เมื่อสงครามคือทางเลือกสุดท้าย
  จำนวนคนเข้าชม  61

เมื่อสงครามคือทางเลือกสุดท้าย

 

เรียบเรียงโดย  อิสมาอีล  กอเซ็ม  

 

     มวลการสรรเสริญเป็นเอกสิทธิ์ของอัลลอฮฺผู้อภิบาลแห่งสากลโลก  

          สงครามเป็นหนึ่งในความล้มเหลวทางศีลธรรมของมนุษยชาติ เพราะไม่ว่าฝ่ายใดจะอ้างเหตุผลใด ผลลัพธ์ที่ปรากฏชัดเสมอคือการสูญเสียชีวิตผู้บริสุทธิ์ ความทุกข์ทรมาน และการทำลายล้างอย่างกว้างขวาง อิสลามในฐานะศาสนาแห่งสันติ มิได้ยกย่องสงคราม หากแต่ยอมรับว่าสงครามอาจเกิดขึ้นได้ เฉพาะเมื่อเป็นทางเลือกสุดท้าย เพื่อหยุดยั้งการอธรรมและปกป้องชีวิตมนุษย์

 

          อิสลามจึงได้วางกรอบจริยธรรมการทำสงครามไว้อย่างเข้มงวด เพื่อจำกัดความรุนแรงให้น้อยที่สุด และรักษาศักดิ์ศรีของมนุษย์ แม้ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด

 

1. เป้าหมายของสงครามในอิสลาม

 

     อิสลาม ไม่ได้สอนให้ทำสงครามเพื่อขยายดินแดนหรือบังคับศรัทธา แต่อนุญาตให้ใช้กำลังได้ในกรณีจำเป็นเท่านั้น ได้แก่

การป้องกันตนเองจากการรุกราน

การปกป้องชีวิตและศักดิ์ศรีของประชาชน

การยุติการกดขี่และความอยุติธรรม

     อัลลอฮ์ตรัสว่า

“และพวกเจ้าจงต่อสู้กับผู้ที่ต่อสู้กับพวกเจ้า แต่พวกเจ้าอย่าละเมิด แท้จริงอัลลอฮ์ไม่ทรงรักผู้ละเมิด”

(อัลกุรอาน 2:190)

     อายะฮ์นี้ชี้ชัดว่า แม้ในสงคราม ความยุติธรรมยังเป็นเส้นแดงที่ห้ามข้าม

 

 

2. กฎสงครามในอิสลาม : คุ้มครองผู้บริสุทธิ์

 

     หนึ่งในหลักการสำคัญที่สุดของอิสลามคือ การห้ามทำร้ายผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสู้รบ โดยเด็ดขาด ได้แก่ เด็ก,ผู้หญิง,คนชรา,นักบวชและผู้ปลีกวิเวก,พลเรือนทั่วไป

     ท่านนบีมุฮัมมัด ﷺ กล่าวว่า

“อย่าสังหารเด็ก อย่าสังหารผู้หญิง และอย่าสังหารคนชรา”

     นอกจากนี้ อิสลามยังห้าม ทำลายบ้านเรือนประชาชน ,ทำลายศาสนสถาน ,ฆ่าสัตว์หรือทำลายพืชผลโดยไม่จำเป็น ,ทำลายแหล่งน้ำและสิ่งแวดล้อม ,การโจมตีจึงต้องมุ่ง เฉพาะเป้าหมายทางทหารเท่านั้น

 

 

3. ตัวอย่างจากประวัติศาสตร์อิสลาม

 

     หลักการเหล่านี้มิใช่เพียงทฤษฎี แต่ถูกนำไปปฏิบัติจริง 

     การพิชิตนครมักกะฮ์ (ฟัตหฺ มักกะฮ์) : แม้ชาวมักกะฮ์เคยข่มเหงและทำร้ายมุสลิมอย่างหนัก ท่านนบี ﷺ กลับประกาศอภัย ไม่ล้างแค้น ไม่สังหารพลเรือน และไม่บังคับให้เปลี่ยนศาสนา นี่คือชัยชนะที่ปราศจากการนองเลือด

