ผลเสียของการนิ่งเฉยต่อความชั่ว
  จำนวนคนเข้าชม  95

ผลเสียของการนิ่งเฉยต่อความชั่ว

 

โดย... อ.อิสมาอีล  กอเซ็ม  

 

     มวลการสรรเสริญเป็นเอกสิทธิ์ของอัลลอฮฺ ผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก

          อัลลอฮฺ ซุบหานะฮูวะตะอาลา ได้ทรงส่งท่านนบีมูฮัมหมัด ﷺ มาเป็นแบบอย่างในการ เชิญชวนสู่ความดี และ ห้ามปรามความชั่ว ซึ่งถือเป็นภารกิจสำคัญของประชาชาติอิสลาม เพราะเป็นหนทางที่จะทำให้สังคมสะอาดจากความชั่วและคงไว้ซึ่งศีลธรรมและความยุติธรรมในหมู่มนุษย์

 

 

ความสำคัญของการใช้ให้ทำดีและห้ามความชั่ว

 

          การใช้ให้ทำความดีและห้ามความชั่ว คือรากฐานแห่งการคงอยู่ของประชาชาติอิสลาม เป็นสิ่งที่ทำให้ประชาชาติแข็งแกร่งและได้รับความสำเร็จในทุกด้าน ทั้งด้านศาสนา สังคม และจิตใจ

     ดังที่อัลลอฮฺตรัสว่า:

 

“พวกท่านคือประชาชาติที่ดีที่สุด ที่ถูกบังเกิดขึ้นเพื่อมนุษย์

โดยที่พวกท่านใช้ให้กระทำความดี และห้ามปรามความชั่ว และศรัทธาต่ออัลลอฮฺ”

(ซูเราะฮฺ อาลิอิมรอน: 110)

 

 

ผลเสียของการนิ่งเฉยต่อความชั่ว

 

          เมื่อประชาชาติอิสลามนิ่งเฉยต่อความชั่ว ปล่อยให้บาปและความอยุติธรรมแพร่กระจายโดยไม่มีผู้ลุกขึ้นห้ามปราม นั่นย่อมเป็นเหตุให้ความชั่วกลายเป็นเรื่องปกติ และอัลลอฮฺจะประทานโทษลงมายังสังคมนั้น

     ดังที่ท่านนบี ﷺ กล่าวว่า:

 

“เมื่อผู้คนเห็นความชั่ว แล้วไม่ห้ามปราม อัลลอฮฺจะทรงลงโทษพวกเขาทั้งหมด”

(บันทึกโดย อิหม่ามอะบูดาวูด)

 

          ดังนั้น การนิ่งเฉยต่อความชั่วคือการยอมให้บาปครอบงำ และเป็นต้นเหตุแห่งความตกต่ำของประชาชาติ ทั้งในด้านศีลธรรม เศรษฐกิจ การเมือง และความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน เพราะเมื่อความดีไม่ถูกสนับสนุน และความชั่วไม่ถูกขัดขวาง ความเสื่อมย่อมเข้าครอบงำในที่สุด

 

 

หะดีษเรือลำเดียวกัน – เปรียบเทียบสังคมมุสลิม

 

قال رسول الله ﷺ: 

"مَثَلُ القَائِمِ فِي حُدُودِ اللَّهِ وَالوَاقِعِ فِيهَا، كَمَثَلِ قَوْمٍ اسْتَهَمُوا عَلَى سَفِينَةٍ، فَأَصَابَ بَعْضُهُمْ أَعْلَاهَا، وَبَعْضُهُمْ أَسْفَلَهَا، فَكَانَ الَّذِينَ فِي أَسْفَلِهَا إِذَا اسْتَقَوْا مِنَ المَاءِ مَرُّوا عَلَى مَنْ فَوْقَهُمْ، فَقَالُوا: لَوْ أَنَّا خَرَقْنَا فِي نَصِيبِنَا خَرْقًا وَلَمْ نُؤْذِ مَنْ فَوْقَنَا، فَإِنْ تَرَكُوهُمْ وَمَا أَرَادُوا هَلَكُوا جَمِيعًا، وَإِنْ أَخَذُوا عَلَى أَيْدِيهِمْ نَجَوْا وَنَجَوْا جَمِيعًا."

