ข่าวดีของกลุ่มชนที่ยากจน
อ.อับดุลวาเฮด สุคนธา...เรียบเรียง
โอ้บ่าวของอัลลอฮ์ ! ความยากจนนั้นมีความลำบาก ความเจ็บปวด ความกังวล ความทุกข์ทรมาน และมันคือบททดสอบ ดังนั้นท่านนบี ﷺ จึงขอความคุ้มครองจากอัลลอฮ์ให้พ้นจากฟิตนะฮ์ (บททดสอบ) ของความยากจน โดยกล่าวว่า:
وأَعُوذُ بِكَ مِنْ فِتْنَةِ الفَقْرِ
“และฉันขอความคุ้มครองจากพระองค์จากฟิตนะฮ์ของความยากจน”
และในรายงานหนึ่งว่า:
مِنْ شَرِّ فِتْنَةِ الفَقْرِ
“จากความชั่วร้ายของฟิตนะฮ์แห่งความยากจน”
(เศาะเฮี๊ย)
"ฟิตนะฮ์แห่งความยากจน" หมายถึง สิ่งที่อาจเกิดตามมาจากความยากจน เช่น
♦ การไม่พอใจต่อกอดอและกอดัรของอัลลอฮ์
♦ การขาดความอดทน
♦ การตกลงไปในสิ่งต้องห้ามหรือสิ่งน่าสงสัยเนื่องจากความเดือดร้อน
♦ การกระทำสิ่งที่ไม่สมควรแก่ผู้มีศาสนาและเกียรติยศ
หนึ่งในดุอาที่ท่านนบี ﷺ ขอเสมอคือ:
(اللهم إني أعوذ بك مِنَ الفَقْرِ والقِلَّةِ والذِّلَّةِ وأعُوذُ بِكَ مِنْ أنْ أظْلِمَ أَو أُظْلَمَ)
“โอ้อัลลอฮ์ ฉันขอความคุ้มครองจากพระองค์จากความยากจน ความขัดสน และความต่ำต้อย
และขอความคุ้มครองจากการที่ฉันจะเป็นผู้กดขี่หรือถูกกดขี่”
(เศาะเฮี๊ยะฮ์ บันทึกโดยอบูดาวูด และอัน-นะสาอีย์ และอัล-อัลบานีย์รับรองว่าเศาะเฮี๊ยะฮ์)
บ่าวผู้ศรัทธาผู้มีความเชื่อมั่นอย่างแท้จริง เมื่อตกอยู่ในความยากจน เขาจะปฏิบัติต่ออัลลอฮ์ด้วยการอดทน ยอมรับในกอดอและกอดัร พึงพอใจในสิ่งที่มี และมุ่งมั่นในการแสวงหาความสุขในอาคิเราะฮ์
คุณค่าของความยากจนในอิสลาม และเกียรติของผู้ยากไร้ในวันอาคิเราะห์:
ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ได้กล่าวว่า
يا مَعْشَرَ الفقراءِ، ألا أُبَشِّرُكُمْ؟ أنَّ فقراءَ المؤمنينَ يدخُلُونَ الجنَّةَ قَبْلَ أغنيائِهِم بنصْفِ يومٍ، خمسمائةِ عامٍ
“โอ้หมู่ชนผู้ยากจน ! พวกท่านอยากให้ฉันแจ้งข่าวดีแก่พวกท่านไหม?
