แนวคิดตักฟิรของซัยยิดกูฏุบ
  จำนวนคนเข้าชม  86

แนวคิดตักฟิรของซัยยิดกูฏุบที่มีในหนังสือ في ظلال القرآن 

 

เรียบเรียงโดย  อิสมาอีล กอเซ็ม 

 

มวลการสรรเสริญทั้งหลายนั้น เป็นสิทธิของอัลลอฮฺผู้ทรงอภิบาลแห่งสากลโลก

 

          การเกิดมาเป็นมนุษย์ สิ่งหนึ่งที่ไม่มีผู้ใดสามารถหลีกเลี่ยงได้คือ “ความผิดพลาด” ซึ่งความผิดพลาดของมนุษย์นั้น บางครั้งเกิดจากความตั้งใจที่คลาดเคลื่อน และบางครั้งเกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์

          โดยธรรมชาติแล้ว ผู้ที่ทำผิดมักมองไม่เห็นความผิดพลาดของตนเอง ในขณะที่ผู้คนรอบข้างกลับสามารถมองเห็นข้อบกพร่องนั้นได้อย่างชัดเจน และหากผู้ที่อยู่รอบตัวเราเป็นผู้มีเจตนาดี มีความหวังดีต่อเรา แน่นอนว่าเขาย่อมต้องตักเตือนเราต่อความผิดที่เกิดขึ้น

 

          ความผิดพลาดนั้น มิได้จำกัดเฉพาะบุคคลธรรมดาทั่วไป แม้กระทั่งผู้มีความรู้ก็สามารถพลาดพลั้งได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้ที่เข้ามาทำงานด้านศาสนา แต่ไม่ได้ผ่านการศึกษาเชิงลึกทางศาสนาโดยตรง กลับมีบทบาทในการเผยแผ่ศาสนา และแสดงทัศนะด้านหลักการศาสนา ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีโอกาสที่จะเกิดข้อผิดพลาดมากกว่าผู้ที่มีพื้นฐานทางวิชาการโดยตรง

 

          ดังนั้น เมื่อเราพบว่ามีข้อเขียนหรือผลงานใดของบุคคลหนึ่งที่ปรากฏความคลาดเคลื่อน หรือไม่ถูกต้องตามหลักการ จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องพิจารณาโดยใช้หลักวิชา และความยุติธรรม 

 

          ในการพิจารณาและตรวจสอบข้อผิดพลาดของนักวิชาการหรือผู้มีบทบาทในการเผยแผ่ศาสนา เราจำเป็นต้องมีหลักวิชา ความยุติธรรม และความบริสุทธิ์ใจเป็นพื้นฐาน เช่น กรณีของท่านซัยยิด กูตุบ ขออัลลอฮฺทรงเมตตาต่อท่าน  ผู้ซึ่งมีเจตนาอันดีงามในการฟื้นฟูอิสลาม และมีความบริสุทธิ์ใจในการรับใช้อิสลามตามความเข้าใจของตน ท่านได้ผลิตผลงานทางวิชาการที่ส่งอิทธิพลต่อผู้คนจำนวนมาก โดยเฉพาะในด้านแนวคิดและการตีความอัลกุรอาน 

 

          อย่างไรก็ตาม เนื่องจากท่านมิได้มีพื้นฐานเชิงลึกในศาสตร์ศาสนา และอาจได้รับอิทธิพลจากตำราหลากหลายแหล่ง ซึ่งบางครั้งมาจากแนวทางอะฮฺลุซซุนนะห์ และบางครั้งก็มาจากแนวคิดที่ขัดแย้งกับแนวทางซุนนะห์ เราจึงพบว่าในบางข้อความและทัศนะของท่าน มีสิ่งที่ขัดแย้งกับแนวทางของอะฮฺลุซซุนนะห์ วัลญะมาอะฮ์ เช่น การลดทอนเกียรติของบรรดาศอหาบะฮ์ และแนวคิดตักฟีร (การตัดสินบุคคลหรือสังคมมุสลิมว่าเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา) ที่ปรากฏในตัฟซีรของท่าน 

 

