อิสลามกับการดูแลผู้สูงวัย
โดย เชค มะฮฺมู๊ด อะฮฺมัด อัดดูชะรีย์
นำเสนอโดย อิบนุ อับดิรเราะฮฺมาน
อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสว่า :
۞ ٱللَّهُ ٱلَّذِى خَلَقَكُم مِّن ضَعْفٍۢ ثُمَّ جَعَلَ مِنۢ بَعْدِ ضَعْفٍۢ قُوَّةًۭ ثُمَّ جَعَلَ مِنۢ بَعْدِ قُوَّةٍۢ ضَعْفًۭا وَشَيْبَةًۭ ۚ يَخْلُقُ مَا يَشَآءُ ۖ وَهُوَ ٱلْعَلِيمُ ٱلْقَدِيرُ ٥٤
“อัลลอฮฺ คือ ผู้ทรงสร้างพวกเจ้าขึ้นมาในสภาพที่อ่อนแอ
แล้วหลังจากความอ่อนแอ พระองค์ก็ทรงทำให้มีความแข็งแรง
แล้วหลังจากความแข็งแรง ก็ทรงทำให้อ่อนแอและชราภาพ
พระองค์ทรงสร้างสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ และพระองค์เป็นผู้ทรงรอบรู้ ผู้ทรงเดชานุภาพ”
(อัรรูม 30 : 54)
นับเป็นแนวทาง (ซุนนะฮฺ) ของอัลลอฮฺในการที่พระองค์ได้ทำให้มนุษย์ได้ผ่านช่วงวันเวลาอันหลากหลายในดุนยา เริ่มต้นจากการเป็นเด็กที่อ่อนแอ จากนั้นก็เป็นหนุ่มฉกรรจ์ และสุดท้ายก็กลับคืนสู่วัยชราที่อ่อนแอ
ด้วยเหตุนี้ อิสลามจึงให้ความสำคัญกับช่วงวัยแห่งความชราภาพ และกำหนดให้วัยชราเป็นวัยที่ต้องให้เกียรติ ให้การดูแลเอาใจใส่เป็นกรณีพิเศษ เพราะผู้สูงวัยนั้นเป็นช่วงวัยแห่งความอ่อนแอ ต้องการคนคอยปรนนิบัติรับใช้ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก และจัดการเรื่องราวต่าง ๆ แทนตน
หนึ่งในดุอาอฺของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็คือ
“ข้าแต่อัลลอฮฺ ข้าพระองค์ขอความคุ้มครองต่อพระองค์ให้พ้นจากการไร้ความสามารถ ความเกียจคร้าน ความขลาดกลัว และความเสื่อมถอยแห่งวัยชราด้วยเถิด”
(บันทึกโดย อิมาม อัลบุคอรีย์ และอิมาม มุสลิม)
และท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ยังได้กล่าวไว้อีกเช่นกันว่า
“ข้าแต่อัลลอฮฺ ข้าพระองค์ขอความคุ้มครองต่อพระองค์ให้พ้นจากการที่ข้าพระองค์ ถูกทำให้กลับไปสู่ช่วงวัยแห่งความต่ำต้อยด้วยเถิด”
ผู้สูงอายุนั้น เป็นบุคคลที่ดีที่สุด หากเขามีการงานที่ดี ดังมีรายงานจากท่านอบี บักเราะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ แจ้งว่า
มีชายคนหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า : โอ้ ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ใครกับครับที่ประเสริฐที่สุด?
ท่านตอบว่า : “คือคนที่มีอายุยืน และมีการงานที่ดี”
ชายผู้นั้นถามต่อว่า : “และใครกันครับที่ชั่วช้าที่สุด?”
