเป็นบุคคลที่เฉลียวฉลาดเป็นนักกวี และเจ้าสามารถจำแนกสิ่งที่ดีจากสิ่งที่เลวได้ฉะนั้น อะไรเล่าที่กีดกันเจ้าไม่ให้สดับฟังคำพูดที่ท่านมุฮัมหมัดพูด หากคำพูดของท่านมุฮัมหมัด นำสิ่งที่ดีมา ฉันก็จะรับไว้ และหากคำพูดของท่านนำสิ่งที่เลวมาฉันก็จะละทิ้งมันเสีย
ท่านฎุฟัยลฺกล่าวว่า : แล้วฉันยังคงอยู่ที่มัสยิดจนกระทั่งท่านมุฮัมหมัดกลับบ้าน ฉันเดินตามท่านไปและเข้าไปในบ้าน ของท่านมุฮัมหมัด
ฉันกล่าวแก่ท่านว่า :
โอ้มุฮัมมัด แท้จริงหมู่คณะของท่าน(กุเรช)ได้กล่าวเกี่ยวกับท่านอย่างนั้น อย่างนี้ และพวกเขา พยายามกระทำเช่นนี้ จนกระทั่งฉันเกิดความหวาดกลัวท่าน ฉันได้เอาสำลีอุดหูสองข้างของฉัน เพื่อไม่ให้ได้ยินคำพูดของท่าน แต่แล้วอัลเลาะห์ไม่ทรงประสงค์นอกจากจะให้ฉันได้ยินคำพูดของท่าน ฉันจึงได้ยินและได้พบคำพูดดีๆจากท่าน ดังนั้น ท่านโปรดเล่าเรื่องราวของท่านให้ฉันฟังเถิด
ท่านรอซูลจึงได้เล่าเรื่องราวของท่านให้ฎุฟัยลฺฟังและท่านได้อ่านซูเราะห์ อัลอิคลาศ (กุล ฮุวัลลอฮุ อะฮัด) และซูเราะห์ตุลฟะลัก ให้เขาฟัง
เขากล่าวว่า :
ขอสาบานด้วยอัลเลาะห์ว่า ฉันไม่เคยได้ยินคำพูดใดๆที่ดียิ่งกว่าคำพูดของท่าน และฉันไม่เคยเห็น กิจการใดๆที่มีความยุติธรรมยิ่งกว่ากิจการของท่าน
ณ ที่นี้ฉันจึงยื่นมือทั้งสองออกมาเพื่อทำสัตยาบัน กับท่านนบี แล้วฉันก็ปฎิญาณตนเข้ารับนับถือศาสนาอิสลาม โดยกล่าวว่า
"อัชฮะดุ อันลาอิลาฮะ อิลลัลลอฮ์ วะอัชฮะดุ อันนะมุฮัมมะดัร รอซูลุลลอฮ์”
มีความว่า : ฉันขอปฎิญาณว่า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลเลาะห์ และฉันขอปฎิญาณว่า แท้จริงมุฮัมหมัด เป็นรอซูลของอัลเลาะห์"
ฎุฟัยลฺกล่าวว่า หลังจากฉันได้รับนับถือศาสนาอิสลาม ฉันอยู่ในมักกะห์ระยะหนึ่ง ได้เรียนรู้เรื่องราว ต่างๆเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม และได้ท่องจำส่วนหนึ่งจากอัลกุรอานอีกด้วย
โปรดติดตามตอนต่อไป
ท่านอัฏฏุฟัยลฺ อิบนุ อัมรฺ อัดเด๊าซีย์ 2 >>>Click