ต้องรักกันและไม่เบียดเบียนกัน
  จำนวนคนเข้าชม  10142

ต้องรักกันและไม่เบียดเบียนกัน


          อัลลอฮ์ ได้ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาให้เป็นสัตว์สังคมที่ประเสริฐที่สุด มีสติปัญญา ความคิดสร้างสรรค์ มีความรับผิดชอบ และที่สำคัญก็คือ อัลลอฮ์ ได้ทรงสร้างมนุษย์ให้มีสัญชาติญาณใฝ่สันติมากกว่า ที่จะมุ่งทำลายล้างกัน ซึ่งอัลลอฮ์ ได้ทรงตรัสไว้ในอัลกุรอาน ซูเราะห์ อัลฮุยุร๊อต 13 ความว่า


“แท้จริงเราได้สร้างพวกเจ้าจากชายและหญิง และเราได้ให้พวกเจ้ามีหลายชาติพันธุ์ เพื่อพวกเจ้าจะได้ทำความรู้จักกัน”


          คำว่า تعارف   ในอายะฮ์นี้ นักวิชาการศาสนาได้อธิบายว่า หมายถึง การมีสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน การอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข จะเห็นได้ว่า จากหลักพื้นฐานดังกล่าวนี้ อิสลามได้สอนให้มนุษย์มีความรักใคร่ซึ่งกันและกัน ไม่เบียดเบียนกัน เพราะว่ามนุษย์มาจากแหล่งกำเนิดเดียวกัน แต่ได้ขยายเผ่าพันธุ์ออกไปเป็นหลายเผ่าพันธุ์ หลายชาติพันธุ์ อัลลอฮ์  ได้ทรงตรัส ในซูเราะฮ์ อัลบาเกาะเราะฮ์ อายะฮ์ที่ 190 ความว่า


“และท่านทั้งหลายอย่าเบียดเบียนกัน แท้จริงอัลลอฮ์ ไม่ทรงรักผู้เบียดเบียน”


นอกจากนี้ ท่านศาสดามุฮัมมัด  ได้กล่าวไว้ว่า


“(ต้อง)ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น”


           จะเห็นได้ว่าฮะดิษบทนี้ เป็นที่มาแห่งหลักการของอิสลาม ในการสร้างความสมานฉันท์ และขจัดการกดขี่ขูดรีด เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น และเป็นหลักคำสอนสำคัญที่สุดที่มุสลิมทุกคนต้องยึดถือและปฏิบัติอย่างเคร่งครัด


          ท่านพี่น้องที่เคารพทั้งหลาย อิสลามสอนให้เรารักคนอื่นเหมือนกับที่เรารักตัวเอง ให้เราช่วยปกป้องทรัพย์สินของคนอื่นเสมือนที่เรารักทรัพย์สินของเราเอง และรักที่จะส่งเสริมช่วยเหลือครอบครัวคนอื่น เสมือนที่เรารักครอบครัวของเราเอง เช่นจะต้องไม่ยุแหย่ให้ครอบครัวคนอื่น ร้าวฉาน แตกแยก เป็นต้น ซึ่งความรักที่เรามีดังได้กล่าวมานี้จะส่งผลทำให้เราไม่เป็นผู้เบียดเบียน และเราก็จะเป็นที่รักของคนทั่วไป

แต่คนที่ทรยศต่ออัลลอฮ์ ส่วนมากเขาจะไม่มีความรักให้แก่คนอื่น ไม่รักที่จะมีการส่งเสริมช่วยเหลือครอบครัวคนอื่น หากแต่เขาจะเป็นผู้เบียดเบียนคนอื่น เอารัดเอาเปรียบคนอื่น แย่งชิงผลประโยชน์ของคนอื่น ถึงขนาดต้องเข่นฆ่าคนอื่น ที่ขัดผลประโยชน์ของตน ไม่ว่าจะเป็นการลักพาตัวไปบังคับขู่เข็ญ อุ้มฆ่า หรือการกระทำทุกอย่างที่จะให้ตัวเอง และพวกพ้องได้รับสิ่งที่ต้องการ