ท่านตอบว่า : “คือคนที่มีอายุยืน แต่มีการงานที่ชั่วช้า (ไม่ดี)”
(บันทึกโอย อิมาม อัตติรมิซีย์)
ท่านร่อซูล ﷺ กล่าวว่า : “ไม่มีใครที่ประเสริฐยิ่ง ณ ที่อัลลอฮฺยิ่งไปกว่า ผู้ศรัทธาที่อัลลอฮฺได้ทรงทำให้เขามีอายุยืนนานอยู่ในอิสลาม
เพื่อได้กล่าวสรรเสริญสดุดีพระองค์ (กล่าว “ซุบฮานั้ลลอฮฺ”)
เพื่อถวายความยิ่งใหญ่แด่พระองค์ (กล่าว “อัลลอฮุอักบัร”)
และเพื่อกล่าว “ตะฮฺลี้ล” ว่า (ลาอิลาฮะ อิ้ลลัลลอฮฺ)”
(บันทึกโดย อิมาม อะฮฺมัด)
และยังมีฮะดิษที่ท่านระบุไว้อีกว่า
“คนที่ดีที่สุดในหมู่พวกท่าน คือคนที่มีอายุยืนนานที่สุด และมีการงานที่ดีที่สุด”
(บันทึกโดย อิมาม อะฮฺมัด)
ท่านอัฏฏีบีย์ ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮฺ กล่าวว่า : แท้จริง วันเวลาทั้งหลายนั้น เสมือนต้นทุนสำหรับพ่อค้า ซึ่งสมควรอย่างยิ่งที่เขาจะต้องทำมาค้าขายในสิ่งที่จะทำให้เขาได้รับผลกำไร และเมื่อมีต้นทุนมาก กำไรที่จะได้รับก็จะมากยิ่งกว่า ดังนั้น ใครก็ตามที่ใช้ประโยชน์จากอายุขัยของตน ด้วยการมีผลงานที่ดี แน่นอนเขาก็จะได้รับชัยชนะและประสบความสำเร็จ ส่วนใครที่ทำให้ต้นทุนของตัวเองลดพร่องหายไปเขาย่อมไม่ได้รับกำไร และย่อมขาดทุนย่อยยับอย่างชัดเจน
ศาสนาอิสลามเรียกร้องเชิญชวนสู่การเคารพ ให้เกียรติผู้สูงวัย ท่านร่อซูล ﷺ กล่าวว่า :
“แท้จริง ส่วนหนึ่งจากการกระทำที่เป็นการเทิดเกียรติอัลลอฮฺก็คือ การให้เกียรติผู้อาวุโสที่เป็นมุสลิม”
(บันทึกโดย อิมาม อบูดาวูด)
อิสลามถือว่าการเคารพให้เกียรติต่อผู้สูงวัย เป็นหนึ่งในวิธีการที่บ่าวจะเทิดเกียรติอัลลอฮฺ ให้ความยิ่งใหญ่ต่อพระองค์ ทั้งนี้ เนื่องมาจากพระองค์ทรงมอบสิทธิในการได้รับความคุ้มครองให้ในความอาวุโส ณ ที่อัลลอฮฺ อันเนื่องมาจากการที่พวกเขารุดหน้าสู่อิสลามก่อน และอันเนื่องมาจากการที่ผู้อาวุโสสมควรได้รับในสิทธิต่าง ๆ จากบุคคลอื่น ๆ ทั่ว ๆ ไป
มีรายงานจะท่านอนัส ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ แจ้งว่า มีชายชราคนหนึ่งต้องการมาพบท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม แต่กลุ่มชนกลับประวิงเวลาทำให้ล่าช้า โดยไม่อำนวยความสะดวกแก่ชายชราผู้นั้น ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม จึงกล่าวว่า
“ไม่ใช่พวกของเรา ผู้ที่ไม่เอ็นดูเมตตาผู้เยาว์ของเรา และไม่เคารพให้เกียรติผู้ใหญ่ของเรา”
(บันทึกโดย อิมาม อัตติรมีซีย์)
และอีกรายงานหนึ่งระบุว่า
“ผู้ใดก็ตามที่ไม่เอ็นดูเมตตาผู้เยาว์ของเรา ไม่รู้ถึงสิทธิที่ผู้ใหญ่ของเราพึงได้รับ เขาก็ไม่ใช่พวกของเรา”
(บันทึกโดย อิมาม อบู ดาวูด)
♠ บรรดาซอฮาบะฮฺผู้ทรงเกียรติ ต่างทราบดีถึงสถานะของผู้สูงอายุ ท่านฏ็อลละฮฺ อิบนิ อับดิลลาฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า :
“กลางดึกคืนหนึ่ง ท่านอุมัรได้ออกไปยังบ้านหลังหนึ่ง พอรุ่งเช้าฉันจึงตามไปที่บ้านหลังนั้น เมื่อไปถึง ฉันจึงพบว่าเป็นบ้านของหญิงชราตาบอดและเป็นอัมพาต
ฉันจึงถามนางว่า : “ชายคนที่มาหาท่าน มีธุระอะไรอย่างนั้นหรือ?