(رواه البخاري)

 

ท่านรอซูลุลลอฮฺ ﷺ กล่าวว่า:

     “อุปมาของคนที่ยืนหยัดตามบทบัญญัติของอัลลอฮฺ และคนที่ละเมิดมัน

     เปรียบเหมือนกลุ่มคนที่อยู่บนเรือลำหนึ่ง พวกเขาจับสลากแบ่งที่อยู่กัน บางคนได้อยู่ชั้นบน และบางคนได้อยู่ชั้นล่าง

     เมื่อคนที่อยู่ชั้นล่างต้องการน้ำ พวกเขาต้องขึ้นไปหาคนชั้นบนเพื่อเอาน้ำมาใช้

     จนกระทั่งวันหนึ่งพวกเขากล่าวว่า:

     ‘หากเราทะลวงเรือในส่วนของเรา เพื่อจะได้น้ำเอง โดยไม่รบกวนผู้ที่อยู่ชั้นบนก็คงดี’

     หากคนชั้นบนปล่อยให้พวกเขาทำตามใจ เรือก็จะจม และทุกคนจะพินาศไปด้วยกัน แต่ถ้าพวกเขาห้ามไว้ ทุกคนก็จะรอดพ้นไปด้วยกันทั้งหมด”

(บันทึกโดยอัลบุคอรี)

 

 

บทเรียนจากหะดีษ

 

          หะดีษนี้แสดงให้เห็นว่า สังคมมุสลิมเปรียบเสมือนผู้โดยสารในเรือลำเดียวกัน ความชั่วของบางคน หากไม่มีผู้ห้ามปราม ก็จะเป็นภัยต่อคนทั้งสังคม แต่ถ้าผู้คนร่วมกันป้องกันความชั่วและยืนหยัดในความดี สังคมทั้งมวลก็จะรอดพ้นจากการทำลาย

     ดังนั้น การนิ่งเฉยต่อความชั่วไม่ใช่เพียงความบกพร่องส่วนบุคคล แต่คือการเปิดช่องให้สังคมทั้งสังคมล่มสลายไปพร้อมกัน

 

 

เมื่อผู้รู้ละเลย หน้าที่ในการห้ามความชั่ว

 

          ทุกวันนี้ ที่ความชั่วและความเสื่อมทรามแพร่ขยายไปในสังคมมุสลิมอย่างกว้างขวาง นั่นมิใช่เพราะคนชั่วมีจำนวนมากขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่เพราะ ผู้คนจำนวนมาก โดยเฉพาะบรรดาผู้มีความรู้ ได้ละเลยหน้าที่สำคัญในการใช้ให้ทำความดีและห้ามปรามความชั่ว พวกเขาเลือกนิ่งเฉยเมื่อเห็นความผิด เกรงกลัวคำตำหนิ หรือเกรงเสียผลประโยชน์ของตนเอง จนความชั่วได้กลายเป็นสิ่งปกติในสายตาของสังคม

ท่านนบี ﷺ ได้เตือนว่า

“เมื่อผู้คนเห็นความชั่วแล้วไม่ห้ามปราม อัลลอฮฺจะทรงลงโทษพวกเขาทุกคน”

(บันทึกโดย อิหม่ามอะบูดาวูด)

 

          ความนิ่งเฉยของผู้รู้หรือผู้นำทางศาสนา คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้สังคมอ่อนแอ เพราะเมื่อแสงแห่งการชี้นำดับลง ความมืดแห่งความชั่วก็จะแผ่ปกคลุมไปทั่ว และนั่นคือสัญญาณแห่งความตกต่ำของประชาชาติอิสลาม

 

 

เหตุแห่งความวุ่นวายในประชาชาติอิสลาม

 

          เราเคยตั้งคำถามกับตนเองหรือไม่ว่า เหตุใดโลกอิสลามในวันนี้จึงเต็มไปด้วยความวุ่นวาย แตกแยก และอ่อนแอ? เหตุใดศัตรูของอิสลามจึงสามารถเข้ามามีบทบาทและมีอำนาจเหนือมุสลิมได้?