          ในปัจจุบันเราเห็นกันอยู่อย่างมากมาย เช่น ผู้มีอิทธิพล นักการเมืองที่เลว นายทุนที่เลว ประเทศมหาอำนาจทั้งหลายที่รุกรานประเทศที่อ่อนแอกว่า หรือประเทศที่มีมหาอำนาจหนุนหลังอยู่ เหมือนอย่าง “ยิว” อิสราเอลที่ปล้นดินแดนของชาวปาเลสไตน์ไป เมื่อชาวปาเลสไตน์ต่อสู้เรียกร้องเพื่อขอดินแดนคืน ยิว อิสราเอลก็ใช้เครื่องบินถล่มด้วยจรวดและระเบิดนานาชนิด กรีฑากองับรถถังเข้าบดขยี้ชาวปาเลสไตน์ในเขตฉนวนกาซ่าอย่างเมามัน ตั้งแต่วันที่ 26 ธันวาคม 2551 เป็นต้นมา ทำให้ชาวปาเลสไตน์อันประกอบด้วย ประชาชนทั้งหญิง ชาย คนแก่และเด็กต้องล้มตายไปมากกว่า 1,500 คน บาดเจ็บอีกมากกว่า 6,000 คน นอกจากนี้ยังทำให้อาคารบ้านเรือนที่อยู่อาศัย สิ่งสาธารณูปโภคต่างๆต้อง สูญเสีย พังพินาศ ยับเยิน ผู้คนเป็นจำนวนมากต้องไร้ที่อยู่อาศัย ขาดแคลนอาหาร และยารักษาโรค ซึ่งขณะนี้ชาวปาเลสไตน์กำลังต้องการรับความช่วยเหลืออยู่อย่างมาก


           และเพื่อเป็นการช่วยเหลือด้านมนุษย์ธรรมในฐานะ ผู้มีศรัทธาเดียวกัน องค์กรมุสลิมในประเทศไทย หลายองค์กรอันได้แก่ คณะกรรมการอิสลามประจำกรุงเทพมหานคร คณะกรรมการอิสลามแห่งประเทศไทย และองค์กรพัฒนาเอกชนมุสลิมต่างๆ ได้ร่วมกันรณรงค์ขอรับบริจาคเงิน จากผู้มีจิตกุศลเพื่อรวบรวมส่งไปช่วยเหลือ ชาวปาเลสไตน์ 


          ท่านพี่น้องที่เคารพ การบริจาคช่วยเหลือพี่น้องมุสลิมชาวปาเลสไตน์นั้น เป็นการแสดงออกถึงความรักต่อพี่น้องผู้ร่วมศรัทธาอย่างหนึ่ง ทั้งนี้ได้มีคำกล่าวของที่ท่านศาสดามุฮัมมัด  ความว่า


“คนหนึ่งจากพวกเจ้า จะไม่เป็นผู้ศรัทธา(มุมิน) จนกว่าเขาจะรักพี่น้องของเขาเหมือนกับที่เขารักตัวของเขาเอง”


          ท่านพี่น้องที่เคารพ เป็นที่น่าสังเกตว่า ท่านศาสดามุฮัมมัด  ได้ตั้งเกณฑ์ของผู้ศรัทธาไว้ว่า “เขาจะต้องรักคนอื่นเหมือนกับรักตนเอง หาไม่แล้วเขาจะเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริงไม่ได้” ในความหมายตรงนี้เป็นหลักฐานยืนยันว่า การศรัทธานั้น มิใช่เป็นเรื่องของศรัทธาเพียงด้านจิตใจอย่างเดียว แต่จะต้องประกอบด้วยพฤติกรรม และการแสดงออกที่สามารถพิสูจน์ได้ด้วย


          ข้อสรุปของฮะดิษบทนี้ก็คือ ผู้ศรัทธาที่แท้จริงนั้น จะต้องเป็นผู้ที่มีความรักต่อคนอื่นด้วย จะต้องเป็นผู้ที่โอบอ้อมอารี ส่งเสริมสนับสนุนและช่วยเหลือผู้อื่น ด้วยความรักอย่างจริงใจ ผู้ศรัทธาที่แท้จริงจะต้องไม่เป็นผู้เบียดเบียนผู้อื่น และไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นความเดือดร้อนที่เกิดจากวาจา ด้วยกับการกล่วให้ร้ายป้ายสี ด่าทอ และนินทา หรือความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นจากการกระทำ เช่น การประทุษร้ายต่อชีวิตหรือทรัพย์สิน เป็นต้น


          ท่านพี่น้องที่เคารพทั้งหลาย สังคมมนุษย์จะมีแต่ความสุข สงบความสันติ ถ้าหากคนในสังคมนั้นๆ มีความรักต่อกัน ไม่เบียดเบียนกัน ตามหลักการแห่งอิสลาม และถ้าเราทุกคนตระหนักว่า เราทุกคนต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ความสุขและความทุกข์ของคนอื่น ก็คือความสุขและความทุกข์ของเราทุกคนด้วย ดังที่ท่านศาสดามุฮัมมัด  ได้กล่าวไว้ ความว่า


“มุสลิมคือ ผู้ที่พี่น้องมุสลิมปลอดภัยจากวาจาและมือของเขา”


จุลสาร คณะกรรมการอิสลาม กทม.


ฉบับที่ 27 ปีที่ 4 กุมภาพันธ์ 2552