นางตอบว่า : เขาให้สัญญากับฉันเป็นระยะเวลาเท่านั้นเท่านี้ เพื่อจะนำสิ่งอำนวยความสะดวกมาให้แก่ฉัน และขจัดสิ่งที่เป็นอันตรายออกไปจากฉัน”
♠ ภาพลักษณ์อันประเสริฐในการปรนนิบัติต่อผู้สูงวัย และการดูแลเอาใจใส่คนเฒ่าคนแก่เช่นนี้เอง ที่เปิดเผยให้เห็นความน่าอนาถใจในอีกหลายสังคมที่ไม่ใช่อิสลาม เราได้เห็นภาพข่าวที่เกิดขึ้นกับผู้สูงอายุ คนชรา เห็นความอ้างว้างโดดเดี่ยวที่คนชราต้องเผชิญชีวิต และเห็นการละเลยทอดทิ้งของสังคมที่มีต่อพวกเขาเหล่านั้นอย่างมากมาย!
♠ อัตชีวประวัติของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เต็มเปี่ยมไปด้วยการให้เกียรติต่อผู้สูงอายุ ท่านนบีจะเป็นผู้รีบรุดไปหาคนชรา ดังเช่นในคราวพิชิต นครมักกะฮฺ ท่านได้เข้าไปในมัสยิดฮะรอม ท่านอบูบักรฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้พาท่านอบูกุฮาฟะฮฺ บิดาของท่าน มาหาท่านนบี เมื่อท่านร่อซูล ﷺ เห็นดังนั้น
ท่านได้กล่าวว่า : “เหตุใดท่านจึงไม่ให้ผู้อาวุโสรออยู่ที่บ้านเพื่อให้ฉันเป็นฝ่ายไปหาท่านเอง”
ท่านอบูบักรฺกล่าวว่า : “โอ้ ท่านร่อซูลุลลอฮฺ สมควรที่พ่อจะเดินมาหาท่านยิ่งกว่าที่ท่านจะเดินไปหาพ่อเสียอีก
และท่านร่อซูลก็เชิญให้ท่านอบูกุฮาฟะฮฺนั่งตรงหน้าท่าน จากนั้นท่านก็ได้ลูบไปที่หน้าอกของเขา แล้วบอกกับเขาว่า “ท่านจงเข้ารับอิสลามเถิด” แล้ว (ท่านอบูกุฮาฟะฮฺ) ก็เข้ารับอิสลาม”
(บันทึกโดย อิมาม อะฮฺมัด)
♠ นอกจากนี้ ท่านร่อซูล ﷺ ยังให้การต้อนรับขับสู้ผู้สูงวัยอย่างแข็งขัน ครั้งหนึ่งมีหญิงชราที่เคยเป็นสหายของท่านหญิงคอดิญะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮา มาหาท่าน เมื่อนางเข้ามา
ท่านได้ถามไถ่นางว่า “พวกเท่านเป็น อย่างไรกันบ้าง? อยู่กันอย่างไร”
ท่านหญิงอาอิชะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮา จึงกล่าวถามว่า “โอ้ ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ท่านต้อนรับหญิงชราผู้นี้ขนาดนี้เชียวหรือ?”
ท่านนบีจึงกล่าวว่า : “แท้จริง นางเคยมาหาเรา เมื่อครั้งที่คอดิญะฮฺยังมีชีวิตอยู่ และแท้จริง การรักษาสัมพันธภาพที่ดีที่เคยมีต่อกันให้ดีนั้น คือ ส่วนหนึ่งของการศรัทธา”
(บันทึกโดย อัลฮากิม)
♠ ในบางครั้ง ท่านร่อซูล ﷺ ก็ยังเคยหยอกล้อกับคนชรา
เมื่อครั้งที่มีหญิงชรานางหนึ่งมาหาท่าน และกล่าวว่า : “โอ้ ท่านร่อซูลุลลลอฮฺ โปรดขอดุอาอฺให้ฉันได้เข้าสวรรค์ด้วยเถิด”
عُرُبًا أَتْرَابًۭا ٣٧ * فَجَعَلْنَـٰهُنَّ أَبْكَارًا ٣٦ * إِنَّآ أَنشَأْنَـٰهُنَّ إِنشَآءًۭ ٣٥
ท่านกล่าวว่า : “โอ้ มารดาของคนนั้น แท้จริง คนชราจะไม่ได้เข้าสวรรค์”
