อัล บะเกาะเราะห์
  จำนวนคนเข้าชม  15735


2. ซูเราะฮฺ อัล-บะเกาะเราะฮฺ (Al-Baqarah)

เป็นบัญญัติ มะดะนียะห์ มี 286 อายะฮ์

ซูเราะฮ์ อัล-บะเกาะเราะฮ์ เป็นซูเราะฮ์มะดะนียะฮ์ทั้งซูเราะฮ์ คือ ถูกประทานลงมาหลังฮิจญเราะฮ์ศักราช ณ นครมะดีนะฮ์ ยกเว้นอายะฮ์ที่ 281 ซึ่งถูกประทานลงมา ณ ตำบลมินา ขณะประกอบพิธีฮัจญะตุลวะดาอ์ ซูร่อตุลบะเกาะเราะฮ์นี้ นับเป็นซูเราะฮ์ที่ยาวที่สุด มี 286 อายะฮ์

 

 

1. อะลิฟ ลาม มีม (*1*)

(1)  คำนี้มิใช่เป็นคัพท์ที่ถูกกำหนดให้มีความหมายดังเช่นคำอื่น ๆ หากแต่เป็นพยัญชนะโดด ๆ ซึ่งถูกนำมารวมกัน เพื่อให้อ่านออกสียงพยัญชนะเหล่านี้ต่อเนื่องกัน ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องอ่านออกเสียงคำนี้เป็นพยัญชนะโดด ๆ ว่า อะลิฟ ลาม มีม ส่วนความมุ่งหมายอันแท้จริงของคำนี้และคำอื่น ๆ ที่คล้ายคลึงกัน เช่น อะลิฟ ลาม รอเป็นต้นนั้น ไม่มีใครสามารถเข้าใจได้ เพราะท่านนะบีมิได้อธิบายไว้ แต่กระนั้นก็ยังมีนักปราชญ์บางท่านพยายามหาความเข้าใจ โดยนำพยัญชนะอื่น ๆ มาประกอบเพื่อให้มีความหมายในการนนี้ย้อมทำให้ความหมายของแต่ละพยัญชนะแตก ต่างกันไป ซึ่งไม่เป็นที่ยึดถือได้ ยังมีอีกทรรศนะหนึ่งของนักปราชญ์บางท่านว่า พยัญชนะเหล่านี้ถูกนำมาระบุไว้ในตอนต้นของ ซูเราะฮฺ เพื่อเตือนผู้คนให้หันมาสนใจและสดับฟังโองการของอัลลอฮฺที่จะอ่านให้ฟังต่อ ไปคล้ายกับคำที่ใช้เตือนให้เตรียมตัวว่า หนึ่ง สอง สาม กระนั่น นี่ก็เป็นเพียงทรรศนะของนักปราชญ์ที่ต้องการจะให้ความหมาย แต่ความหมายที่แท้จริงนั้นไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว

2. คัมภีร์นี้ ไม่มีความสงสัยใด ๆ ในนั้น เป็นคำแนะนำสำหรับบรรดาผู้ยำเกรงเท่านั้น

 

3. คือบรรดาผู้ศรัทธาต่อสิ่งเร้นลับ(*1*) และดำรงไว้ซึ่งการละหมาด และส่วนหนึ่งจากสิ่งที่เราได้ให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเขานั้น พวกเขาก็บริจาค

(1)  หมาถึงสิ่งที่พ้นญาณวิสัยของมนุษย์ เช่น อัตตะของอัลลอฮฺ มลาอิกะฮฺของพระองค์ และสภาพของปรโลก ตลอดจนการสอบสวนของมุงกัรฺ และนะกีรฺ แก่ผู้ที่เสียชีวิตไม่ว่าจะถูกฝังไว้ในสุสานหรือถูกเก็บไว้ในที่อื่นใดก็ตาม พร้อมด้วยการตอบแทน และลงโทษบุคคลเหล่านั้นในเบื้องต้นก่อนดัวย

 

4. และบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่อสิ่งที่ถูกประทานลงมาแก่เจ้า(*1*) และสิ่งที่ถูกประทานลงมาก่อนเจ้า(*2*) และต่อวันปรโลกนั้นพวกเขาเชื่อมั่น

(1)  คือ คัมภีร์ อัล-กรุอานาที่ถูกประทานลงมาแก่นะบี
(2)  ได้แก่คัมภีร์ เตารอดและอินญีล และคัมภีร์อื่น ๆ

 

5. ชนเหล่านี้ คือ ผู้ที่(ตั้ง)อยู่บนคำแนะนำ(*1*)ที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา และชนเหล่านี้คือผู้ที่บรรลุผล

(1)  ผู้ปฏิบัติตามคำแนะนำที่มาจากอัลลอฮฺ ผู้เป็นพระเจ้าของพวกเขา

 