แท้จริงบรรดาผู้ศรัทธาที่ยากจนนั้นจะได้เข้าสวรรค์ก่อนผู้ที่ร่ำรวยไปครึ่งวัน ซึ่งเท่ากับ 500 ปี”
(หะดีษเศาะเฮี๊ยะฮ์ รายงานโดยอิบนุอุมัร บันทึกโดยอิบนุฮิบบาน, อะหมัด และอัต-ติรมิซีย์)
มะกี อิบนุ อบีฏอลิบ กล่าวว่า : ความหมายของหะดีษนี้คือ บรรดาผู้น่าสงสารจากหมู่เศาะหาบะฮ์ (สหายของท่านนบี) จะเข้าสวรรค์ก่อนบรรดาผู้มั่งคั่งที่ไม่ใช่เศาะหาบะฮ์ของท่านนบีมุฮัมมัด ﷺ ด้วยเหตุแห่งความประเสริฐของเศาะหาบะฮ์ ไม่ใช่เพราะความยากจน
อิบนุ อัลมะลิก กล่าวว่า : พวกเขาเข้าสวรรค์ก่อนคนมั่งคั่ง เพราะคนมั่งคั่งจะถูกหยุดรออยู่ ณ ลานแห่งการสอบสวน เพื่อถูกสอบถามถึงที่มาของทรัพย์สิน และวิธีการใช้จ่ายทรัพย์สินเหล่านั้น
คำว่า “ผู้ยากจน” หมายถึง บรรดาผู้ยากจนที่อดทนและเป็นผู้ดี
และคำว่า “คนมั่งคั่ง” หมายถึง คนมั่งคั่งที่ขอบคุณและปฏิบัติหน้าที่ต่อทรัพย์สินของตน
ชัยคฺ อับดุลมุหฺสิน อัลอับฺบาด กล่าวว่า : สิ่งที่หะดีษนี้หมายถึงคือ การที่คนมั่งคั่งถูกทำให้ล่าช้าในการเข้าสวรรค์ เพราะต้องรอสอบสวนก่อน
ซึ่งสอดคล้องกับหะดีษที่กล่าวว่า:“แท้จริงผู้ยากจนจะเข้าสวรรค์ก่อนผู้มั่งคั่งเป็นเวลา ห้าร้อยปี”
หะดีษนี้ชี้แจงว่าไม่ใช่ความหมายว่า โลกจะสิ้นสุดในอีกห้าร้อยปี เพราะจากวันที่มีการกล่าวหะดีษนี้ได้ผ่านไปแล้วมากกว่า 1,400 ปี และห้าร้อยปีที่สามก็กำลังอยู่ในช่วงท้ายแล้ว
ดังนั้น สิ่งที่น่าเป็นไปได้ตามที่บรรดานักวิชาการบางท่านได้กล่าวไว้คือ เจตนาในหะดีษคือการที่ผู้มั่งคั่งถูกล่าช้าเพราะต้องสอบสวนก่อน ส่วนผู้ยากจนที่ไม่มีอะไรให้สอบสวนจะได้เข้าสวรรค์ก่อนห้าร้อยปี หรือครึ่งวัน
ชัยคฺ อิบนุ อุษัยมีน กล่าวว่า: ตามความหมายที่ปรากฏจากหะดีษคือ ผู้ยากจนจะเข้าสวรรค์ก่อนผู้มั่งคั่งเป็นเวลาห้าร้อยปี หรือเป็นช่วงเวลาหนึ่งที่อาจจะแตกต่างจากห้าร้อยปี แต่สิ่งนี้จะเกิดขึ้นเมื่อ ผู้ศรัทธาผู้มั่งคั่งกับผู้ยากจนมีระดับการงานศาสนาเท่ากัน ซึ่งในกรณีนี้ อัลลอฮ์จะชดเชยให้แก่ผู้ยากจนที่ไม่ได้เสพสุขในโลกเช่นที่คนมั่งคั่งได้เสพสุข ด้วยการให้เขาเข้าสวรรค์ก่อน
แต่หากคนมั่งคั่งมีผลงานศาสนามากกว่าผู้ยากจน ก็เป็นไปได้ว่า คนมั่งคั่งจะเข้าสวรรค์ก่อน ตามระดับของผลงานของเขา และหะดีษนี้จะถูกจำกัดความให้ใช้เฉพาะในกรณีที่ผลงานเท่ากัน หรือจะกล่าวอีกแง่หนึ่งว่า ผู้ยากจนเข้าสวรรค์ก่อน แต่เมื่อผู้มั่งคั่งเข้าสวรรค์แล้ว พวกเขาจะอยู่ในระดับขั้นของสวนสวรรค์ที่สูงกว่าผู้ยากจน หากพวกเขาสมควรได้รับระดับนั้น เพราะสวนสวรรค์มีหลายระดับขั้น
อัลลอฮุอักบัร !