หญิงชราจึงหันหลังไปร้องไห้ ท่านนบีจึงกล่าวว่า : “พวกท่านจงไปบอกนางซิว่า นางจะไม่ได้เข้าสวรรค์ในสภาพที่นางเป็นหญิงชรา"
เพราะแท้จริง อัลลอฮฺ ตะอาลา ได้ตรัสว่า “แท้จริง เราได้บังเกิดพวกเนางเป็นกรณีพิเศษจริง ๆ แล้วเราได้ทำให้พวกนางเป็นสาวพรหมจรรย์ เป็นที่น่ารัก น่าชื่นชมแก่คู่ครอง อยู่ในวัยสาวคราวเดียวกัน”
(อัลวากิอะฮฺ 56 : 35 - 37)
(บันทึกโดย อิมาม อัตติรมีซีย์)
ท่านร่อซูล ﷺ ยังเตือนคนชราผู้สูงวัยด้วยความเอ็นดูเมตตา ไม่ทำให้พวกเขารู้สึกท้อแท้หมดหวัง ดังมีรายงานจากท่านอัมรฺ อิบนิ อะบะซะฮฺ ร่อฎิยัลลอฮุฮันฮุ แจ้งว่า :
มีชายชราเดินใช้ไม้เท้าพยุงตัวมาหาท่านนบี และกล่าวกับท่านว่า : โอ้ ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ฉันเคยมีเรื่องที่บิดพลิ้ว ผิดสัญญาอยู่มากมาย แล้วฉันจะได้รับการอภัยโทษในความผิดเหล่านั้นหรือไม่?
ท่านนบีถามว่า “ท่านไม่ได้กล่าวปฏิญาณตนว่า “ไม่มีพระเจ้าที่คู่ควรแก่การเคารพสักการะอย่างแท้จริง นอกจาก อัลลอฮฺกระนั้นหรือ?”
ชายชราตอบว่า : “หามิได้ แล้วฉันก็ได้กล่าวปฏิญาณแล้วด้วยว่า ท่านคือร่อซูลของอัลลอฮฺ”
ท่านนบีจึงกล่าวต่อว่า : “ความผิดบาปทั้งหลายทั้งปวงของท่านนั้นได้รับการอภัยโทษหมดสิ้นแล้ว”
(บันทึกโดย อิมาม อะฮฺมัด)
และอีกรายงานหนึ่งระบุว่า “แล้วชายผู้นั้นก็จากไปด้วย การที่เขากล่าวตักบีร “อัลลอฮุอักบัร” “อัลลอฮุอักบัร”
(บันทึกโดย อิบนิ อบีด ดุนยา)
♠ ผู้สูงวัยนั้นสมควรได้รับเกียรติ ได้รับการเคารพยกย่องในหลายต่อหลายเรื่องด้วยกัน เช่น ได้รับการยกย่องเกี่ยวกับการใช้คำพูด ได้รับเกียรติในการเป็นอิมาม ได้รับเกียรติในการเริ่มให้สลามก่อน และได้รับเกียรติในการหยิบยื่นให้ก่อน ฯลฯ
ขณะเดียวกัน บทบัญญัติต่าง ๆ ในศาสนาก็ผ่อนปรนให้กับผู้สูงอายุ เช่น สามารถประกอบพิธีฮัจญ์แทนผู้ชราภาพ หากไม่สามารถทำพิธีฮัจญ์ได้ด้วยตนเอง ดังที่ท่านร่อซูล ﷺ กล่าวว่า :
“เมื่อคนหนึ่งคนใดในพวกท่านทำหน้าที่เป็นอิมามนำผู้คนละหมาด ก็จงผ่อนปรนให้เพลา ๆ ลง เพราะแท้จริงแล้ว
ในหมู่พวกเขา มีผู้ที่อ่อนแอ มีคนป่วย และคนชรา และเมื่อคนใดในพวกท่านละหมาดเพียงลำพัง ก็จงละหมาดให้นานตามที่เขาปรารถนาเถิด”
(บันทึกโดย อิมาม อัลบุคอรีย์)
♠ และส่วนหนึ่งจากการเอาใจใส่ต่อผู้สูงอายุของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็คือ ท่านได้เตือนพวกเขาไม่ให้ลุ่มหลงฝักใฝ่ในดุนยาและสะสมทรัพย์สินเงินทอง ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า :
“หัวใจของคนชราจะยังคงหนุ่มแน่นอยู่กับความหลงใหลในสองประการด้วยกัน
นั่นคือ หลงใหลในการมีชีวิต และในทรัพย์สมบัติ”
