อิสลามกับการ “ตะนัมมุ้ร”(บูลลี่)
  จำนวนคนเข้าชม  80

 

อิสลามกับการ “ตะนัมมุ้ร”(บูลลี่)

 

โดย บินตฺ  กะม๊าล

 

          ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย เป็นที่ทราบกันดีว่า อัลกุรอานถูกประทานลงมายังท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ครอบคลุมไว้ด้วยเนื้อหาหลัก ๆ สามประการด้วยกัน หนึ่งในสามนั้นคือ เนื้อหาเกี่ยวกับการให้ข้อคิด อุทาหรณ์เตือนใจ โดยการเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับกลุ่มชนต่าง ๆ ในอดีต 

 

          ผู้ที่ทำดีจะได้รับสวรรค์เป็นการตอบแทน ผู้ที่ทำชั่วจะได้เข้านรกเพื่อเป็นการลงโทษ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว รวมไปถึงการอบรมขัดเกลาจรรยามารยาทประชาชาติของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม โดยการเรียกร้องเชิญชวนผู้คนให้ประดับประดาตนเองด้วยจรรยามารยาทที่ดีงาม ให้มีการยกย่องให้เกียรติเพื่อนมนุษย์ มีสัมมาคารวะ มีความนอบน้อมถ่อมตนต่อกัน ให้ปลีกตัวออกห่างจากอุปนิสัยที่เลวทราม ปฏิเสธกิริยา วาจา มารยาทและการกระทำที่น่ารังเกียจ เช่น การกลั่นแกล้ง การด้อยค่า การดูถูกดูแคลน เหยียดหยาม เยาะเย้ย ถากถาง (บูลลี่) ผู้อื่น หรือกลุ่มคนหนึ่งกลุ่มคนใด ฯลฯ

 

 

          การ “ตะนัมมุ้ร” นั้นคือ การใช้วาจา ใช้กำลังทำร้ายรังแกผู้ที่อ่อนแอ ผู้ที่ด้อยกว่าหรือการกระทำอื่น ๆ ที่รวมอยู่ในความหมายเดียวกันว่า กลั่นแกล้ง ข่มขู่ เพื่อให้เกิดความหวาดกลัว ลิดรอนสิทธิ ละเมิดความเป็นส่วนตัว พูดถึงผู้อื่นในทางที่ไม่ดี นึกคิดมองในแง่ร้าย หมิ่นประมาทผู้อื่นทำให้เขาได้รับความอับอาย ได้รับ ความเสียหาย หรือลดทอนความเชื่อมั่นด้วยการด้อยค่า ฯลฯ

 

          การ “ตะนัมมุ้ร” เป็นพฤติกรรมหนึ่งที่สร้าง “ฟิตนะฮฺ” ให้กับสังคม เป็นการสร้างความบาดหมางขึ้นในหมู่พี่น้องด้วยกัน การแสดงวาจาหรือพฤติกรรมที่มุ่งร้ายไม่ว่าจะด้วยเจตนาหรือไม่ก็ตามล้วนแล้วแต่เป็นผลด้านลบทั้งสิ้น ไม่เกิดผลดีแก่ผู้กระทำและผู้ถูกกระทำแต่อย่างใด

 

 

รูปแบบของการ “ตะนัมมุ้ร”

 

1. การเหยียดเชื้อชาติเผ่าพันธุ์

 

          พึงทราบเถิดว่า อิสลามให้ความเสมอภาคเท่าเทียมกันในหมู่มนุษยชาติ เพราะทุก ๆ คนนั้นล้วนมาจาก นบีอาดำทั้งสิ้น สำหรับอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา แล้วมาตรฐานที่จะวัดคุณความดี ความประเสริฐจะต้องได้มาด้วยการขวนขวาย แสวงหา อุตสาหะพยายามให้ได้มาซึ่งความยำเกรงอัลลอฮฺเท่านั้น

อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

 