6. แท้จริงบรรดาผู้ที่ปฏิเสธการศรัทธานั้นย่อมมีผลเท่ากันแก่พวกเขา เจ้าจะตักเตือนพวกเขาแล้วหรือยังมิได้ตักเตือนพวกเขาก็หาได้ศรัทธาไม่

 

7. อัลลอฮฺได้ทรงประทับตราบนหัวใจของพวกเขา และบนหูของพวกเขาแล้ว และบนตาของพวกเขาก็มีสิ่งบดบังอยู่(*1*)และเขาเหล่านั้น จะได้รับการลงโทษอันมหันต์

(1)  เป็นการเปรียบเทียบผู้ปฏิเสธศรัทธาว่า พวกเขาประหนึ่งผู้ที่หัวใจและหูของเขาถูกปิดผนึกไว้ เพราะการที่ไม่ยอมเข้าใจ และสดสับฟังความจริงที่มาจากพระเจ้าของเขานั้น ย่อมไม่แตกต่างกับหัวใจและหูที่ถูกปิดผนึกไว้แต่อย่างใด เพราะต่างก็ไม่ได้รับแสงสว่างจากอัลลอฮฺเช่นเดียวกัน และตาของพวกเขาที่ไม่ใช้มองในสิ่งที่อำนวยประโยชน์ ก็ไม่แตกต่างกับตาที่มีสิ่งปกคลุมอยู่แต่อย่างใด

 

8. และจากหมู่ชนนั้น มีผู้กล่าว่า เราได้ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และวันปรโลกแล้ว ทั้ง ๆ ที่พวกเขาหาใช่เป็นผู้ศรัทธาไม่(*1*)

(1)  หมายถึงพวกมุนาฟิกที่ศรัทธาแต่เพียงคำพูด แต่หัวใจปฏิเสธ

 

9. เขาเหล่านั้นต่างหลอกลวงอัลลอฮฺ และบรรดาผู้ที่ศรัทธา และพวกเขาหาได้หลอกลวงใครไม่ นอกจากตัวของพวกเขาเองเท่านั้น(*1*) แต่พวกเขาไม่รู้สึก

(1)  คือการหลอกลวงของพวกเขานั้น หาได้เป็นอันตรายแก่ผู้ใดไม่ นอกจากตัวของพวกเขาเองเท่านั้น เพราะพวกเขาปฏิเสธข้อปฏิบัติที่จะอำนวยประโยชน์แก่ตัวของพวกเขาเองแต่เขาไม่ รู้สึก

 

10. ในหัวใจของพวกเขามีโรคอย่างหนึ่ง(*1*) แล้วอัลลอฮฺได้ทรงเพิ่มโรคอีกอย่างหนึ่ง(*2*) ให้แก่พวกเขา และพวกเขาจะได้รับการนลงโทษอันเจ็บแสบเนื่องจากการที่พวกเขากล่าวเท็จ

(1)  โรคแห่งความสงสัย
(2)  โรคแห่งความดื้อดัน และปฏิเสธศรัทธา

 

11. และเมื่อได้ถูกกล่าวแก่พวกเขาว่า พวกท่านจงอย่าก่อความเสียหาแก่แผ่นดิน ซิ พวกเขาก็กล่าวว่า ที่จริงนั้น เราเป็นผู้ปรับปรุงให้ดีต่างหาก(*1*)

(1)  เป็นการกล่าวแก้ที่แสดงออกซึ่งความดื้อดัน และมีทิฐิ

 

12. พึงรู้เถอะว่าแท้จริงพวกเขานั่นแหละ เป็นผู้ที่ก่อความเสียหาย(*1*) แต่ทว่าพวกเขาไม่รู้สึก

(1)  เพราะพวกเขาประพฤติ และปฏิบัติตามความใคร่ใฝ่ต่ำ จึงก่อให้เกิดความเสียหาย แต่เนื่องจากหัวใจของพวกเขาบอดเสียแล้วพวกเขาจึงไม่รู้สึก

 

13. และเมื่อได้ถูกล่าวแก่พวกเขาว่า พวกท่านจงศรัทธาเยี่ยงที่ประชาชน(*1*) เขาศรัทธากันซิ พวกเขาก็กล่าวว่า จะให้เราศรัทธาเยี่ยงผู้โฉดเขลาเหล่านั้นศรัทธากัน(*2*) กระนั่นหรือ? พึงรู้เถิดว่าพวกเขาเองนั่นแหละเป็นผู้ที่โฉดเขลาแต่พวกเขาหารู้ไม่