          คำตอบมิได้อยู่ที่จำนวนศัตรู หรือกำลังอาวุธของพวกเขา หากแต่อยู่ที่ การละทิ้งภารกิจสำคัญของประชาชาติอิสลามเอง นั่นคือ การใช้ให้ทำความดี และห้ามปรามความชั่ว เมื่อประชาชาติอิสลามละเลยหน้าที่นี้ ความชั่วก็แพร่กระจาย ความดีถูกทอดทิ้ง และหัวใจของผู้คนอ่อนแรงต่อศรัทธา

     อัลลอฮฺ ซุบหานะฮูวะตะอาลา ได้ตรัสเตือนถึงผลของการละเลยว่า

 

“อัลลอฮฺจะไม่เปลี่ยนแปลงสภาพของประชาชาติใด จนกว่าพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่อยู่ในตัวของพวกเขาเอง”

(ซูเราะฮฺ อัรร็อด 13:11)

 

         เมื่อมุสลิมละทิ้งหน้าที่ในการชี้นำกันสู่ความดี ปล่อยให้บาปและความอยุติธรรมครอบงำ โดยเฉพาะเมื่อผู้รู้และผู้นำทางศาสนาไม่ลุกขึ้นปกป้องความจริง ประชาชาติก็จะสูญเสียศักดิ์ศรี และกลายเป็นเป้าหมายที่ศัตรูสามารถครอบงำได้โดยง่าย

 

          ดังนั้น การฟื้นฟูประชาชาติอิสลามให้กลับมามีเกียรติ ต้องเริ่มจากการฟื้นฟู หน้าที่ในการใช้ให้ทำความดีและห้ามปรามความชั่ว เพราะนั่นคือหัวใจของการดำรงอยู่แห่งประชาชาติที่อัลลอฮฺทรงยกย่องว่าเป็นประชาชาติที่ดีที่สุด

 

          อีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้ประชาชาติอิสลามอ่อนแอและตกต่ำ คือ การหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่ขัดต่อหลักเตาฮีด ไม่ว่าจะเป็นการกระทำที่เข้าข่าย ตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ (الشرك بالله) หรือ การอุตริกรรมในศาสนา (البدعة) ซึ่งเป็นสิ่งที่ท่านนบี ﷺ ได้เตือนไว้อย่างหนักแน่นว่า “ทุกการอุตริกรรมคือการหลงทาง”

          ขณะเดียวกัน มุสลิมจำนวนไม่น้อยกลับ หลงมัวเมาอยู่กับการโต้เถียงและขัดแย้งกันเอง ในประเด็นปลีกย่อยทางศาสนา (فروع الدين) — เรื่องที่ไม่ควรกลายเป็นเหตุแห่งการแตกแยกและเกลียดชังกัน แต่กลับกลายเป็นรอยร้าวในหัวใจของประชาชาติเดียวกัน

 

          แทนที่เราจะรวมพลังกันเพื่อเชิญชวนสู่ความดี ห้ามปรามความชั่ว และยืนหยัดต่อสู้กับความอยุติธรรมในสังคม เรากลับเสียเวลาในเรื่องเล็กน้อย จนละเลยภารกิจยิ่งใหญ่ที่อัลลอฮฺทรงมอบหมาย

     อัลลอฮฺ ซุบหานะฮูวะตะอาลา ได้ตรัสเตือนว่า

 

“และพวกท่านจงอย่าขัดแย้งกัน เพราะมันจะทำให้พวกท่านอ่อนกำลัง และทำให้พลังของพวกท่านหมดไป”

(ซูเราะฮฺ อัลอันฟาล 8:46)

 

          ดังนั้น การกลับมาสู่ความถูกต้อง ต้องเริ่มจากการ ชำระจิตใจให้บริสุทธิ์จากการตั้งภาคีและอุตริกรรมในศาสนา พร้อมกับ ละทิ้งการขัดแย้งในสิ่งเล็กน้อยที่ไม่ก่อประโยชน์ แล้วหันมาร่วมมือกันในสิ่งที่อัลลอฮฺทรงพอพระทัย นั่นคือการ ยืนหยัดบนเตาฮีด ความสามัคคี และการทำความดีร่วมกัน