يَـٰٓأَيُّهَا ٱلنَّاسُ إِنَّا خَلَقْنَـٰكُم مِّن ذَكَرٍۢ وَأُنثَىٰ وَجَعَلْنَـٰكُمْ شُعُوبًۭا وَقَبَآئِلَ لِتَعَارَفُوٓا۟ ۚ إِنَّ أَكْرَمَكُمْ 

عِندَ ٱللَّهِ أَتْقَىٰكُمْ ۚ إِنَّ ٱللَّهَ عَلِيمٌ خَبِيرٌۭ ١٣

 

“มนุษย์ทั้งหลาย แท้จริง เราได้บังเกิดพวกเจ้ามาจากเพศชายและเพศหญิง 

เราได้บันดาลให้พวกเจ้าเป็นเชื้อชาติต่าง ๆ และเป็นเผ่าต่าง ๆ ทั้งนี้ เพื่อพวกเจ้าจะได้รู้จักกัน 

แท้จริง ผู้ที่มีเกียรติที่สุด ณ อัลลอฮฺ คือผู้ที่มีความยำเกรงมากที่สุดนั่นเอง”

(อัลฮุญุร็อจญ์ 49 : 13)

 

อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

 

وَلَا تَلْمِزُوٓا۟ أَنفُسَكُمْ وَلَا تَنَابَزُوا۟ بِٱلْأَلْقَـٰبِ ۖ بِئْسَ ٱلِٱسْمُ ٱلْفُسُوقُ بَعْدَ ٱلْإِيمَـٰنِ ۚ وَمَن لَّمْ يَتُبْ فَأُو۟لَـٰٓئِكَ هُمُ ٱلظَّـٰلِمُونَ 

 

“ศรัทธาชนทั้งหลาย ชนกลุ่มหนึ่งอย่าได้เยาะเย้ยชนอีกกลุ่มหนึ่ง อาจเป็นไปได้ว่าชนที่ถูกเยาะเย้ยนั้น จะดีกว่าผู้ที่เยาะเย้ยก็ได้ 

และบรรดาสตรีอย่าได้เย้ยหยันสตรีคนอื่น เพราะอาจเป็นไปได้ว่าบรรดาสตรีที่ถูกเย้ยหยันอาจดีกว่าบรรดาสตรีที่เย้ยหยันก็ได้”

(อัลฮุญุร็อจญ์ 49 : 11)

 

          การ “ตะนัมมุ้ร” เกิดขึ้นได้ในทุก ๆ สถานที่ ไม่ว่าในบ้าน ในครอบครัว ในโรงเรียน สำนักงาน องค์กร หรือแม้แต่ระดับประเทศที่มีการแบ่งแยกชนชั้น เหยียดสีผิว ดูถูกดูแคลนชาติพันธุ์ เหยียดหยามชาติตระกูล หรือด้อยค่าความเป็นคน ต่าง ๆ นานา ซึ่งในอิสลามแล้วถือว่าเป็นเรื่องต้องห้ามทั้งสิ้น

 

 

2. การสร้างความเดือดร้อนแก่เพื่อนบ้าน

 

     เพื่อนบ้านคือ บุคคลที่ใกล้ชิดกับเรามากที่สุดรองลงมาจากเครือญาติ ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวกับบรรดาสาวกของท่านว่า

 

 “ญิบรีล อะลัยฮิสสลาม ได้มาหาฉัน และได้สั่งเสียถึงความสำคัญของเพื่อนบ้าน

จนฉันคิดว่า เพื่อนบ้านนั้นจะมารับมรดกจากฉันได้”

(บันทึกโดย อัตติรมิซีย์)

 

     มีผู้กล่าวกับท่านร่อซูล ﷺ ว่า “ท่านร่อซูลครับ มีบุคคลหนึ่งตื่นละหมาดในเวลากลางคืน ถือศีลอดในเวลากลางวัน บริจาคทาน ทำคุณงามความดีมากมาย แต่เขาพูดจาใส่ร้าย ทำไม่ดีกับเพื่อนบ้านของเขา ต่าง ๆ นานา” 

