หลักการสำคัญพื้นฐานหกประการ
  จำนวนคนเข้าชม  138

หลักการสำคัญพื้นฐานหกประการ

 

โดย เชค มุฮัมหมัด บุตร อับดุลวะฮาบ -ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮฺ-

อาบีดีณ โยธาสมุทร แปลและเรียบเรียง

 

     จากเรื่องที่น่าประหลาดใจอย่างยิ่ง และเป็นเรื่องที่เป็นหนึ่งในสัญญาณอันยิ่งใหญ่ที่สุดที่ชี้ถึงความสามารถของพระผู้ทรงครอบครองที่ทรงมีชัย คือ หลักการสำคัญพื้นฐานหกประการที่อัลลอฮฺทรงอธิบายไว้แล้วอย่างชัดเจนแก่ปวงชนทั่วไป เหนือกว่าที่พวกที่คิดอะไรไปกันเองคิดกันอย่างมากมายนัก

     แต่แล้วหลังจากนั้น หลายคนที่เป็นคนที่ฉลาดสุดๆ ในโลก ตลอดจนคนที่มีปัญญาจำนวนมาก จากทายาทของอาดัมกลับหลงผิดในหลักการเหล่านี้ จะเว้นไว้ก็แต่เพียงจำนวนที่น้อยมากๆเท่านั้น

 

หลักการแรก

 

     การทำให้การยึดถือศาสนาเป็นไปโดยบริสุทธิ์ต่ออัลลอฮ์องค์เดียว ไม่ให้มีภาคีใดๆ ทั้งสิ้นกับพระองค์

     และการชี้แจงสิ่งที่ตรงกันข้ามกับเรื่องนี้ซึ่งก็คือ การตั้งภาคีต่ออัลลอฮ์ ประกอบกับการที่เนื้อหาส่วนมากในอัลกุรอานมุ่งเน้นไปที่การชี้แจงหลักการนี้โดยรูปแบบที่หลากหลาย ด้วยการใช้คำพูดที่แม้แต่คนธรรมดาๆ ที่ทึ่มที่สุดก็ยังเข้าใจ 

     แต่แล้ว เมื่อผู้คนส่วนใหญ่ในอุมมะฮฺกลายไปเป็นเช่นที่เป็นอยู่ ชัยฏอนก็เข้ามาทำให้ การให้การบริสุทธิ์(แด่อัลลอฮฺ) ปรากฏออกมาแก่พวกเขาว่าเป็น การดูหมิ่นบรรดาคนดีและเป็นการบกพร่องต่อสิทธิของพวกท่าน และเข้ามาทำให้การจัดให้อัลลอฮฺมีหุ้นส่วนร่วมกับพระองค์ด้วยนั้น ปรากฏออกมาแก่พวกเขาในรูปของการรักคนดีและดำเนินตามท่านเหล่านั้น

 

 

 หลักการที่สอง

 

     อัลลอฮฺทรงสั่งให้สามัคคีกันในศาสนาและทรงห้ามการแตกแยกกันในศาสนา โดยพระองค์ทรงชี้แจงหลักการนี้ไว้อย่างชัดเจน จนแม้แต่ชาวบ้านธรรมดาก็เข้าใจได้ และพระองค์ทรงห้ามไม่ให้เราเป็นเช่นเดียวกับพวกที่มาก่อนพวกเรา ที่พวกเขาแตกแยกและขัดแย้งกันจนสุดท้ายก็ได้พินาศกันไป

     พระองค์ทรงบอกไว้ว่า พระองค์ทรงสั่งให้บรรดามุสลิมสามัคคีกันในศาสนา และทรงห้ามมิให้พวกเขาแตกแยกกันในศาสนา ทั้งข้อมูลที่ระบุไว้ในซุนนะฮฺก็ยิ่งทำให้หลักการนี้ชัดเจนขึ้นมาอย่างน่าประปลาดใจยิ่งนัก(ในการขยายความอย่างละเอียดเช่นนี้)

     แต่แล้วกลับกลายเป็นว่า ประเด็นที่นำไปสู่การแตกแยกกันในฐานของศาสนาและปลีกย่อยของศาสนาเป็นเรื่องที่เป็นวิชาความรู้และเป็นการมีความเข้าใจในศาสนาไปเสียแทน และกลายเป็นว่า การสามัคคีร่วมกันในศาสนานั้น เป็นประเด็นที่มีเฉพาะพวกนอกรีตหรือไม่ก็คนบ้าเท่านั้นที่พูดถึง

 

 

 หลักการที่สาม

 

     ส่วนหนึ่งของการเป็นปึกแผ่นกันอย่างสมบูรณ์คือ การเชื่อฟังต่อผู้ที่ทำหน้าที่ปกครองพวกเรา แม้ว่าเขาคนนั้นจะเป็นทาสชาวเอธิโอเปียก็ตาม

