ซาตอัลลอฮ์ คือ ?
อ.อิสหาก พงษ์มณี....เรียบเรียง
แนวคิดเรื่อง "ซาตอัลลอฮ์" (ความเป็นพระเจ้า) ในกลุ่มนิกายต่างๆ ของศาสนาอิสลาม
คำว่า "ซาตอัลลอฮ์" หมายถึงแก่นแท้และความเป็นจริงของอัลลอฮ์ เป็นหนึ่งในแนวคิดความเชื่อที่ละเอียดอ่อนและลึกซึ้งที่สุดในหลักการศาสนาอิสลาม ซึ่งแต่ละสำนักคิดก็มีแนวทางในการทำความเข้าใจที่แตกต่างกันไป โดยอิงจากวิธีที่พวกเขารับมือกับคำสอนทางศาสนาและเหตุผล
1. อะฮ์ลิสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ (แนวทางสะละฟียะฮ์)
* แนวคิด: เชื่อว่าแก่นแท้ของอัลลอฮ์คือความจริงที่ดำรงอยู่ด้วยพระองค์เอง เป็นไปไม่ได้ที่จะทำความเข้าใจหรือจินตนาการได้ อัลลอฮ์ทรงมีคุณลักษณะทั้งหมดที่พระองค์ทรงยืนยันไว้ในอัลกุรอานและที่ท่านศาสดามุฮัมมัดได้ยืนยันไว้ โดยไม่มีการตีความ, หรือเปรียบเทียบ เข้าใจได้ตามกรอบภาษา แต่รูปแบบเป็นอย่างไรมิอาจเข้าถึงได้
* ระเบียบวิธี: เชื่อว่าคุณลักษณะของอัลลอฮ์ (เช่น พระหัตถ์, พระพักตร์, การประทับบนบัลลังก์) เป็น คุณลักษณะที่แท้จริง ที่คู่ควรกับแก่นแท้และอำนาจของพระองค์ แต่ปฏิเสธวิธีการและภาพลักษณ์ที่เทียบเคียงได้ พวกเขากล่าวว่า:
"เรายืนยันคุณลักษณะของอัลลอฮ์ตามที่ปรากฏในคำสอน โดยไม่มีการกำหนดวิธีการหรือการเทียบเคียง"
* สรุป: แก่นแท้ของอัลลอฮ์ในแนวทางนี้คือความจริงที่ไม่เหมือนกับแก่นแท้ของสิ่งถูกสร้าง และคุณลักษณะของพระองค์เป็นส่วนหนึ่งที่แยกออกจากแก่นแท้นี้ไม่ได้ ซึ่งถูกยืนยันตามที่ระบุในคัมภีร์โดยไม่มีการตีความหรือบิดเบือน
2. อัลอะชาอิเราะฮ์
* แนวคิด: เห็นว่า แก่นแท้ของอัลลอฮ์ คือการดำรงอยู่ด้วยพระองค์เอง ที่บริสุทธิ์จากคุณสมบัติภายนอก, ส่วนประกอบ และมิติ
* ระเบียบวิธี: เผชิญหน้ากับคำสอนที่อาจสื่อถึงการมีร่างกายของพระเจ้า (เช่น "พระหัตถ์ของอัลลอฮ์", "การประทับบนบัลลังก์") ด้วย 2 วิธี:
* การตีความ (ตะอ์วีล): ตีความคุณลักษณะเหล่านี้ในเชิงเปรียบเทียบหรือเชิงสัญลักษณ์ที่เหมาะสมกับความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮ์ (เช่น ตีความ "พระหัตถ์" ว่าคืออำนาจ และ "การประทับ" ว่าคือการครอบครองและมีอำนาจเหนือกว่า)
* การมอบหมายความหมาย (ตัฟวีฎ): เชื่อในถ้อยคำแต่ไม่แจงความหมาย คือมอบคืนความหมายกลับสู่อัลลอฮ์โดยไม่ลงลึกในการตีความ
* สรุป: อัลอะชาอิเราะฮ์แยกแยะระหว่างแก่นแท้ของอัลลอฮ์กับคุณลักษณะของพระองค์ โดยคุณลักษณะของพระองค์ไม่ใช่ตัวตนเดียวกับแก่นแท้ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่แยกออกจากแก่นแท้นั้นอย่างสิ้นเชิง เรียกว่า"ฮ้าล"ซึ่งสำแดงไว้ใน "ศิฟาตมะอฺนะวียะฮ์" เป็นสภาพสมมุติที่ไม่รองรับการยอมรับว่ามีหรือไม่มี