     ท่านนบีกล่าวว่า “เขาไม่มีความดีใด ๆ อีกทั้งยังเป็นชาวนรกอีกด้วย” 

     และชายคนนั้นพูดต่อไปว่า “และมีหญิงคนหนึ่งทำละหมาดเฉพาะฟัรฎู บริจาคทานเพียงแค่กากเนยแข็ง ๆ แห้ง ๆ ที่มีอยู่ แต่นางมิได้ทำร้ายใคร ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร” 

     ท่านนบีจึงกล่าวว่า “นางเป็นหนึ่งในชาวสวรรค์แล้ว”

 

     ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เตือนถึงการสร้างความเดือดร้อนให้เพื่อนบ้านคนใกล้ชิดว่า จะนำพาเขาไปสู่นรก ไม่ได้เข้าสวรรค์ของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา

ดังฮะดิษที่ว่า

 

“เขาจะไม่ได้เข้าสวรรค์ ผู้ที่เพื่อนบ้านของเขาไม่ได้รับความปลอดภัยจากการสร้างความเดือดร้อนของเขา”

(บันทึกโดย อิมาม มุสลิม)

     ฮะดิษบทนี้เป็นการสำทับให้ระวังสิทธิของเพื่อนบ้าน ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เบียดเบียนผู้อื่นโดยใช้กำลัง หรือใช้อำนาจข่มเหงรังแกใครก็ได้ตามอำเภอใจ

      ท่านอบูฮุรอยเราะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า

 

“ขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่า เขาจะยังไม่ศรัทธา ขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่า เขาจะยังไม่ศรัทธา 

มีเสียงถามว่า “ใครกันครับท่านร่อซูล?” 

ท่านกล่าวว่า “ผู้ที่เพื่อนบ้านของเขาไม่ได้รับความปลอดภัยจากการสร้างความเดือดร้อนของเขา”

(บันทึกโดย อิมาม อัลบุคอรีย์ และอิมาม มุสลิม)

 

 

3. การเยาะเย้ย ดูถูก เสียดสีผู้อื่น

 

     ส่วนหนึ่งของการ “ตะนัมมุ้ร” ในยุคโลกาภิวัฒน์ ยุคสมัยที่ดาวเทียมสามารถถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารข้ามแดนได้อย่างรวดเร็ว ความเจริญ ความทันสมัยแผ่กว้างในโลกที่ไร้พรมแดน การเยาะเย้ย ถากถางกลับกลายเป็นเรื่องสนุกสนานที่ใครต่อใครจะต่อว่าใครก็ได้ผ่านสื่อโซเชียล ผ่านโทรศัพท์มือถือ ในรูปแบบของภาพ เสียง ข้อความข่มขู่ที่เป็นคำพูดหยาบคาย หรือกล่าวหาไปในทางที่ไม่ดี 

 

     ถึงแม้ผู้ที่ถูกคุกคามจะไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัวก็ตาม เขาก็ทำได้โดยไม่ละอาย ทุกวันนี้ท่านจะได้เห็นคนกลับกลอกพูดจาดูถูกดูแคลนผู้ศรัทธา ผู้รู้ศาสนาถูกลดเกียรติ ไม่ได้รับการยกย่อง ถูกกล่าวหาในทางที่ไม่ดี โดยมิได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเสียก่อนว่าจริงเท็จแค่ไหน? อย่างไร?

