ความต้องการบรรดานะบีและเราะซูล
  จำนวนคนเข้าชม  6295

ความต้องการของมนุษย์ชาติ ต่อ บรรดานะบี และ เราะซูล

          การให้ความเข้าใจแก่มนุษยชาติ ในเรื่องของผู้สร้างสรรพสิ่ง และข้อคิดของการเกิดมนุษย์ทั้งหลาย

         แท้จริง บรรดาผู้ที่มีสติปัญญา ที่เป็นผู้พินิจพิจารณา ในจักรวาลที่ยิ่งใหญ่นี้ ด้วยแผ่นดินของมัน ชั้นฟ้าของมัน จักรราศีของมัน และสิ่งต่างๆที่มีอยู่ และสิ่งที่ได้ประมวลไว้จากสัญญาณต่างๆ ที่ยิ่งใหญ่ พวกเขารู้ว่าทุกสิ่งอย่างย่อมมีผู้สร้าง ที่ยิ่งใหญ่ ที่จัดการบริหาร มีความรอบรู้

พระองค์อัลลอฮ์ ตะอาลาตรัสไว้ว่า

 และถ้าเจ้าถามพวกเขา “ใครเป็นผู้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน” แน่นอนพวกเขาจะกล่าวว่า “อัลลอฮฺ” จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) “บรรดาการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮฺ” (*1*) แต่ทว่าส่วนมากของพวกเขาไม่รู้ (*2*)  (ลุกมาน : 25)


(1)  คือหลักฐานได้ปรากฏเป็นที่แจ้งชัดแก่พวกท่าน และหลักฐานแห่งการอีมานก็ได้เป็นที่ประจักษ์ชัดแก่สายตาแล้ว
(2)  แต่ว่าส่วนมากของพวกมุชริกีนไม่คิดและใคร่ครวญ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้
   

          แต่ทว่า พวกเขาไม่รู้ในลักษณะต่างๆ ของผู้ทรงสร้าง ไม่เข้าใจในความเป็นจริงของพระองค์ งนี้ เนื่องจากมันมิได้อยู่ในความสามารถของสติปัญญามนุษย์ ที่จะรู้ที่จะเข้าใจในเรื่องราวดังกล่าว โดยละเอียด ซึ่งได้หลงทางแล้วสำหรับผู้ที่ต้องการจะรู้จักอัลลอฮ์ หรือลักษณะของพระองค์ ด้วยการใช้ดุลพินิจของเขา ซึ่งบางคนกล่าวว่ามีองค์เดียว บางคนบอกว่าคือธรรมชาติเป็นตัวบงการด้วยตัวเอง บางคนทำให้อัลลอฮ์มีลูก บางคนเชื่อในสิ่งถูกสร้างบ้างสามารถให้คุณให้โทษได้ เช่นแสงสว่าง ความมืด อื่นๆ 

          จากการออกนอกลู่นอกทางต่างๆ ด้วยเหตุนี้ จึงจำเป็นที่จะต้องมีการส่งบรรดาเราะซูลมา เพื่อให้มนุษย์ได้รู้จักผู้ทรงสร้างพวกเขา สอนมนุษย์ให้รู้ถึงลักษณะต่างๆของพระองค์ เหมือนกับที่ได้มาจากพระองค์ อัลลอฮ์ ซุบฮาน่าฮูว่าตะอาลา มนุษย์นั้นมีความต้องการในบรรดาเราะซูล เพื่อสอนให้มนุษย์ได้รู้จักผู้ทรงสร้าง ซึ่งได้แจกแจงเป้าหมายของการสร้างมนุษย์ขึ้นมา ในชีวิตนี้ อันได้แก่ การเคารพภักดีต่ออัลลอฮ์ ที่เที่ยงตรง

พระองค์อัลลอฮ์ ตะอาลาตรัสไว้ว่า

 "และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า"

 

          การแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับสิ่งเร้นลับ และเหตุการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้นในบ้นเรือนแห่งโลกหน้า

          มีผู้ที่ปฏิเสธการมีชีวิตขึ้นมาใหม่ หลังจากที่ได้ตายไปแล้ว และเห็นว่า การตายนั้น คือ จุดจบของบรรดาผู้มีชีวิต เหมือนกับที่อัลลอฮ์ ตะอาลาทรงตรัสว่า

