
เสียงที่ไม่มีใครได้ยิน: บทเรียนจากหิลฟุลฟุดูลสู่โลกยุคปัจจุบัน
เรียบเรียงโดย... อิสมาอีล กอเซ็ม
มวลการสรรเสริญเป็นสิทธิ์ของอัลลอฮฺ ผู้อภิบาลแห่งสากลโลก
ในประวัติศาสตร์ยุค ญาอิลียะห์ ยุคที่ขาดแคลนความยุติธรรม มนุษย์ลุ่มหลงในอำนาจ และผู้เข้มแข็งเอารัดเอาเปรียบผู้ที่อ่อนแอ เสียงของคนยากจนแทบไม่มีความหมายในสายตาของผู้ปกครอง ไม่มีรัฐบาล ไม่มีสถาบัน หรือระบบใดที่จะคุ้มครองสิทธิของประชาชนอย่างแท้จริง
ผู้ที่ไม่มีเผ่าหนุนหลัง มักเป็นผู้ที่ถูกกลืนหายไปในโครงสร้างสังคมที่ไม่เคยสนใจเสียงของพวกเขา แต่ท่ามกลางความมืดมนเหล่านั้น มี เหตุการณ์หนึ่งที่ส่องแสงแห่งความดีงาม—เหตุการณ์ที่ทำให้เสียงของผู้ไร้อำนาจดังขึ้นอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เหตุการณ์นั้นคือ พันธะสัญญา “หิลฟุลฟุดูล”
หิลฟุลฟุดูล : เมื่อเสียงเล็ก ๆ เปลี่ยนสังคมทั้งเมือง
ทุกอย่างเริ่มขึ้นจาก ชายพาณิชย์ชาวเยเมน ผู้ถูกโกงโดยผู้นำเผ่าคุเรชชื่อ อัล-อาศ บิน วาอิล เขาไม่มีเผ่าหนุนหลัง ไม่มีอำนาจใดปกป้อง และเหมือนเสียงของเขาจะไม่เคยดังพอให้ผู้มีอำนาจฟัง แต่เขาไม่ยอมเงียบ เขายืนบนภูเขา “อัฏฏบีร” และร้องตะโกนเรียกร้องความเป็นธรรม เสียงนั้น แม้จะเล็ก แต่ก้องลึกเข้าไปในหัวใจของคนดีในเมืองมักกะฮ์
จากเสียงของชายเพียงคนเดียว นำไปสู่การรวมตัวของเผ่าต่าง ๆ ที่ยังมีคุณธรรม ได้แก่
• บนี ฮาชิม
• บนี มุตตอลิบ
• บนี อัสัด
• บนี ซุฮฺเราะฮ์
• บนี ตัยม
ทั้งหมดประชุมกันที่บ้านของ อับดุลลอฮฺ บิน ญุดอาน และประกาศพันธะสัญญาว่า “เราจะยืนหยัดเคียงข้างผู้ถูกอธรรม ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นคนในเมืองหรือคนต่างถิ่น เราจะร่วมกันต่อต้านผู้กดขี่ จนกว่าเราจะคืนสิทธิให้แก่ผู้ถูกเอาเปรียบ”
สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ ท่านนบีมุฮัมมัด ﷺ ขณะยังเป็นวัยหนุ่ม ได้เข้าร่วมในพันธะสัญญานี้ด้วย
ท่านกล่าวในภายหลังว่า: “ฉันเคยเข้าร่วมในพันธะสัญญาหนึ่ง ซึ่งหากวันนี้มีใครเรียกฉันให้ร่วมอีกครั้ง ฉันก็พร้อม เพราะมันมีคุณค่ายิ่งกว่าอูฐแดง”
นี่แสดงให้เห็นว่า หัวใจของท่านยืนอยู่ข้างความยุติธรรมก่อนที่วะฮีย์จะประทานมาด้วยซ้ำ
ผลลัพธ์คือ ผู้นำคุเรชต้องคืนเงินให้ชายชาวยะมาน ความอยุติธรรมได้รับการแก้ไข และ “พลังของการร่วมมือกันบนความดี” ได้เปลี่ยนภาพของสังคมทั้งเมือง
เสียงที่ไม่มีใครได้ยินในยุคปัจจุบัน
เมื่อเรามองมาที่โลกปัจจุบัน แม้จะมีรัฐบาล มีกฎหมาย และมีระบบต่าง ๆ อย่างเป็นทางการ แต่ เสียงของผู้ถูกกดขี่มากมายยังคงเงียบงันเหมือนเดิม
• แรงงานยากไร้ถูกโกงค่าแรง