     อัลลอฮฺได้ทรงชี้แจงหลักการนี้ไว้แล้วอย่างชัดเจนและเพียงพอด้วยหลากหลายรูปแบบของการชี้แจง ทั้งในรูปของการให้ข้อมูลและข้อกำหนดเชิงบทบัญญัติและในรูปของการกำหนดให้เรื่องราวเกิดขึ้นและเป็นไปอย่างสอดคล้องกับหลักการนี้ในเชิงของการกำหนดสภาวการณ์

     แต่แล้วกลับกลายเป็นว่าหลักการนี้ไม่เป็นที่รู้จักในหมู่คนส่วนใหญ่ที่อ้างว่าตนมีความรู้ ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้จะมีการทำตามหลักการนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?

 

 

 หลักการที่สี่

 

     ข้อชี้แจงให้รู้จักกับความรู้และบรรดาผู้มีความรู้ ให้รู้จักกับความเข้าใจในศาสนาและบรรดาผู้ที่มีความเข้าใจในศาสนา และข้อชี้แจงให้รู้จักกับผู้ที่แกล้งทำตัวเลียนแบบผู้รู้เหล่านั้น ทั้งๆที่พวกตนไม่ใช่

     อัลลอฮฺทรงชี้แจงหลักการนี้ไว้ในช่วงต้นของซูเราะฮ์อัลบะเกาะเราะฮ์ จากคำตรัสของพระองค์ที่ว่า:

 

(يَا بَنِي إِسْرَائِيلَ اذْكُرُوا نِعْمَتِيَ الَّتِي أَنْعَمْتُ عَلَيْكُمْ وَأَوْفُوا بِعَهْدِي أُوفِ بِعَهْدِكُمْ وَإِيَّايَ فَارْهَبُونِ )

 

“เหล่าทายาทของอิสรออีล พวกเจ้าจงสำนึกในความโปรดปราณของข้าที่ข้าได้เมตตาต่อพวกเจ้าไว้

และจงรักษาสัญญาของข้า ข้าก็จะรักษาสัญญาของพวกเจ้า และจงหวาดเกรงต่อเฉพาะข้าเท่านั้น”

     ไปจนถึงคำตรัสของพระองค์ที่ว่า:

 

(يَا بَنِي إِسْرَائِيلَ اذْكُرُوا نِعْمَتِيَ الَّتِي أَنْعَمْتُ عَلَيْكُمْ وَأَنِّي فَضَّلْتُكُمْ عَلَى الْعَالَمِينَ)

 

“เหล่าทายาทของอิสรออีล พวกเจ้าจงสำนึกในความโปรดปราณของข้าที่ข้าได้เมตตาต่อพวกเจ้าไว้

ข้านี้ได้ทำให้พวกเจ้ามีเกียรติเหนือหมู่ชนอื่นๆ ทั้งหมด”

 

     อีกทั้ง ข้อมูลที่ซุนนะฮฺระบุไว้อย่างชัดเจนซึ่งเป็นคำพูดที่มีอยู่อย่างมากมายและมีความกระจ่างชัดแม้แต่แก่คนธรรมดาๆ ที่เข้าใจอะไรยากก็ตาม ก็ยิ่งทำให้หลักการนี้ชัดเจนขึ้น

     แต่แล้วหลักการนี้กลับกลายเป็นสิ่งที่ดูแปลกหน้าไปเสียได้ กลายเป็นว่าความรู้และความเข้าใจในศาสนานั้นได้แก่ เรื่องที่เป็นบิดอะฮ์และเรื่องต่างๆที่มันหลุดออกจากหนทางที่ถูกต้องทั้งหลายเสียแทน

     ซึ่งอุปกรณ์ที่ดีที่สุดที่คนพวกนั้นมีก็คือ การเอาความเท็จมาสวมให้ความจริง จนกลายเป็นว่า วิชาความรู้ที่อัลลอฮฺทรงกำหนดให้เป็นหน้าที่จำเป็นสำหรับมวลมนุษย์และได้ทรงให้การสรรเสริญเอาไว้ เป็นข้อมูลที่มีเฉพาะคนนอกรีตและคนบ้าเท่านั้นที่เอ่ยมันออกมา ส่วนคนที่ปฏิเสธ ตั้งตนเป็นอริ ออกมาเขียนหนังสือเตือนให้ออกห่างจากข้อมูลนี้และห้ามปรามข้อมูลนี้กลับกลายเป็นว่าเขาเป็นผู้ที่มีความเข้าใจในศาสนา เป็นผู้รู้ไปเสียแทน

 

 

 หลักการที่ห้า

 