ช่างเป็นความปลอบโยนจากพระเจ้าผู้ทรงเมตตายิ่งใหญ่สำหรับหัวใจของผู้ยากไร้ที่เจ็บปวดจากความขาดแคลน และช่างเป็นการชดเชยที่ยิ่งใหญ่ยิ่งนัก ที่บรรดาผู้ยากจนจะได้เข้าสวรรค์และมีความสุขในนั้นก่อนผู้ร่ำรวยถึง 500 ปี !
ถ้าเช่นนั้น ความสุขแบบใดเล่ายิ่งใหญ่กว่า น่าชื่นใจยิ่งกว่า และสมบูรณ์แบบยิ่งกว่า:
– ความร่ำรวยในโลกนี้ 100 ปี ซึ่งเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ความกังวล และความทุกข์
– หรือความสุข 500 ปีในสิ่งที่ไม่มีตามองเห็น ไม่มีหูได้ยิน และไม่เคยผุดขึ้นในหัวใจของมนุษย์ ในสรวงสวรรค์เคียงข้างพระเจ้าผู้ทรงเกียรติ?
ด้วยเหตุนี้ ท่านนบี ﷺ จึงกล่าวกับชาวซุฟฟะฮ์ (ชาวมุสลิมยากจนที่อาศัยอยู่ในมัสยิด):
“หากพวกท่านรู้ว่าอัลลอฮ์เตรียมอะไรไว้ให้พวกท่าน แน่แท้แล้วพวกท่านจะอยากเป็นคนจน และขัดสนมากกว่านี้เสียอีก”
(หะดีษเศาะเฮี๊ยะฮ์)
และหนึ่งในคุณงามความดีของผู้ยากไร้คือสิ่งที่มารายงานในหะดีษเศาะเฮี๊ยนว่า: ท่านนบี ﷺ กล่าวว่า:
“ฉันยืนอยู่ที่หน้าประตูสวรรค์ และส่วนใหญ่ของผู้ที่ได้เข้าสวรรค์ก่อนคือผู้ยากจน ส่วนผู้มีทรัพย์กลับถูกกักไว้”
(บันทึกโดยบุคอรีและมุสลิม)
และในอีกสายรายงานจากบุคอรีย์ : “ฉันได้เห็นในสวรรค์ และฉันเห็นว่าคนส่วนใหญ่ในนั้นคือผู้ยากจน”
ท่านรอซูล ﷺ กล่าวว่า:
“ไม่เคยมีวันใดเลยที่ดวงอาทิตย์ขึ้น นอกจากจะมีมะลาอิกะฮ์สองตนปรากฏอยู่ข้าง ๆ ดวงอาทิตย์ ทั้งสองจะเรียกร้อง (ให้มนุษย์หันหน้า) ไปยังพระเจ้าของพวกเขา
โดยกล่าวว่า:
‘โอ้มนุษยชาติเอ๋ย ! จงมาหาพระเจ้าของพวกเจ้าเถิด แท้จริงสิ่งที่น้อยแต่พอเพียงดีกว่าสิ่งที่มากแต่ทำให้หลงลืม’”
(บันทึกโดยอะหมัด, อิบนุฮิบบาน และรับรองว่าเศาะเฮี๊ยะฮ์โดยอัล-อัลบานีย์ และอัล-อัรนาอูฏ)
เพราะเมื่อมีความร่ำรวย ก็มักจะตามมาด้วย ความเย่อหยิ่ง ความประมาท การหลงในกิเลส รวมถึง ความตระหนี่ ความฟุ่มเฟือย การโอ้อวด และการแข่งกันสะสมทรัพย์ ซึ่งทำให้หัวใจห่างไกลจากอาคิเราะฮ์
ในวันกิยามะฮ์ การสอบสวนผู้ร่ำรวยจะหนักหน่วง :
– ท่านได้ทรัพย์จากไหน ?
– ใช้ไปในสิ่งใด ?
– มีการละเมิดสิทธิ์ของอัลลอฮ์หรือสิทธิ์ของมนุษย์ในทรัพย์นั้นหรือไม่ ?