3. อัลมุอ์ตะซิละฮ์
* แนวคิด: เชื่อว่าคุณลักษณะของอัลลอฮ์คือ ตัวตนเดียวกับแก่นแท้ของพระองค์ ไม่ได้มีคุณลักษณะที่แยกออกมาจากแก่นแท้นั้น
* ระเบียบวิธี: ปฏิเสธการยืนยันคุณลักษณะที่เพิ่มเติมจากแก่นแท้ เพราะเชื่อว่านั่นจะนำไปสู่การมี "ความอมตะ" ที่หลากหลาย ซึ่งอาจขัดกับหลักการเตาฮีด (การเป็นเอกะของพระเจ้า) ในความคิดของพวกเขา ดังนั้น อัลลอฮ์จึง ทรงรอบรู้ด้วยพระองค์เอง ไม่ใช่ด้วยความรู้ที่แยกออกมา และทรงมีพลังอำนาจด้วยพระองค์เอง ไม่ใช่ด้วยพลังอำนาจที่แยกออกมา
* สรุป: แก่นแท้ของอัลลอฮ์ในแนวทางนี้คือความจริงที่สมบูรณ์แบบ แต่ไม่มีคุณลักษณะที่แยกออกมาจากแก่นแท้นี้
4. อัชชีอะฮ์ อิมามียะฮ์
* แนวคิด: ยึดถือแนวคิดที่ใกล้เคียงกับอัลมุอ์ตะซิละฮ์ โดยเชื่อว่า คุณลักษณะของอัลลอฮ์คือตัวตนเดียวกับแก่นแท้ของพระองค์
* ระเบียบวิธี: เชื่อว่าคุณลักษณะของพระเจ้า (เช่น ความรู้และพลังอำนาจ) แม้จะมีความหมายที่หลากหลายในจิตใจ แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งเหล่านั้นคือการอ้างอิงถึงการดำรงอยู่ที่หนึ่งเดียว คือแก่นแท้ของพระเจ้า
* สรุป: ในแนวทางนี้ไม่มีการแยกแยะอย่างแท้จริงระหว่างแก่นแท้และคุณลักษณะ เพราะทั้งสองคือด้านที่แตกต่างกันของความจริงเดียวกัน
5. อัศศูฟียะฮ์
* แนวคิด: แนวคิดเกี่ยวกับแก่นแท้ของอัลลอฮ์ในกลุ่มนี้มีความหลากหลาย แต่โดยรวมแล้วจะมุ่งเน้นไปที่ด้านจิตวิญญาณและประสบการณ์ทางศาสนา บางกลุ่มถึงกับมีแนวคิด "วะห์ดะตุลวุญูด" (เอกภาพแห่งการดำรงอยู่) ซึ่งเชื่อว่าอัลลอฮ์คือการดำรงอยู่ที่เป็นจริงเพียงหนึ่งเดียว และทุกสิ่งอื่นเป็นเพียงภาพสะท้อนของการดำรงอยู่นี้
* ระเบียบวิธี: มีเป้าหมายในการหลอมรวมเข้ากับแก่นแท้ของอัลลอฮ์ผ่านการรำลึกถึงพระเจ้า (ซิกร์) และการต่อสู้กับกิเลส โดยเข้าถึงการรู้จักอัลลอฮ์ผ่านการเปิดเผยทางจิตวิญญาณ ไม่ใช่ผ่านเหตุผลหรือข้อความทางศาสนาเพียงอย่างเดียว
* สรุป: แนวคิดเรื่องแก่นแท้ของอัลลอฮ์ในหมู่ศูฟียะฮ์มุ่งเน้นไปที่ประสบการณ์ทางจิตวิญญาณโดยตรง ซึ่งบางครั้งอาจนำไปสู่แนวคิดที่ก่อให้เกิดข้อโต้แย้งอย่าง "เอกภาพแห่งการดำรงอยู่"
จุดสังเกต
นี่คือจุดต่างทางความเข้าใจในเรื่องพื้นฐานที่สำคัญ เมื่อพื้นฐานต่างกันถึงขั้นนี้ รายละเอียดของคำอธิบายและเข้าใจในส่วนที่เป็นปลีกย่อยย่อมแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
การจะเข้าใจเรื่องนี้ลึกซึ้ง ต้องศึกษาพื้นฐานกฏเกณฑ์ปรัชญาและตรรกะมาพอควรจึงจะพอสร้างความกระจ่างได้บ้าง
ตัวอย่างกฏเกณฑ์ทางปรัชญา