      มุสลิมที่สมบูรณ์จะต้องไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่เพื่อนมนุษย์ ไม่ด่าทอ ไม่ต่อว่า ไม่พูดจาเสียดสี  ไม่สอดแนม ไม่ระรานผู้อื่น

อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

 

وَيْلٌۭ لِّكُلِّ هُمَزَةٍۢ لُّمَزَةٍ ١

 

“ความหายนะ จงประสบแก่ผู้นินทาใส่ร้ายผู้อื่นทุกคน”

(อัลฮุมะซะฮฺ 104 : 1)

 

     และจะต้องปลีกตัวออกห่างจากสาเหตุที่จะทำให้พี่น้องไม่พอใจ อึดอัดไม่สบายใจ อีกทั้งยังห้ามการเรียกชื่อกันด้วยฉายา ล้อเลียนท่าทาง ล้อปมด้อยทางรูปร่างที่เจ้าตัวไม่ชอบ

อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า 

 

... وَلَا تَلْمِزُوٓا۟ أَنفُسَكُمْ وَلَا تَنَابَزُوا۟ بِٱلْأَلْقَـٰبِ ۖ بِئْسَ ٱلِٱسْمُ ٱلْفُسُوقُ بَعْدَ ٱلْإِيمَـٰنِ ۚ وَمَن لَّمْ يَتُبْ فَأُو۟لَـٰٓئِكَ هُمُ ٱلظَّـٰلِمُونَ ١١

 

“พวกเจ้าอย่าได้ตำหนิตัวของพวกเจ้าเอง และอย่าได้เอาฉายาที่เจ้าตัวไม่ชอบนั้นมาเรียกขานกัน 

ชื่อเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ไม่ดี เป็นการละเมิดบัญญัติของศาสนา ภายหลังจากที่ได้มีศรัทธากันมาแล้ว 

ผู้ใดไม่ยอมกลับตัวจากความผิดดังกล่าว พวกเหล่านั้นคือ บรรดาผู้ก่ออธรรม”

(อัลฮุญุร็อจญ์ 49 : 11)

 

     อายะฮฺนี้ห้ามการเยาะเย้ยเหยียดหยามบุคคลอื่น ห้ามการดูถูกดูแคลน เช่นเดียวกับที่อัลกุรอานได้ห้ามการเรียกชื่อบุคคลด้วยฉายาที่ไม่ดี ด้วยฉายาที่เจ้าตัวไม่ชอบ ไม่อยากได้ยิน และไม่อยากให้ใครเรียกเขาด้วยชื่อหรือลักษณะที่น่ารังเกียจเช่นนั้น

 

     การหัวเราะเยาะรูปลักษณ์ที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงสร้าง การกล่าวตำหนิรูปลักษณ์ที่น่ารังเกียจ เรียกชื่อผู้คนด้วยลักษณะอันอัปลักษณ์ของเขา ครั้งหนึ่งท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุ มัสอู๊ด ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า 

 

     “ท่านนั้นมีขาทั้งสองข้างลีบเล็ก แล้วเมื่อลมพัดมาทำให้ผ้าเปิดเห็นขาของท่าน กลุ่มชนนั้นก็หัวเราะเยาะ 

     ท่านร่อซูล ﷺ จึงถามว่า “ท่านทั้งหลายหัวเราะอะไรกันหรือ?” 

     พวกเขาจึงตอบว่า ท่านนบีของอัลลอฮฺครับ “เราหัวเราะขาทั้งสองของอับดุลลอฮฺที่ลีบเล็ก” 

     ท่านร่อซูลจึงกล่าวว่า “ขอสาบานต่อผู้ที่ชีวิตของฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ว่า “ขาทั้งสองของเขานั้น หนัก ณ ตราชั่งเสียยิ่งกว่าภูเขาอุฮุดอีก”

(บันทึกโดย อิมาม อะฮฺมัด และอิบนุ ฮิบบาน)

 

 

4. การด้อยค่าทางด้านสติปัญญา

 

     การด้อยค่าทางความคิดความอ่าน ว่าคนอื่นโง่เขลาเบาปัญญา สติปัญญาของคนอื่นเทียบเคียงไม่ได้กับความรู้ความสามารถของตนเอง การ “ตะนัมมุ้ร” เช่นนี้ ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า

 

“ผู้ใดที่ศึกษาหาวิชาความรู้เพื่ออวดรู้กับบรรดาผู้รู้ หรือเพื่อโต้แย้งคนเขลา เบาปัญญา 