• ผู้ลี้ภัยไร้โอกาสที่จะพูดแทนตนเอง
• เด็กและสตรีถูกทำร้ายโดยที่สังคมบางส่วนเลือกจะเงียบ
• ชนกลุ่มน้อยถูกผลักให้อยู่นอกความสนใจ
• ผู้พิการถูกละเลยในระบบสาธารณะ
• ชาวบ้านในพื้นที่ห่างไกลถูกเอาเปรียบโดยโครงสร้างเศรษฐกิจ
เสียงเหล่านี้ “เบาเกินไป” ขณะที่เสียงของผู้มีอำนาจ “ดังเกินไป” จนความยุติธรรมถูกกลบฝังอยู่ใต้เงาของกฎหมายที่ไม่เคยถูกใช้เพื่อปกป้องผู้ไม่มีอำนาจ นี่คือ ญาอิลียะห์ในรูปแบบใหม่ แม้โลกเปลี่ยนไป แต่ “แก่นของปัญหา” ไม่เคยเปลี่ยนเลย
บทเรียนจากหิลฟุลฟุดูลที่โลกยุคนี้ต้องนำมาใช้
1. ความยุติธรรมไม่ต้องรอให้รัฐเริ่มต้น – ทุกคนสร้างได้
ผู้ที่ร่วมลงนามในหิลฟุลฟุดูลไม่ใช่กษัตริย์ ไม่ใช่นักการเมือง แต่เป็น “ประชาชนธรรมดาที่มีหัวใจยุติธรรม” นี่สอนเราว่า ความดีเกิดขึ้นได้เมื่อคนธรรมดาไม่ยอมทนกับความอยุติธรรม เราเองก็สามารถเริ่มต้นได้จากสิ่งเล็ก ๆ เช่น
• ช่วยเหลือผู้ที่ถูกเอาเปรียบ
• ไม่เพิกเฉยต่อความรุนแรง
• เป็นปากเสียงแทนผู้ไม่มีอำนาจ
• ช่วยตรวจสอบความไม่โปร่งใสในสังคม
หิลฟุลฟุดูลเริ่มจากคนธรรมดา ความยุติธรรมยุคนี้ก็ต้องเริ่มจากคนธรรมดาเช่นกัน
2. ความร่วมมือคือพลังที่เปลี่ยนสังคม
ในอดีต เผ่าที่เคยขัดแย้งกันยังรวมตัวเพื่อปกป้องผู้ถูกกดขี่ ในยุคนี้ ความร่วมมือแบบนั้นจำเป็นยิ่งกว่าเดิม
• นักกฎหมายร่วมมือกับภาคประชาชน
• ผู้นำศาสนาร่วมมือกับนักสังคมสงเคราะห์
• ชุมชนร่วมมือกับเยาวชน
• องค์กรรัฐร่วมมือกับผู้ประสบปัญหาโดยตรง
หิลฟุลฟุดูลสอนว่า สังคมที่ดีไม่อาจเกิดจากคนคนเดียว แต่เกิดจากคนจำนวนมากที่ร่วมมือกันบนความดีเดียวกัน
3. ต้องทำให้เสียงของผู้ไร้อำนาจ “ดังพอ”
ชายชาวยะมานอาจถูกโกงต่อไป ถ้าเขาไม่ยืนร้องตะโกน และถ้าคนดีในมักกะฮ์ไม่ลุกขึ้นฟัง ยุคนี้ก็เช่นกัน เสียงของคนอ่อนแอต้องไม่ถูกทิ้งไว้ให้เงียบตายไปในมุมหนึ่งของสังคม เราต้อง
• เปิดพื้นที่ให้พวกเขาพูด
• ใช้สื่ออย่างรับผิดชอบ
• ยืนเป็นเกราะป้องกันให้ผู้ที่ไม่มีใครยืนข้าง
นี่คือ “หิลฟุลฟุดูลยุคใหม่” ที่ต้องสร้างในชุมชนของเรา
โลกยังคงต้องการหิลฟุลฟุดูลอีกครั้ง เหตุการณ์ประวัติศาสตร์นี้ไม่ได้อยู่เพื่อเล่าอย่างน่าประทับใจเท่านั้น แต่มันคือข้อความจากอดีตสู่ปัจจุบันว่าสังคมที่ดีไม่ได้วัดจากความมั่งคั่ง แต่จากวิธีที่สังคมนั้นปกป้องคนที่อ่อนแอที่สุด
โลกยุคใหม่ยังเต็มไปด้วยเสียงที่ไม่มีใครได้ยิน น้ำตาที่ไม่มีใครมองเห็น และความอยุติธรรมที่ไม่มีใครลุกขึ้นแก้ไข
ถึงเวลาที่เราต้องฟื้นฟู “หิลฟุลฟุดูล” ในแบบของเรา ในชุมชนของเรา ในยุคของเรา เพื่อให้เสียงเล็ก ๆ เหล่านั้น ดังพอที่จะเปลี่ยนแปลงโลกได้อีกครั้ง