ว่า ด้วย"สสาร" (Madda - مادة) และ "แก่นสาร" (Jawhar - جوهر) มีความหมายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แม้จะดูคล้ายกันในบางบริบท
สสาร (Matter)
* แนวคิด: สสารคือ พื้นฐาน หรือ วัตถุดิบ ที่ใช้ในการสร้างสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่จริงในโลก เป็นองค์ประกอบตั้งต้นที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
* คำอธิบาย: สสารในเชิงปรัชญาคือ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ และ เสื่อมสลายได้ มันคือ "ศักยภาพที่ซ่อนอยู่" หรือ "ความเป็นไปได้" ที่จะรับ "รูปลักษณ์" (Form) และกลายเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
* ตัวอย่าง: ในการสร้างรูปปั้นหินอ่อน หินอ่อน คือ สสาร มันสามารถถูกนำไปสร้างเป็นรูปปั้นที่มีรูปร่างต่างๆ ได้ แต่หินอ่อนก็ยังคงเป็นสสารพื้นฐานของรูปปั้นนั้น
แก่นสาร (Substance)
* แนวคิด: แก่นสารคือ สิ่งที่ดำรงอยู่ได้ด้วยตัวของมันเอง โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสิ่งอื่นในการดำรงอยู่ มันคือส่วนที่คงอยู่ของสิ่งนั้น หลังจากที่เราได้ตัดคุณสมบัติภายนอกทั้งหมดออกไป (เช่น ขนาด สี รูปร่าง)
* คำอธิบาย: แก่นสารคือ สิ่งที่คงที่และถาวร มันเป็นสิ่งที่ "รองรับ" คุณสมบัติ (Accidents) ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับสิ่งนั้น คุณสมบัติเหล่านี้ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ด้วยตัวเอง แต่ต้องมีแก่นสารเป็นที่รองรับ
* ตัวอย่าง: มนุษย์ คือ แก่นสาร ส่วนการที่มนุษย์คนนั้นตัวสูงหรือเตี้ย มีผิวขาวหรือคล้ำ เป็นเพียง คุณสมบัติ ที่เกิดขึ้นกับแก่นสารนั้น มนุษย์ยังคงเป็นมนุษย์ (แก่นสาร) แม้คุณสมบัติต่างๆ จะเปลี่ยนไป
สรุปคือ "แก่นสาร" มีความหมายที่กว้างกว่า "สสาร" โดยนักปรัชญาบางท่านมองว่า แก่นสารประกอบขึ้นจาก สสารและรูปลักษณ์ (Form) สสารคือศักยภาพหรือความเป็นไปได้ ส่วนรูปลักษณ์คือสิ่งที่กำหนดว่าสิ่งนั้นคืออะไร ทำให้มันมีอยู่จริงในที่สุด
ตัวอย่างกฏเกณฑ์ทางตรรกะ
วิชาตรรกวิทยาคือเครื่องมือที่ช่วยให้เราคิดได้อย่างถูกต้องและหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาด (ตามกรอบปัญญา มนุษย์) ตรรกวิทยาตั้งอยู่บนหลักการพื้นฐานที่เรียกว่า กฎพื้นฐานของการคิด ซึ่งประกอบด้วย:
1. กฎเอกลักษณ์ (Principle of Identity)
* แนวคิด: สิ่งหนึ่งคือสิ่งหนึ่ง หรือสิ่งทุกสิ่งมีตัวตนที่สอดคล้องกับตัวเอง
* การแสดงออก: ก. คือ ก. (A is A)