แต่กับผู้ยากจนที่ขัดสน เขาจะมีความ ถ่อมตน ความนอบน้อม การยอมจำนนต่ออัลลอฮ์ ความพอเพียง
และหัวใจที่ห่างไกลจากกิเลส รวมถึงการระลึกถึงอัลลอฮ์มาก การวิงวอนมาก และในที่สุด เขาจะ มีการสอบสวนที่ง่ายกว่า
ท่านนบี ﷺ กล่าวว่า:
اثنتان يكرههما ابنُ آدمَ : يكرهُ الموتَ، و الموتُ خيرٌ له من الفتنةِ، و يكرهُ قلَّةَ المالِ، و قِلَّةُ المالِ أقلُّ للحسابِ
“มนุษย์สองสิ่งที่ลูกหลานอาดัมไม่ชอบคือ
รังเกียจความตาย แต่อันที่จริงความตายนั้นดีกว่าสำหรับผู้ศรัทธา เพราะมันปกป้องเขาจากฟิตนะฮ์
และการขาดแคลนทรัพย์ – แต่อันที่จริงการขาดแคลนทรัพย์ทำให้สอบสวนเบากว่า”
(บันทึกโดยอะหมัด และรับรองว่าเศาะเฮี๊ยะฮ์โดยอัล-อัลบานีย์)
เศาะฮาบะฮ์ อะบูซัร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ กล่าวว่า:
“ผู้ที่มีทรัพย์สองเหรียญในวันกิยามะฮ์จะถูกสอบสวนหนักกว่าผู้ที่มีเหรียญเดียว”
(รายงานโดยอิบนุอบีชัยบะฮ์)
ตาบิอีนชื่อ อะบูฮาซิม สะละมะฮ์ อิบนุดีนาร กล่าวว่า:
“ความโปรดปรานของอัลลอฮ์ต่อฉัน ในการที่ทรงห้ามบางสิ่งในโลกนี้จากฉัน ยิ่งใหญ่กว่าที่พระองค์ประทานให้ เพราะฉันได้เห็นบางคนที่ได้รับโลกนี้ แล้วพวกเขาก็หายนะ”
(รายงานโดยอิบนุอัสอากิร ในหนังสือ ตารีค ดิมัชก)
สิ่งหนึ่งที่จะปลอบประโลมใจของผู้ยากไร้ในความยากไร้ของพวกเขา คือการที่พวกเขารู้ว่า ความยากจนคือสภาพที่เป็นของผู้เป็นที่รัก และเป็นแบบอย่างของพวกเขานั่นคือ ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ผู้ซึ่งเคยใช้ชีวิตในสภาพยากจน และถึงแม้ว่าอัลลอฮ์จะให้ทางเลือกแก่ท่านให้ใช้ชีวิตเป็นกษัตริย์ หรือให้ภูเขากลายเป็นทอง ท่านก็เลือกที่จะมีชีวิตเรียบง่าย
ท่านนบี ﷺ เคยนอนหลายคืนติดต่อกันโดยที่ตัวท่านและครอบครัวไม่มีอาหารเย็น และส่วนใหญ่ของอาหารของพวกเขาคือ ขนมปังที่ทำจากข้าวบาร์เลย์
ในหะดีษบุคอรีย์ ระบุว่า : “ครอบครัวของมุฮัมมัด ﷺ ไม่เคยกินข้าวสาลีจนอิ่มสามวันติดกันเลย นับตั้งแต่เริ่มจนถึงวันที่ท่านเสียชีวิต”
และมีรายงานว่า เมื่อท่านนบี ﷺ ละหมาดกับผู้คน มีชายบางคนจากชาวซุฟฟะฮ์ถึงกับล้มลงในละหมาดเพราะความหิวโหย
(หะดีษเศาะเฮี๊ยะฮ์)
และเศาะฮาบะฮ์ชื่อ สะอฺด์ บิน อะบีวักกอศ กล่าวว่า:
“ฉันเคยออกรบกับกลุ่มหนึ่งจากหมู่สาวกของมุฮัมมัด ﷺ โดยที่พวกเราไม่กินอะไรเลยนอกจากใบไม้และต้นไม้เลื้อย จนถึงขั้นที่บางคนในหมู่เราถ่ายออกมาเหมือนกับแพะหรืออูฐ”