     การชี้แจงของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮู เกี่ยวกับบรรดาบุคคลสนิทของพระองค์ (บรรดาวะลี) และการแยกแยะของพระองค์ระหว่างพวกท่านเหล่านั้นกับพวกที่ทำตัวเลียนแบบให้หลงเข้าใจไปว่าเป็นพวกท่าน จากพวกที่เป็นศัตรูของอัลลอฮฺ เป็นมุนาฟิกีนและเป็นคนชั่ว

     และข้อมูลที่นับว่าเพียงพอสำหรับการชี้แจงประเด็นนี้ก็ได้แก่ อายะฮ์หนึ่งในซูเราะฮ์อาลิอิมรอน นั่นคือคำตรัสของพระองค์ที่ว่า:

 

(قُلْ إِن كُنتُمْ تُحِبُّونَ اللَّهَ فَاتَّبِعُونِي يُحْبِبْكُمُ اللَّهُ)

 

“จงพูดไปว่า ถ้าพวกคุณรักอัลลอฮฺกัน พวกคุณก็จงดำเนินตามฉัน อัลลลอฮฺก็จะทรงรักพวกคุณ”

 

     และอีกอายะฮ์หนึ่งในซูเราะฮ์อัลมาอิดะฮ์ ซึ่งได้แก่ดำรัสของพระองค์ที่ว่า:

 

(يَا أَيُّهَا الَّذِينَ آمَنُوا مَن يَرْتَدَّ مِنكُمْ عَن دِينِهِ فَسَوْفَ يَأْتِي اللَّهُ بِقَوْمٍ يُحِبُّهُمْ وَيُحِبُّونَهُ)

 

“ผู้ศรัทธาทั้งหลาย ใครก็ตามในพวกเจ้าที่ถอยหลังขยับออกจากศาสนาของตน

อัลลอฮฺก็จะทรงนำคนกลุ่มอื่นมาแทนที่ ซึ่งพระองค์ทรงรักพวกเขาและพวกเขาก็รักพระองค์”

 

     และอีกอายะฮ์หนึ่งในซูเราะฮ์ยูนุสซึ่งได้แก่ดำรัสของพระองค์ที่ว่า:

 

(أَلَا إِنَّ أَوْلِيَاءَ اللَّهِ لَا خَوْفٌ عَلَيْهِمْ وَلَا هُمْ يَحْزَنُونَ، الَّذِينَ آمَنُوا وَكَانُوا يَتَّقُونَ)

 

     “รู้ไว้ด้วยว่า บรรดาบุคคลสนิทของอัลลอฮฺนั้น ไม่มีความกลัวใดๆทั้งสิ้น จะเข้ามาเล่นงานพวกเขา

     และพวกเขาจะไม่เศร้าเสียใจ คือ บรรดาคนที่ศรัทธาและพวกเขามีลักษณะยำเกรงนั่นเอง”

 

     แต่แล้วประเด็นนี้ในมุมของคนส่วนมากที่อ้างว่ามีความรู้ และอ้างว่าเป็นพวกที่คอยชี้แจงความถูกต้องให้ผู้คน เป็นพวกที่ทำหน้าที่พิทักษ์บัญญัติศาสนาเอาไว้  กลับกลายเป็นว่า พวกที่เป็นบุคคลสนิทของพระเจ้า(วะลี)นั้น พวกเขาจำเป็นจะต้องมีลักษณะของการละทิ้งการดำเนินตามบรรดาร่อซู้ลเอาไว้ในตัว ถ้าใครดำเนินตามบรรดาร่อซู้ลเขาก็ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของบรรดาบุคคลเหล่านั้น 

     อีกทั้งพวกเขาจำเป็นจะต้องละทิ้งการญิฮาด ถ้าใครญิฮาดเขาก็ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของบรรดาบุคคลเหล่านั้น และพวกเขายังจำเป็นจะต้องละทิ้งการศรัทธาและการมีความยำเกรง ถ้าใครพยายามรักษาการมีศรัทธาและการมีความยำเกรงเอาไว้เขาก็ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของบรรดาบุคคลเหล่านั้น

     โอ้พระเจ้าของเรา ! เราขอวิงวอนต่อพระองค์ ให้โปรดประทานอภัยและความปลอดภัยให้ด้วยเถิด แท้จริงพระองค์ทรงได้ยินคำวิงวอน

 

 

หลักการที่หก

 

     การตอบโต้ข้ออ้างที่ชัยฏอนวางไว้ เพื่อให้ผู้คนละทิ้งอัลกุรอานและซุนนะฮฺและหันไปตามความคิดเห็นและอารมณ์ที่มีความแตกต่างและหลากหลาย ซึ่งข้ออ้างที่ว่าก็คือ อัลกุรอานและซุนนะฮฺนั้นไม่มีใครเข้าใจได้นอกจากคนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญพิเศษเท่านั้น(มุจตะฮิดมุตลัก) 