* ความหมาย: หลักการนี้ยืนยันว่าทุกสิ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ทำให้มันแตกต่างจากสิ่งอื่น ตัวอย่างเช่น ถ้าเราพูดว่า "ดอกกุหลาบคือดอกกุหลาบ" นั่นหมายความว่าวัตถุที่เราเรียกว่า "ดอกกุหลาบ" มีคุณสมบัติคงที่ที่ทำให้มันเป็นตัวของมันเองและไม่สามารถเป็นสิ่งอื่นได้ในเวลาเดียวกันและภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน
2. กฎการไม่ขัดแย้งกัน (Principle of Non-Contradiction)
* แนวคิด: สิ่งหนึ่งไม่สามารถเป็นและไม่เป็นสิ่งเดียวกันได้ในเวลาเดียวกันและภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน
* การแสดงออก: สิ่งหนึ่งไม่สามารถเป็น ก. และไม่ใช่ ก. ในเวลาเดียวกัน
* ความหมาย: หลักการนี้เป็นรากฐานของเหตุผลและตรรกะที่ถูกต้อง เป็นไปไม่ได้ที่ข้อความหนึ่งจะเป็นจริงและเป็นเท็จในเวลาเดียวกัน ตัวอย่างเช่น เราไม่สามารถพูดได้ว่า "ฝนกำลังตก" และ "ฝนไม่ได้ตก" ในขณะเดียวกันและในสถานที่เดียวกัน
3. กฎการไม่มีสิ่งอื่นมาแทรกกลาง (Principle of Excluded Middle)
* แนวคิด: ข้อความใด ๆ ต้องเป็นจริงหรือเป็นเท็จเท่านั้น ไม่มีทางเลือกที่สามอยู่ตรงกลาง
* การแสดงออก: สิ่งหนึ่งเป็น ก. หรือไม่ใช่ ก. และไม่มีสถานะตรงกลาง
* ความหมาย: หลักการนี้เสริมหลักการไม่ขัดแย้งกัน โดยปฏิเสธความเป็นไปได้ของทางเลือกอื่นนอกเหนือจากความเป็นจริงหรือความเท็จ ตัวอย่างเช่น หากข้อความ "ท้องฟ้าเป็นสีฟ้า" เป็นจริง ข้อความตรงกันข้ามคือ "ท้องฟ้าไม่ใช่สีฟ้า" จะต้องเป็นเท็จโดยไม่มีทางเลือกอื่น
นอกจากหลักการพื้นฐานเหล่านี้แล้ว ตรรกวิทยายังครอบคลุมแนวคิดสำคัญอื่น ๆ เช่น:
* การอนุมาน (Inference): กระบวนการสรุปผลจากข้อมูลที่มีอยู่ แบ่งออกเป็น:
* การนิรนัย (Deduction): การสรุปจากเรื่องทั่วไปไปสู่เรื่องเฉพาะ (ตัวอย่าง: มนุษย์ทุกคนต้องตาย, โสเครติสเป็นมนุษย์, ดังนั้นโสเครติสต้องตาย)
* การอุปนัย (Induction): การสรุปจากเรื่องเฉพาะไปสู่เรื่องทั่วไป (ตัวอย่าง: เหล็กขยายตัวเมื่อได้รับความร้อน, ทองแดงขยายตัวเมื่อได้รับความร้อน, ดังนั้นโลหะทุกชนิดย่อมขยายตัวเมื่อได้รับความร้อน)
* นิพจน์และประพจน์ (Terms and Propositions): การศึกษาเกี่ยวกับการสร้างคำศัพท์ (นิพจน์) และประโยคบอกเล่า (ประพจน์) ที่ใช้ในกระบวนการอนุมาน
* การนิยาม (Definition): วิธีการกำหนดความหมายของสิ่งต่าง ๆ และแนวคิดให้มีความแม่นยำและไม่คลุมเครือ
สรุปคือ
เมื่อนำกฏเกณฑ์เหล่านี้มาใช้กับอัลลอฮ์ ปัญหาจึงเกิดทันทีเพราะหลายกฏมิอาจนำมาใช้กับอัลลอฮ์ได้
หัวใจหลักของปัญหาคือเราพยายามนำกฏต่างๆ เหล่านี้ไปบังคับใช้กับอัลลอฮ์เหมือนกับที่เราใช้มันกับสิ่งอื่นจากพระองค์