และพวกเขากล่าวว่า ไม่มีชีวิตอื่นใดดอกนอกจากการมีชีวิตของเราในโลกนี้ เราจะตายไปและเราจะมีชีวิตอยู่ และไม่มีสิ่งใดจะมาทำลายเราได้ (ให้เราตาย) นอกจากกาลเวลาเท่านั้น สำหรับพวกเขาไม่มีความรู้ในเรื่องนั้นดอก นอกจากพวกเขาเดาเองเท่านั้น (*1*) 

(1)  พวกมุชริกีนกล่าวว่า ไม่มีชีวิตอื่นใดนอกจากการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ บางคนก็ตายไป บางคนก็มีชีวิตอยู่ ไม่มีโลกอาคิเราะฮฺ ไม่มีการฟื้นคืนชีพ ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้เราตายนอกจากการหมุนเวียนของกาลเวลา พระองค์ได้ตอบแก่พวกเขาว่า พวกเขาไม่มีหลักฐานใด ๆ ที่จะนำมายืนยันคำกล่าวของพวกเขาได้นอกจากการนึกคิดและการคาดคะเนเอาเท่านั้น 

          แก้ไขการออกนอกลู่นอกทางต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับมนุษย์

         เมื่อวันเวลาได้ผ่านไปนาน  หลังจากที่ได้มีการส่งบรรดานะบี และเราะซูลมาบอกถึงบทบัญญัติต่างๆที่พวกเขานำมา ต้องประสบกับการบิดเบือน ความหลงผิดเริ่มแทรกซึมข้าไปสู่ประชาชาติต่างๆ ความโง่เขลาได้กระจายไปทั่ว การตั้งภาคีเข้ามาแทนที่ศาสนาที่ถูกต้อง ซึ่งต้องมีการส่งบรรดาเราะซูลมาเพื่อที่จะทำให้มนุษย์ได้ย้อนกลับไปสู่หนทางที่ถูกต้อง และแก้ไขการออกนอกลู่นอกทางต่างๆ

พระองค์ ทรงตรัสว่า

 มนุษย์นั้นเคยเป็นประชาชาติเดียวกัน(*1*)ภายหลังอัลลอฮ์ได้ส่งบรรดานะบีมาในฐานะผู้แจ้งข่าวดี และผู้ตักเตือน และได้ทรงประทานคัมภีร์อันกอปรไปด้วยความจริงลงมากับพวกเขาด้วยเพื่อว่าคัมภีร์นั้นจะได้ตัดสินระหว่างมนุษย์ในสิ่งที่พวกเขาขัดแย้งกัน และไม่มีใครที่ขัดแย้งในคัมภีร์นั้น นอกจากบรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์นั้นมา(*2*) หลังจากที่บรรดาหลักฐานอันชัดเแจ้งได้มายังพวกเขาเหล่านั้น(*3*) ทั้งนี้เพราะความอิจฉาริษยาในระหว่างพวกเขา(*4*) แล้วอัลลอฮ์ก็ทรงแนะนำแก่บรรดาผู้ศรัทธา ซึ่งความจริงที่พวกเขาขัดแย้งกันด้วยอนุมัติของพระองค์(*5*) และอัลลอฮ์นั้นทรงแนะนำผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ไปสู่ทางอันเที่ยงตรง 

(1)  มีความสามัคคีกัน เพราะความรู้ความเข้าใจยังมีน้อย ต่อมาความต้องการของมนุษย์มีมากขึ้น เนื่องจากได้รับความรู้เพิ่มขึ้น ก็เกิดขัดแย้งกัน ทั้งที่เกี่ยวกับการเชื่อถือ และผลประโยชน์
(2)  หมายถึงพวกยิวและพวกคริสต์
(3)  หลังจากท่านนะบีมุอัมมัดได้นำหลบักฐานอันชัดแจ้งมาประกาศแก่พวกเขา
(4)  อิจฉาริษยาที่ท่านนะบีมุฮัมมัดได้รับแต่งตั้งให้เป็นร่อซูล ซึ่งมิได้เป็นวงศ์วานของพวกเขา
(5)  ด้วยอนุมัติของอัลลออ์ที่ให้ท่านนะบี นำความจริงมาประกาศ
 

มีรายงานจากอิบนุ อับบาส  กล่าวว่า

"ระหว่างนูห์ กับอาดัม เป็นระยะเวลาสิบศตวรรษ ทุกคนอยู่ในบทบัญญัติแห่งความจริง แล้วพวกเขาได้ขัดแย้งกัน อัลลอฮ์ได้ทรงส่งบรรดานะบีมาเป็นผู้แจ้งข่าวดี และข่าวร้าย" (อัลหากิม)