(บันทึกโดย อิมาม มุสลิม)
อีกรายงานหนึ่งระบุว่า :
“หัวใจของคนชราจะยังคงหนุ่มแน่น อยู่กับความหลงใหลในสองประการด้วยกัน
นั่นคือ การมีชีวิตที่ยืนยาวและการรักในทรัพย์สินเงินทอง”
(บันทึกโดย อิมาม มุสลิม)
หมายถึง หัวใจของผู้สูงวัย (คนชรา) จะยังคงเต็มเปี่ยมด้วยการหลงรักในทรัพย์สมบัติ ยังสามารถดำเนินการในเรื่องของทรัพย์สิน เฉกเช่นกำลังของคนหนุ่มที่สามารถจัดการได้ในวัยฉกรรจ์
ดังคำยืนยันจากท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ที่ว่า :
“ลูกหลานอาดัมจะแก่ชราลง แต่จะมี สองสิ่งที่จะยังคงไม่แก่ไปตามวัย นั่นก็คือ ความฝักใฝ่ในทรัพย์สมบัติ และฝักใฝ่ในการมีชีวิตอยู่”
(บันทึกโดย อิมาม มุสลิม)
♠ ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ยังได้เคยเตือนผู้สูงวัยให้ระวังตัวในเรื่องกำหนด “อะญัล” ของพวกเขาที่ใกล้เข้ามา ดังที่ท่านกล่าวว่า :
“อัลลอฮฺจะทรงระงับการแก้ตัวของบุคคลหนึ่ง ที่อะญัลของเขาถูกให้ล่าช้าออกไป จนกระทั่งอายุถึง 60 ปี”
(บันทึกโดย อิมาม อัลบุคอรีย์)
หมายถึง หากอายุเลย 60 ปีไปแล้ว เขาก็จะไม่มีข้อแก้ตัวใด ๆ จากการทำผิดอีกต่อไป
♠ ท่านอิบนุ บัฏฏ้อล กล่าวไว้ว่า : คือ จะไม่มีการรับการแก้ตัวใด ๆ สำหรับเขาผู้นั้น ในช่วงวัยที่ไร้ข้อแก้ตัว เพราะในวัย 60 ปีนี้ คือวัยที่ต้องเตรียมตัวตาย เป็นช่วงอายุที่ต้องกลับเนื้อกลับตัว นอบน้อมสำรวมตน และยอมจำนนต่ออัลลอฮฺ ต้องเฝ้าระวังความตายและการกลับไปพบกับอัลลอฮฺ ตะอาลา
♠ ด้วยเหตุนี้เอง ความผิดของผู้ที่ละเมิด ฝ่าฝืน ในช่วงวันนี้จึงนับว่าหนักหนากว่าวัยอื่น เพราะท่าน นบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้กล่าวว่า :
“มีคนอยู่สามประเภท ที่อัลลอฮฺจะไม่ทรงพูดกับพวกเขา
ไม่ทรงซักฟอกให้พวกเขาสะอาดบริสุทธิ์ (ไม่ทรงชื่นชมสรรเสริญ)
ไม่ทรงทอดพระเนตร (มองดู) ไปยังพวกเขา
และสำหรับพวกเขาจะได้รับการลงทัณฑ์อันเจ็บแสบ
นั่นคือ ชายชราที่ทำซินา (ผิดประเวณี) กษัตริย์จอมโกหก และยาจกที่หยิ่งผยอง”
(บันทึกโดย อิมาม มุสลิม)
เหตุผลก็เพราะ แต่ละคนที่ยังจมปลักอยู่กับการทำผิดด้วยการละเมิด ฝ่าฝืนบัญญัติศาสนาที่ระบุไว้ ทั้ง ๆ ที่อยู่ในสถานะที่ห่างไกล (มีสิทธิ์น้อยที่จะทำผิดในเรื่องดังกล่าว) และไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่จะกระทำผิดในเรื่องนั้น การก้าวล่วงกระทำผิดในเรื่องเหล่านี้ จึงเสมือการดื้อดึง ดูหมิ่นในสิทธิของอัลลอฮฺ ตะอาลา และมีเจตนาในการฝ่าฝืนคำสั่งของพระองค์โดยตั้งใจ ใช่เพื่อจุดประสงค์อื่นใดเลย
ที่มา : อนุสรณ์งานประจำปี (5 มกราคม 2568) โรงเรียนมุสลิมวิทยาคาร