     สงครามบัดรฺ : เป็นการป้องกันตนเอง มิใช่การรุกราน แม้ในสนามรบ ท่านนบียังคงสั่งให้ปฏิบัติต่อเชลยศึกอย่างมีมนุษยธรรม ถึงขั้นปล่อยตัวบางคนเพียงแลกกับการสอนอ่านเขียน

     คำสั่งของท่านอบูบักรต่อกองทัพ : ห้ามฆ่าเด็ก ผู้หญิง คนชรา ห้ามทำลายต้นไม้ ฆ่าสัตว์โดยไม่จำเป็น และห้ามทำลายศาสนสถาน ซึ่งเกิดขึ้นก่อนกฎหมายมนุษยธรรมสมัยใหม่กว่าพันปี

     การยึดกรุงเยรูซาเล็มในสมัยท่านอุมัร : มีการรับรองความปลอดภัยของคริสเตียนและศาสนสถาน และไม่มีการบังคับศรัทธา เป็นตัวอย่างของผู้ชนะที่ยึดมั่นศีลธรรม

 

 

4. โลกปัจจุบัน : อิรัก ซีเรีย และปาเลสไตน์

 

     เมื่อมองมายังสงครามโลกปัจจุบัน ภาพที่ปรากฏกลับสวนทางกับหลักการเหล่านี้อย่างชัดเจน

     อิรัก : โครงสร้างพื้นฐานถูกทำลาย โรงพยาบาล โรงเรียน และระบบสาธารณูปโภคล่มสลาย พลเรือนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ทั้งที่ไม่ได้มีส่วนในการตัดสินใจทางทหาร

     ซีเรีย : สงครามกลางเมืองได้สร้างวิกฤตผู้ลี้ภัยครั้งใหญ่ เมืองทั้งเมืองถูกทำลาย เด็กจำนวนมากเติบโตท่ามกลางเสียงระเบิด แทนที่จะเป็นห้องเรียน

     ปาเลสไตน์ : ความขัดแย้งยืดเยื้อทำให้ประชาชน โดยเฉพาะเด็กและผู้หญิง ต้องใช้ชีวิตภายใต้ความไม่มั่นคง บ้านเรือน โครงสร้างพลเรือน และปัจจัยพื้นฐานถูกทำลายอย่างต่อเนื่อง

     ในมุมมองอิสลาม การลงโทษหมู่ การทำลายชีวิตผู้บริสุทธิ์ และการไม่แยกเป้าหมายทหารออกจากพลเรือน ไม่อาจถือเป็นสงครามที่ชอบธรรมได้

 

5. บทเรียนทางศีลธรรม

 

     อิสลามสอนว่า “ชัยชนะที่แลกมาด้วยเลือดผู้บริสุทธิ์ ไม่ใช่ชัยชนะ แต่คือความพ่ายแพ้ทางศีลธรรม”

     สงครามยุคใหม่แสดงให้เห็นว่า เทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ไม่ได้ทำให้มนุษย์มีคุณธรรมมากขึ้น อำนาจที่ปราศจากจริยธรรม นำไปสู่หายนะของมนุษยชาติ ขณะที่อิสลามพยายาม จำกัดสงครามให้น้อยที่สุด โลกปัจจุบันกลับขยายผลกระทบให้กว้างที่สุด

 

 

     อิสลามมองว่าสงคราม คือ ทางเลือกสุดท้าย มิใช่เป้าหมาย และเมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ต้องอยู่ภายใต้กรอบจริยธรรมที่เข้มงวด เพื่อปกป้องชีวิตผู้บริสุทธิ์ ศาสนสถาน และสิ่งแวดล้อม

     บทเรียนจากประวัติศาสตร์อิสลาม และโศกนาฏกรรมในอิรัก ซีเรีย และปาเลสไตน์ เตือนมนุษยชาติว่า

สันติภาพที่แท้จริง ไม่ได้เกิดจากอำนาจอาวุธ แต่เกิดจากความยุติธรรมและศีลธรรมที่มนุษย์ยึดถือ