(1)  หมายถึงผู้ที่ศรัทธาด้วยใจจริง
(2)  หมายถึงผู้ที่ศรัทธาต่อท่านนะบีมูฮัมมัด กล่าวคือ พวกมุนาฟิกนั้น เมื่อได้รับคำเชิญชวนให้ศรัทธาต่อท่านนะบี เช่นเดียวกับผู้ศรัทธาทั้งหลาย พวกเขากลับว่า ผู้ศรัทธาทั้งหลายนั้นเป็นพวกเขลาทั้งนั้น จะให้พวกเขาศรัทธาเช่นพวกเหล่านั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้

 

14. และเมื่อพวกเขาพบบรรดาผู้ศรัทธาพวกเขาก็กล่าวว่า เราศรัทธาแล้ว และเมื่อพวกเขาได้ร่วมอยู่กับบรรดาหัวใจพวกเขาแต่ลำพัง พวกเขาก็กล่าวว่า แท้จริงเรายังอยู่กับพวกท่าน ที่จริงเราเป็นแต่เพียงผู้เย้ยหยันเท่านั้น(*1*)

(1)  คือเย้ยหยันผู้ศรัทธา ด้วยการแสดงตนว่าเป็นผู้ศรัทธา ทั้ง ๆ ที่พวกเขาไม่ได้ศรัทธาแต่อย่างใด

 

15. อัลลอฮฺจะทรงเย้ยหยันพวกเขา และจะทรงยืดเวลาให้พวกเขาระเหเร่ร่อนอยู่ในการละเมิดของพวกเขาต่อไป(*1*)

(1)  อัลลอฮฺจะไม่ทรงลงโทษในทันทีทันใด แต่จะทรงปล่อยให้พวกเขาระเริงอยู่ในการละเมิดต่อไป จนกระทั่งทรงเห็นว่าได้เวลาอันสมควรแล้ว ก็จะทรงลงโทษ และผู้ใดที่อัลลอฮฺทรงลงโทษแล้วก็ไม่มีใครจะช่วยเขาได้

 

16. ชนเหล่านี้คือผู้ที่ซื้อทางหลงผิด ด้วยทางที่ถูก(*1*) ดังนั้น การค้าของพวกเขาจึงไม่ได้กำไร(*2*) และทั้งพวกเขาก็ไม่เคยเป็นผู้รับเอาทางที่ถูกต้อง

(1)  คือนำเอาแนวทางที่ถูกต้องที่อัลลอฮฺทรงประทานให้ไปแลกเปลี่ยนเอาทางที่ผิดไว้
(2)  อัลลอฮฺทรงเปรียบเทียบการดำเนินชีวิตของมนุษย์ว่าเหมือนกับการค้าขาย กล่าวคือการดำเนินชีวิตในทางที่ผิดนั้น ย่อมทำให้ชีวิตได้รับความเดือดร้อนฉันใด การค้าขายที่ซื้อแต่สินค้าเลว ๆ และเสียหาย ย่อมนำมาซึ่งการขาดทุนฉันนั้น

 

17. อุปมาพวกเขานั้น ดังผู้ที่จุดไฟขึ้น(*1*) ครั้งเมื่อไฟได้ให้แสงสว่างแก่สิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวเขา (*2*)อัลลอฮฺก็ทรงนำเอาแสงสว่างของพวกเขาไป(*3*) และปล่อยพวกเขาไว้ในบรรดาความมืด ซึ่งพวกเขาไม่สามารถจะมองเห็นได้

(1)  เพื่อจะได้เห็นสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวพวกเขาว่า มีอะไรบ้างที่มีประโยชน์และเป็นอันตรายแก่ตัวของพวกเขาอันเปรียบได้ดังการมา ของอิสลาม เพราะอิสลามทำให้เขารู้และเข้าใจสิ่งที่เป็นหน้าที่ของพวกเขา ความที่ว่า“สิ่งที่อยู่รอบ ๆ ตัวของพวกเขา” นั้น หมายถึงหน้าที่ต่าง ๆ ที่พวกเขาต้องปฏิบัติ
(2)  เมื่อไฟได้ช่วยให้เขาเห็นสิ่งต่าง ๆที่อยู่รอบตัวเขา (อันหมายถึงหน้าที่ของพวกเขา แทนที่เขาจะให้ความสนใจกับสิ่งเหล่านั้นเพื่อประโยชน์แก่ตัวของเขา กลับทำเป็นไม่เห็น และผินหลังให้เสีย
(3)  เมื่อพวกเขาไม่สนใจในสิ่งที่พวกเขาเห็นรอบ ๆ ตัวของเขาแล้ว อัลลอฮฺทรงปล่อยให้พวกเขาอยู่ในคตวามมืดต่อไปกล่าวคือปล่อยให้จมปลักแก่ความ โง่ต่อไป ตามที่พวกเขาปรารถนา ทั้งนี้โดยที่ได้ทรงใช้ถ้อยคำในเชิงประชดว่า อัลลอฮฺก็ทรงนำเอาแสงสว่างของพวกเขาไป ปล่อยให้พวกเขาอยู่ในความมืดมิด ซึ่งพวกเขาไม่สามารถจะมองเห็นได้ ในการที่จะทำให้พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในความมืด โดยไม่สามารถรู้ว่าอะไรควรและไม่ควร อันเป็นการเปรียบเทียบให้เห็นสภาพของผู้ปฏิบัติศรัทธาว่าการดำเนินชีวิตของ พวกเขานั้นเหมือนอยู่ในความมืด