หรือเพื่อให้ผู้คนสนใจ เยินยอยกย่องชมเชยเขาว่าเป็นผู้รู้ อัลลอฮฺก็จะทรงให้เขาเข้านรกญะฮันนัม”

(บันทึกโดย อิบนุ มาญะฮฺ)

 

     การศึกษาหาความรู้ด้วยเจตนาเพื่อโลกดุนยา หรือเพื่อข่มทับผู้ที่มีความรู้น้อยกว่า หรือแสดงให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนนั้นรู้ มีสติปัญญา หรือนำเสนอวิชาการแบบประชดประชัน โอ้อวดเช่นนี้ นับว่ามิใช่มารยาท และคุณสมบัติของผู้รู้ 

 

     จำเป็นที่เขาจะต้องรู้ว่า ความสามารถทางด้านสติปัญญา ความฉลาด ปฏิภาณไหวพริบ ร่างกาย สุขภาพพลานามัยและพละกำลังที่มนุษย์มีอยู่นั้น ล้วนได้รับมาจากการที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงประทานมาให้ทั้งสิ้น เพื่อที่จะให้เขาใช้ไปในทางที่เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ตนเองและผู้อื่น

 

     อิสลามต่อต้านการกลั่นแกล้ง รังแกกันในทุกรูปแบบ ฉะนั้น สังคมจะต้องมีความรับผิดชอบร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว โรงเรียน มัสยิด นักวิชาการ นักพูด นักปราศรัย ต่างก็มีบทบาทสำคัญในการชี้นำผู้คนไปสู่หนทางที่ถูกต้องเที่ยงตรงตามคำสอนของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ในการห้ามปราม ต่อต้านให้ยุติ ลดละเลิก การดูหมิ่นดูแคลนกัน และจะต้องย้ำเตือนกันอย่าได้ขาดตกบกพร่องในหน้าที่ของตน

          อย่ากลั่นแกล้ง เยาะเย้ย เพื่อน ๆ หรือบุคคลอื่น ๆ ไม่แสดงกิริยา วาจา การกระทำที่ไม่ดีต่อผู้อื่นโดยจะต้องพยายามปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและบุคลิกภาพให้ไปในทางที่ดีขึ้นและส่งเสริมให้การสนับสนุนกันให้มีมารยาทที่ดีงาม

 

     รายงานจากท่าน อับดุลลอฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ แจ้งว่า ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิซัลลัม กล่าวว่า

 

     “มุสลิมที่สมบูรณ์นั้น คือผู้ที่บรรดาพี่น้องมุสลิมปลอดภัย (ไม่เดือนร้อน) จากคำพูดและการกระทำของเขา และผู้อพยพที่แท้จริงคือผู้ที่อพยพหนีห่างจากสิ่งที่อัลลอฮฺทรงห้าม”

(บันทึกโดย อิมาม มุสลิม)

 

     ต้นแบบมารยาทอันดีงามของท่านร่อซูล ﷺ ในการเชิญชวนสู่อิสลามอันชาญฉลาด ท่านมีความสุขุมคัมภีร์ภาพ ซึ่งอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงรับรองท่านไว้ ดังอายะฮฺที่ว่า

 

فَبِمَا رَحْمَةٍۢ مِّنَ ٱللَّهِ لِنتَ لَهُمْ ۖ وَلَوْ كُنتَ فَظًّا غَلِيظَ ٱلْقَلْبِ لَٱنفَضُّوا۟ مِنْ حَوْلِكَ ۖ فَٱعْفُ عَنْهُمْ وَٱسْتَغْفِرْ لَهُمْ وَشَاوِرْهُمْ فِى ٱلْأَمْرِ ۖ فَإِذَا عَزَمْتَ فَتَوَكَّلْ عَلَى ٱللَّهِ ۚ إِنَّ ٱللَّهَ يُحِبُّ ٱلْمُتَوَكِّلِينَ ١٥٩