          ดังนั้น เมื่อมีนักวิชาการผู้ยึดมั่นในแนวทางของอะฮฺลุซซุนนะห์ ออกมาชี้แจงข้อผิดพลาดของท่านซัยยิด กูตุบ ของอัลลอฮฺทรงเมตตาต่อท่าน มิใช่เพื่อปิดกั้นผู้คนจากการเข้าถึงสัจธรรม แต่เป็นการแสดงความปรารถนาดีทั้งต่อศาสนาและต่อตัวท่านเอง เพราะหากผู้หนึ่งเสียชีวิตไป โดยที่ข้อผิดพลาดของเขายังคงถูกเผยแพร่และเข้าใจอย่างคลาดเคลื่อน

 

          การที่มีผู้รู้ในยุคหลังออกมาชี้แจง แก้ไข และอธิบายสิ่งที่ไม่ถูกต้องเหล่านั้น ถือว่าเป็นการช่วยเหลือท่านในอีกแง่มุมหนึ่ง ไม่เพียงแต่เป็นการปกป้องความบริสุทธิ์ของหลักการศาสนาเท่านั้น แต่ยังเป็นการลดภาระของท่านผู้นั้นในวันแห่งการสอบสวนอีกด้วย หากข้อผิดพลาดนั้นมิได้ถูกทักท้วงไว้ ผู้ที่รับความรู้ต่อ ๆ กันมาอาจตกอยู่ในความเข้าใจผิดโดยไม่รู้ตัว

 

เรามาดูตัวอย่าง แนวคิดตักฟิรของซัยยิดกูตุบของอัลลอฮฺทรงเมตตาต่อท่าน  

 

(الذين لا يفردون الله بالحاكمية في أي زمان وفي أي مكان هم مشركون لا يخرجهم من هذا الشرك أن يكون اعتقادهم أن لا إله إلا الله مجرد اعتقاد ولا أن يقدموا الشعائر لله وحده).

 

     ผู้ที่ไม่ให้เอกสิทธิ์ในการปกครอง (حاكمية) แก่อัลลอฮ์เพียงพระองค์เดียว ไม่ว่าในยุคใดหรือสถานที่ใดก็ตาม คือผู้ที่ตั้งภาคี (مشركون) และการที่พวกเขาจะเชื่อใน 'ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์' เพียงด้วยความเชื่อในใจ หรือประกอบศาสนพิธีให้แก่อัลลอฮ์เท่านั้น ก็ไม่สามารถนำพวกเขาออกจากการตั้งภาคี

(สำนักพิมพ์ ดารุลชูรูก  หน้าที่ 1493)

 

          นี่คือการอธิบายของซัยยิด กูตุบ ที่เป็นการตัดสิน แบบเหมารวมแก่ผู้ที่ไม่ได้ใช้กฎหมายของอัลลอฮฺในการปกครองว่า ออกจากอิสลามไปแล้ว  แม้กระทั่ง ท่านเชคยูซุฟ อัลกอรอฎอวีย์ รอฮิมาอุลลอฮฺ ยังยอมรับว่า ซัยยิดกูตุบมีแนวคิดตักฟีร  ซึ่งได้มีการอธิบายไว้ดังต่อไปนี้ 

 

          เชครอบีอฺ อัลมัดคอลีย์ : เขากล่าวว่าแนวคิดเช่นนี้ เป็นการเหมารวมตักฟีร ซึ่งขัดกับคำอธิบายของนักวิชาการก่อนหน้า เช่น **อิบนุ อับบาส** ที่กล่าวว่า  "الْكُفْرُ دُونَ كُفْرٍ" – "คือการปฏิเสธศรัทธาที่ไม่ถึงขั้นออกจากอิสลาม"  หลักการของอะฮฺลุซซุนนะห์: อะฮฺลุซซุนนะห์ วัลญะมาอะฮ์ มองว่า: - การไม่ตัดสินตามบทบัญญัติของอัลลอฮฺ** อาจมีหลายสถานะ: - 

 