 

18. เขาเหล่านั้นเป็นคนหูหนวก เป็นใบ้ และตาบอด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถจะกลับมาได้(*1*)

(1)  อัลลอฮฺทรงเปรียบเทียบพวกเขาว่าประหนึ่ง คนหูหนวก เป็นใบ้ และตาบอด และประการหนึ่งว่าพวกมุนาฟิกนั้น เป็นพวกที่สูญเสียอวัยวะสำคัญทั้งสามดังกล่าว แน่นอนผู้ที่สภาพดังกล่าวย่อมไม่สามารถกลับไปสู่ทางที่ถูกได้ เพราะว่าจะฟังเขาพูดก็ไม่ได้ยิน จะถามเขาก็พูดไม่ได้ และจะมองก็มองไม่เห็น อันนับได้ว่าเป็นมนุษย์ที่น่าทุเรศที่สุด

 

19. หรือดังฝนที่หลั่งลงมาจากฟากฟ้า โดยที่ในฝนนั้นมีทั้งบรรดาความมืด ฟ้าคำรน และฟ้าแลบ พวกเขาจึงเอานิ้วมือของพวกเขาอุดหูไว้ เนื่องจากฟ้าผ่า ทั้งนี้เพราะกลัวความตาย(*1*)และอัลลอฮฺนั้นทรงล้อม(*2*) พวกปฏิเสธการศรัทธาเหล่านั้นไว้แล้ว

(1)  ตามธรรมดาสำหรับผู้มีปัญญานั้น เมื่อกลัวฟ้าผ่า ก็จะต้องหลีกเลี่ยงให้ห่างไกลจากสิ่งที่เป็นสื่อไฟฟ้าเสีย จึงจะได้รับความปลอดภัย ไม่ใช่เอานิ้วมืออุดหู เพื่อไม่ให้ได้ยินเสียฟ้าผ่า แล้วฟ้าก็จะไม่ผ่า อันเป็นการกระทำของผู้ที่ขาดปัญญา ในทำนองเดียวกัน พวกมุนาฟิกที่พยายามหลีกเลี่ยงไม่ยอมฟัง อัล-กรุอาน และคำแนะนำของท่านนะบีนั้น ก็ใช่ว่าจะพ้นการลงโทษของอัลลอฮฺได้ เพียงแต่แก้ตัวว่าไม่เคยได้ยินโองการของอัลลอฮฺและคำแนะนำของท่านนะบีเท่า นั้น
(2)  เป็นการแจ้งให้ทราบว่าพวกเขาไม่สามารถจะหนีให้พ้นไปได้ เพราะประหนึ่งพวกเขาถูกล้อมไว้แล้ว

 

20. สายฟ้าแลบแทบจะเฉี่ยวสายตาของพวกเขาไป(*1*) คราใดที่มันให้แสงสว่างแก่พวกเขา พวกเขาก็เดินไปในแสงสว่างนั้น(*2*) และเมื่อมันมืดลงแก่พวกเขา พวกเขาก็หยุดยืน แลหากอัลลอฮฺทรงประสงค์แล้ว(*3*) แท่นอนก็ทรงนำเอาหูและตาของพวกเขาไปแล้ว แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงอานุภาพเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง

(1)  อัลลอฮฺทรงเปรียบเทียบว่า ความชัดเจของอัล-กรุอานนั้นให้ความเจิดจ้าประดุจสายฟ้าแลบที่แทบจะเฉี่ยวสายตาของพวกเขาไป
(2)  ทรงเทียบว่า เมื่ออัล-กรุอานได้ให้ความเข้าใจแก่พวกเขา ในสิ่งที่พวกเขายังมืดมนอยู่ (อันเปรียบเสมือนแสงฟ้าแลบที่ให้ความสว่างแก่พวกเขา) พวกเขาก็ปฏิบัติตาม (อันเปรียบเสมือนพวกที่ยืนอยู่กับที่)
(3)  ถ้าอัลลอฮฺทรงประสงค์จะลงโทษพวกเขา พระองค์ก็ทรงให้ตาของพวกเขาบอดไปแล้ว เพราะมีตาก็เหมือนไม่มี เนื่องจากไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองแต่อย่างใด


[1] [ 2] [ 3] [ 4] [ 5] [ 6] [ 7] [ 8] [ 9] [ 10] [ 11] [ 12] [ 13] [ 14] [ 15] [ Next]