 

“ด้วยพระเมตตาจากอัลลอฮฺโดยแท้ (มุฮัมมัด) เจ้าจึงโอนอ่อนไม่รุนแรงกับพวกเขา (บรรดาสาวก) ที่ขัดคำสั่งในสงครามอุฮุด 

ถ้าเจ้ามีมารยาทหยาบช้าใจกระด้างละก้อ พวกเขา (สาวก) คงแตกกระจายกันไป ไม่อยู่ร่วมกับเจ้าแน่ ๆ 

ดังนั้น จงให้อภัยพวกเขา และจงขอให้อัลลออฮฺทรงอภัยให้แก่พวกเขาด้วยเถิด 

และเจ้าจงปรึกษาหารือกับพวกเขาในเรื่องต่าง ๆ เถิด แล้วเมื่อเจ้าตัดสินใจเรื่องใดแล้ว เจ้าจงมอบหมายต่ออัลลอฮฺ 

เพราะอัลลอฮฺทรงโปรดบรรดาผู้ที่มอบหมายสิ่งต่าง ๆ ไว้กับอัลลอฮฺอย่างมั่นใจ”

(อาละอิมรอน 3 : 159)

อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

 

ٱدْعُ إِلَىٰ سَبِيلِ رَبِّكَ بِٱلْحِكْمَةِ وَٱلْمَوْعِظَةِ ٱلْحَسَنَةِ ۖ وَجَـٰدِلْهُم بِٱلَّتِى هِىَ أَحْسَنُ ۚ إِنَّ رَبَّكَ هُوَ أَعْلَمُ بِمَن ضَلَّ عَن سَبِيلِهِۦ ۖ وَهُوَ أَعْلَمُ بِٱلْمُهْتَدِينَ ١٢٥

 

     “(มุฮัมมัด) จงเรียกร้องเชิญชวนไปสู่ศาสนาแห่งพระเจ้าของพระเจ้าด้วยความสุขุมคัมภีรภาพ และการแนะนำที่ดีเถิด 

     และเจ้าจงโต้ตอบหักล้างพวกเขาด้วยเหตุผลที่ดีกว่า เพราะพระเจ้าของเจ้าทรงรู้ดีว่าใครหลงไปจากทางของพระองค์ 

     และทรงรู้ดีว่าใครได้รับการชี้นำสู่ทางอันถูกต้องและเที่ยงตรง”

(อันนะฮ์ลฺ 16 : 125)

อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ยังตรัสอีกว่า

 

وَمَنْ أَحْسَنُ قَوْلًۭا مِّمَّن دَعَآ إِلَى ٱللَّهِ وَعَمِلَ صَـٰلِحًۭا وَقَالَ إِنَّنِى مِنَ ٱلْمُسْلِمِينَ ٣٣

وَلَا تَسْتَوِى ٱلْحَسَنَةُ وَلَا ٱلسَّيِّئَةُ ۚ ٱدْفَعْ بِٱلَّتِى هِىَ أَحْسَنُ فَإِذَا ٱلَّذِى بَيْنَكَ وَبَيْنَهُۥ عَدَٰوَةٌۭ كَأَنَّهُۥ وَلِىٌّ حَمِيمٌۭ ٣٤

 

“และผู้ใดเล่าจะมีคำพูดที่ดีที่สุดยิ่งไปกว่าผู้ที่เรียกร้องเชิญชวนสู่อัลลอฮฺ

และทำแต่ความดี พร้อมทั้งยังกล่าวเสมอว่า แท้จริง ฉันนั้นเป็นมุสลิมคนหนึ่ง”

 

     “ความดีกับความชั่วนั้นย่อมต่างกัน (มุฮัมมัด) เจ้าจงยับยั้งความชั่วด้วยความดีให้ได้ 

     (เช่น เอาความอดกลั้นยับยั้งความโกรธ เอาความหนักแน่นยับยั้งความโง่เขลา เอาการอภัยยับยั้งการทำร้าย ฯลฯ เป็นต้น) 