          หากเขาเชื่อว่ากฎหมายอื่นดีกว่ากฎหมายของอัลลอฮฺ = **กุฟรฺอักบัร** (ออกจากอิสลาม) – แต่หากการไม่ตัดสินตามบทบัญญัติของอัลลอฮฺ เนื่องจากความกลัว ความกลัวโดยที่เขายังมีหลักความเชื่อว่ากฎหมายอิสลามดีที่สุด = **กุฟรฺเล็ก** (ยังไม่ออกจากอิสลาม) 

 

          ซัยยิด กูฏุบ กลับเหมารวมว่า ทุกกรณีคือกุฟรฺอักบัร ซึ่งเป็นแนวทางที่อันตรายและกลายเป็นจุดเริ่มต้นให้บางกลุ่มยึดแนวทาง ตักฟีรสังคมมุสลิมทั้งหมดโดยไม่แยกแยะ

 

          ส่วนกรณีว่า ท่านซัยยิด กูตุบ นั้นได้เตาบะห์จากความผิดพลาดนั้น  หากเป็นลักษณะข้อเขียนที่ชี้แจงแบบ ชัดเจน ไม่ปรากฏการชี้แจง 

 

          กรณีที่ว่า "ซัยยิด กูตุบ ได้เตาบะห์จากความผิดพลาดหรือไม่?" คำถามนี้เป็นประเด็นที่มีการถกเถียงในหมู่ผู้รู้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวข้องกับแนวคิดของท่านในหนังสือ ฟี ซิลาาลิลกุรอานซึ่งมีบางส่วนที่ถูกวิจารณ์อย่างรุนแรง โดยเฉพาะประเด็น **ตักฟีร** และ **การลบหลู่ศอหาบะฮ์

          ประเด็นสำคัญ:** 

 

     1. **ไม่มีข้อความชัดเจนที่เป็นการเตาบะห์แบบเป็นลายลักษณ์อักษร แม้มีการกล่าวอ้างจากผู้ที่รักหรือเคารพท่านว่าท่าน “อาจจะได้เตาบะห์ก่อนเสียชีวิต” แต่ไม่พบข้อความหรือเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษรจากท่านซัยยิด กูตุบเอง ที่แสดงเจตนาชัดเจนว่าเขาได้ "ถอนตัว" หรือ "แก้ไข" แนวคิดที่ขัดแย้งกับแนวทางอะฮฺลุซซุนนะห์ 

 

     2. **คำอธิบายบางส่วนใน "ฟี ซิลาาลิลกุรอาน" ฉบับหลัง - ผู้สนับสนุนท่านอ้างว่า บางฉบับที่พิมพ์ภายหลัง*อาจมีเนื้อหาถูกแก้ไขหรือปรับเบาบาง  แต่ผู้วิจารณ์ตอบว่า"เนื้อหาหลักที่เป็นปัญหา ยังคงมีอยู่" เช่น แนวคิดตักฟีร และการกล่าวถึงสหายของท่านนบีฯ ในลักษณะที่ไม่เหมาะสม   

 

          คำวินิจฉัยจากนักวิชาการ:  ชัยคฺ อับดุลอะซีซ อิบนุ บาซ ขออัลลอฮเมตตาต่อท่าน  “คำวิจารณ์ของเขาเกี่ยวกับศอหาบะฮ์เป็นสิ่งที่ร้ายแรง และไม่ควรรับรองผลงานของเขาในส่วนนี้”

 

           ชัยคฺ อัลอัลบานี(รอฮิมาอุลลอฮ.)  “เขามีความบริสุทธิ์ใจ แต่งานเขียนของเขามีข้อผิดพลาดร้ายแรง โดยเฉพาะการตักฟีรสังคมมุสลิมทั้งหมด”

 

 

           สรุป: - การกล่าวอ้างว่าเขาได้ “เตาบะห์” ต้องมี **หลักฐานที่ชัดเจน** เช่น หนังสือ, บทความ หรือคำพูดบันทึกไว้โดยเขาเอง -หากไม่มีหลักฐานชัดเจน ก็ไม่สามารถยืนยันการเตาบะห์ได้แน่นอน* แต่สิ่งที่เราทำได้คือ ชี้แจงข้อผิดพลาดทางวิชาการด้วยความยุติธรรม และหวังดีต่อผู้ล่วงลับ