     ซึ่งหมายถึงบุคคลที่มีลักษณะแบบนั้นแบบนี้ อันเป็นคุณสมบัติที่เป็นไปได้ว่าไม่มีอยู่อย่างครบถ้วนที่ตัวท่านอบูบักรและท่านอุมัรเลยด้วยซ้ำ ดังนั้น ถ้าหากผู้ใดไม่ได้เป็นอย่างที่ว่าไว้ก็จำเป็นอย่างเด็ดขาดที่เขาจะต้องหันห่างออกจากอัลกุรอานและซุนนะฮฺอย่างไม่ต้องสงสัยและไม่เป็นปัญหาใดๆ อีกด้วย 

     ส่วนใครก็ตามที่เข้าไปหาทางที่ถูกต้องจากอัลกุรอ่านและซุนนะฮฺ เขาคนนั้นถ้าไม่เป็นพวกนอกรีตก็เป็นคนบ้า เนื่องจากความยากลำบากที่มีอยู่ในการจะสามารถเข้าใจอัลกุรอ่านและซุนนะฮฺได้นั่นเอง

อัลลอฮฺทรงบริสุทธิ์ยิ่งนักและด้วยการสรรเสริญแด่พระองค์

 

          ตั้งมากมายเท่าไรแล้วที่อัลลอฮฺได้ทรงชี้แจงไว้อย่างชัดเจน ทั้งในเชิงบทบัญญัติและในเชิงกฏสภาวการณ์ และทั้งในเชิงของการสร้างและในเชิงของการออกคำสั่งต่างๆ เพื่อตอบโต้ข้ออ้างที่โดนแช่งให้อยู่ห่างไกลจากพระเมตตาของพระองค์ ข้ออ้างนี้ไว้ในหลากหลายมุม จนกระทั่งเป็นการชี้แจงที่บรรลุระดับของข้อเท็จจริงอันชัดแจ้งที่คนโดยทั่วกันไม่อาจปฏิเสธได้  แต่แล้วผู้คนส่วนมากกลับไม่รู้

 

 (لَقَدْ حَقَّ الْقَوْلُ عَلَى أَكْثَرِهِمْ فَهُمْ لَا يُؤْمِنُونَ)

 

“คำพูดนั้นได้เป็นจริงแล้วต่อส่วนมากของพวกเขา ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่ยอมศรัทธากัน”

 

(إِنَّا جَعَلْنَا فِي أَعْنَاقِهِمْ أَغْلَالًا فَهِيَ إِلَى الْأَذْقَانِ فَهُمْ مُقْمَحُونَ)

 

“เราได้ทำให้ที่คอของพวกเขามีตรวนล่ามไว้ มันค้ำไปถึงคางของพวกเขา

พวกเขาจึงเป็นพวกที่หัวเชิดขึ้นแต่สายตามองต่ำลงมา”

 

(وَجَعَلْنَا مِن بَيْنِ أَيْدِيهِمْ سَدًّا وَمِنْ خَلْفِهِمْ سَدًّا فَأَغْشَيْنَاهُمْ فَهُمْ لَا يُبْصِرُونَ)

 

“และเราได้ทำให้ข้างหน้าของพวกเขามีกำแพงปิดกั้นไว้ และข้างหลังของพวกเขาก็มีกำแพงปิดกั้นไว้

จากนั้นเราได้คลุมปิดพวกเขาไว้ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงมองไม่เห็น”

 

(وَسَوَاءٌ عَلَيْهِمْ أَأَنذَرْتَهُمْ أَمْ لَمْ تُنذِرْهُمْ لَا يُؤْمِنُونَ)

 

“มันเท่ากันสำหรับพวกเขา ไม่ว่าเจ้าจะเตือนพวกเขาแล้วหรือไม่ก็ตาม พวกเขาก็ไม่ศรัทธาอยู่ดี”

 

(إِنَّمَا تُنذِرُ مَنِ اتَّبَعَ الذِّكْرَ وَخَشِيَ الرَّحْمَـٰنَ بِالْغَيْبِ فَبَشِّرْهُ بِمَغْفِرَةٍ وَأَجْرٍ كَرِيمٍ)

 

     “คนที่เจ้าจะเตือนได้นั้น มีเฉพาะคนที่ดำเนินตามคำเตือนสตินี้และยำเกรงต่อพระผู้ทรงเมตตาทั้งๆที่อยู่เหนือญาณวิสัย

     ดังนั้น จงแจ้งข่าวดีแก่เขาไปเกี่ยวกับการอภัยโทษและผลตอบแทนอันมีเกียรติ”

 

จบบริบูรณ์

     ขอสดุดีแด่อัลลอฮ์ พระเจ้าแห่งสากลโลก และขอพรและความสันติจงประสบแด่ท่านนบีมุฮัมหมัด วงศ์วาน และบรรดาสหายของท่าน อย่างมากมาย จนถึงวันแห่งการตอบแทน