     ดังนั้น ถ้าระหว่างเจ้ากับฝ่ายตรงข้ามเป็นศัตรูกัน (แล้วเจ้าใช้หลักธรรมะดังกล่าว) ก็จะทำให้อีกฝ่ายกลับมาเป็นมิตรที่สนิทชิดเชื้อทีเดียว”

(ฟุตศิลัต 41 : 33 - 34)

 

          ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย จากข้อความข้างต้น เป็นการเพียงพอแล้วว่า มนุษย์เรานั้นไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด ผู้ศรัทธา ผู้ปฏิเสธ ผู้รู้ ผู้โฉดเขลาด ผู้ที่อยู่ในหนทางที่ถูกต้อง หรือผู้ที่หลงผิด ออกจากแนวทางอันเที่ยงตรง ล้วนแล้วแต่ต้องกลับไปหาอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทั้งสิ้น 

          ทุกคนจะต้องกลับไปรับบัญชีผลงานของตน ที่กระทำไว้ในโลกดุนยา ไม่มีใครจะรับประกันได้ว่า ใครจะเป็นชาวสวรรค์หรือใครจะเป็นชาวนรก ยิ่งไปกว่านั้น ตัวเราเองก็ยังรับประกันไม่ได้เลยว่าเราจะเป็นชาวสวรรค์หรือไม่ แล้วเหตุอันใดที่เราจะ “ตะนัมมุ้ร” คนอื่น อย่างโน้น อย่างนี้

 

          ความผิดที่มนุษย์ฝ่าฝืนคำสั่งใช้ของอัลลอฮฺ ละเมิดคำสั่งห้ามของพระองค์ นั่นคือสิทธิของอัลลอฮฺที่มีต่อบ่าวของพระองค์ อัลลอฮฺอาจจะอภัยโทษให้ผู้กระทำผิดก็ได้ ขึ้นอยู่กับพระประสงค์ของพระองค์แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น 

          แต่ความผิดที่ไปละเมิดเกียรติของลูกหลานอาดัมนั้นเล่า ใครจะรับผิด แล้วใครจะยกให้ใคร !? ก็ขอต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ให้เราท่านรอดพ้นจากการที่จะกลับกลายเป็นผู้ที่ล้มละลายในวันกิยามะฮฺ

อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า

 

يَوْمَ تَجِدُ كُلُّ نَفْسٍۢ مَّا عَمِلَتْ مِنْ خَيْرٍۢ مُّحْضَرًۭا وَمَا عَمِلَتْ مِن سُوٓءٍۢ تَوَدُّ لَوْ أَنَّ بَيْنَهَا وَبَيْنَهُۥٓ أَمَدًۢا بَعِيدًۭا ۗ وَيُحَذِّرُكُمُ ٱللَّهُ نَفْسَهُۥ ۗ وَٱللَّهُ رَءُوفٌۢ بِٱلْعِبَادِ ٣٠

 

     “วันกิยามะฮฺนั้น ทุกชีวิตจะพบว่าความดีทุกอย่างที่เขาทำไว้ในดุนยา จะปรากฏอยู่ต่อหน้าเขา 

     ส่วนความชั่วทุกอย่างที่ทำไว้นั้น เขาปรารถนาเหลือเกินว่า ระหว่างเขากับความชั่วนั้นให้ห่างไกลกันอย่างลิบลับ ไม่อยากเห็นมันเลยทีเดียว 

     อัลลอฮฺทรงเตือนพวกเจ้าให้ตระหนักถึงการลงโทษจากพระองค์ไว้แล้ว เพราะพระองค์ทรงสงสารบ่าวของพระองค์เสมอ”

(อาละอิมรอน 3 : 30)

 

 

 

ที่มา : อนุสรณ์งานประจำปี (5 มกราคม 2568) โรงเรียนมุสลิมวิทยาคาร