พระองค์ ทรงตรัสว่า

ยังไม่ถึงเวลาอีกหรือสำหรับบรรดาผู้ศรัทธาที่หัวใจของพวกเขาจะนอบน้อมต่อการรำลึกถึงอัลลอฮฺ และสิ่งซึ่งได้มีลงมาคือความจริง และพวกเขาอย่าได้เป็นเช่นบรรดาผู้ได้รับคัมภีร์มาแต่ก่อนนี้ แล้วช่วงเวลาได้เนิ่นนานเกินไปแก่พวกเขา ดังนั้นจิตใจของพวกเขาจึงแข็งกระด้าง และส่วนมากของพวกเขาจึงเป็นผู้ฝ่าฝืน (*1*) 

(1)  เป็นการปรามบรรดาผู้ศรัทธาว่า ยังไม่ถึงเวลาอีกหรือที่พวกเขาจะมีหัวใจที่นอบน้อมต่อการรำลึกถึงอัลลอฮฺ สัญญาดีและสัญญาร้ายของพระองค์ และอย่าได้เป็นเช่นพวกยะฮูด พวกนะศอรอที่อัลลอฮฺทรงประทานคัมภีร์เตารอตฮฺและอินญีลให้แก่พวกเขา ครั้นเวลาได้ล่วงเลยมาเป็นเวลานานระหว่างพวกเขากับบรรดานะบีของพวกเขา ดังนั้นจิตใจของพวกเขาจึงแข็งกระด้างด้วยการวุ่นอยู่แต่ในเรื่องของโลกดุนยา พวกเขาจึงกลายเป็นผู้ฝ่าฝืน ไม่เชื่อฟังและจงรักภักดีต่ออัลลอฮฺ ปฏิเสธและไม่สนใจต่อข้อใช้ข้อห้ามทางศาสนา 

          ความต้องการในบางบทบัญญัติ ของมนุษย์ในโลกนี้ เพื่อควบคุมชีวิตของพวกเขา

         มนุษย์ทั้งหลาย ในชีวิตของพวกเขามีความต้องการในกฏเกณฑ์บางอย่าง ที่อำนวหนทางการมีชีวิตอยู่ที่ปลอดภัย มีความสุข และทำให้เกิดความยุติธรรม ความเสมอภาค ในการปฏิบัติต่อกัน ทางด้านสังคม เศรษฐกิจ สิ่งเหล่านี้ คือบทบัญญัติต่างๆที่บรรดาเราะซูลได้นำมา ได้ประมวลไว้ ด้วยเหตุนี้เราจะพบว่า เราะซูลบางท่านจะเรียกร้องเชิญชวนแก่หมู่คณะของท่าน หลังจากที่มีความเอาใจใส่ในการให้เอกภาพแด่อัลลอฮ์  ในการปรับปรุงด้านหนึ่งจากหลายๆด้านของชีวิต ที่หมู่คณะของท่านมีความต้องการ

ดังที่พระองค์ทรงตรัสว่า

“และยังประชาชาติมัดยันนั้น เราได้ส่งชุอัยบ์ ซึ่งเป็นพี่น้องของพวกเขาไป เขากล่าวว่าโอ้ประชาชาติของฉัน! จงเคารพสักการะอัลลอฮ์เถิด ไม่มีสิ่งใดที่ควรได้รับการเคารพสักการะสำหรับพวกท่านอีแล้วอื่นจากพระองค์ แท้จริงหลักฐานอันชัดเจนจากพระเจ้าของพวกท่านนั้นได้มายังพวกท่านแล้ว ดังนั้นจงให้ครบเต็มซึ่งเครื่องตวงและเครื่องชั่งเถิด และจงอย่าให้ขาดแก่เพื่อมนุษย์ซึ่งบรรดาสิ่งของของพวกเขา หลังจากที่มีการแก้ไขมันแล้ว นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดียิ่งแก่พวกท่านหากพวกท่านเป็นผู้ศรัทธา” (อัลอะอ์รอฟ : 85)

ดร.อับดุลลอฮ์ อิบนุ อับดุรเราะหมาน อัลค็อรอาน / ซาอุดิอาระเบีย

สันติสุขสาร/มูลนิธิชี้นำสู่สันติสุข