วันอาชูรออ์ ข้อคิดและบทเรียน
อ.อับดุลวาเฮด สุคนธา
พี่น้องผู้ศรัทธาที่เคารพรักทั้งหลาย โลกนี้หมุนเวียนไปตามวัฏจักรของมัน และวันเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งเดือนมุหัรร็อม เดือนของอัลลอฮ์ได้เวียนกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับวันอาชูรออันยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นหนึ่งในวันของอัลลอฮ์ผู้ทรงบารอกะฮ์ เป็นวันที่ความจริงได้ปรากฏอย่างทรงเกียรติ และความเท็จถูกทำลายลงอย่างน่าอัปยศ เป็นวันที่อัลลอฮ์ทรงลงโทษแก่ผู้กระทำอธรรม และทรงให้ชัยแก่ผู้ถูกอธรรม เป็นวันที่อัลลอฮ์ทรงช่วยเหลือท่านนบีมูซา อะลัยฮิสสลาม และบรรดาผู้ศรัทธาที่อยู่กับท่าน ให้รอดพ้นจากภัยของฟิรเอาน์ผู้ทรราช และพวกของเขาที่อธรรม
เรื่องราวของมูซาและฟิรเอาน์นั้นเป็นอุทาหรณ์อันยิ่งใหญ่ เต็มไปด้วยบทเรียนอันทรงคุณค่า ซึ่งชื่อของท่านนบีมูซา ถูกกล่าวถึงในอัลกุรอานมากกว่า 130 ครั้ง และเรื่องราวของท่านก็ถูกกล่าวถึงถึง 22 ครั้ง เพื่อให้ผู้ศรัทธาได้ใคร่ครวญและนำบทเรียนเหล่านั้นมาเป็นแนวทางในชีวิต
เรื่องราวนี้ได้นำเสนอทั้งสภาพของผู้กดขี่ ทรราช ผู้ทำลายและก่อความเสียหาย กับสภาพของผู้ศรัทธา ผู้มีเจตนาดี ผู้ถูกกดขี่และถูกประหัตประหาร และได้แสดงถึงจุดจบของทั้งสองฝ่าย
อัลลอฮ์ ตรัสว่า
نَتۡلُواْ عَلَيۡكَ مِن نَّبَإِ مُوسَىٰ وَفِرۡعَوۡنَ بِٱلۡحَقِّ لِقَوۡم يُؤۡمِنُونَ
“เราจะอ่าน แก่เจ้า บางส่วนแห่งเรื่องราวของมูซาและฟิรเอานฺด้วยความจริง เพื่อหมู่ชนผู้ศรัทธา”
(ซูเราะฮ์ ฮูด 120)
อัลลอฮ์ ตรัสว่า
إِنَّ فِرْعَوْنَ عَلَا فِي الْأَرْضِ وَجَعَلَ أَهْلَهَا شِيَعًا يَسْتَضْعِفُ طَائِفَةً مِنْهُمْ يُذَبِّحُ أَبْنَاءَهُمْ وَيَسْتَحْيِي نِسَاءَهُمْ إِنَّهُ كَانَ مِنَ الْمُفْسِدِينَ *
“แท้จริงฟิรเอานฺหยิ่งผยองในแผ่นดิน และทำให้ประชาชนนั้นแตกแยกเป็นกลุ่ม ๆ เขาทำให้ชนกลุ่มหนึ่งในพวกเขาอ่อนแอ โดยฆ่าลูกหลานผู้ชายของพวกเขาและไว้ชีวิตเหล่าสตรีของพวกเขา แท้จริงเขาเป็นผู้หนึ่งในหมู่ผู้บ่อนทำลาย”
وَنُرِيدُ أَنْ نَمُنَّ عَلَى الَّذِينَ اسْتُضْعِفُوا فِي الْأَرْضِ وَنَجْعَلَهُمْ أَئِمَّةً وَنَجْعَلَهُمُ الْوَارِثِينَ *
“และเราปรารถนาที่จะให้ความโปรดปรานแก่บรรดาผู้ที่อ่อนแอในแผ่นดิน และเราจะทำให้พวกเขาเป็นหัวหน้า และทำให้พวกเขาเป็นผู้รับมรดก”
وَنُمَكِّنَ لَهُمْ فِي الْأَرْضِ وَنُرِيَ فِرْعَوْنَ وَهَامَانَ وَجُنُودَهُمَا مِنْهُمْ مَا كَانُوا يَحْذَرُونَ ﴾
“และเราได้ให้พวกเขาครอบครองในแผ่นดิน และเราจะให้ฟิรเอานฺและฮามานตลอดจนไพร่พลของเขาทั้งสอง ได้เห็นสิ่งที่พวกเขามีความกลัว”
(ซูเราะฮ์ อัลเกาะศ็อศ 4-6)
มันคือเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ที่กล่าวถึงศรัทธาและการปฏิเสธ ความลำบากและทางออก ความทุกข์และความสุข เรื่องราวที่เต็มไปด้วยประโยชน์ บทเรียน และข้อเตือนใจ
หนึ่งในบทเรียนแรก ๆ จากเรื่องราวอันยิ่งใหญ่นี้ คือ ผู้ศรัทธาควรพิจารณาและใคร่ครวญต่อบรรดาโองการของอัลลอฮ์ในอัลกุรอานโองการของพระองค์ที่ปรากฏในจักรวาล และโองการที่เห็นได้จากเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต เพื่อจะได้เรียนรู้และนำมาสอนใจ
ดังที่อัลลอฮ์ตรัสไว้ว่า:
﴿ لَقَدْ كَانَ فِي قَصَصِهِمْ عِبْرَةٌ لِأُولِي الْأَلْبَابِ مَا كَانَ حَدِيثًا يُفْتَرَى وَلَكِنْ تَصْدِيقَ الَّذِي بَيْنَ يَدَيْهِ وَتَفْصِيلَ كُلِّ شَيْءٍ وَهُدًى وَرَحْمَةً لِقَوْمٍ يُؤْمِنُونَ ﴾
“โดยแน่นอนยิ่ง ในเรื่องราวของพวกเขา เป็นบทเรียนสำหรับบรรดาผู้มีสติปัญญา มิใช่เป็นเรื่องราวที่ถูกปั้นแต่งขึ้น
แต่ว่าเป็นการยืนยันความจริงที่อยู่ต่อหน้าเขา และเป็นการแจกแจงทุกสิ่งทุกอย่าง และเป็นการชี้ทางที่ถูกต้อง และเป็นการเมตตาแก่หมู่ชนผู้ศรัทธา”
(ยูซุฟ: 111)
และพระองค์ผู้ทรงบรมเกียรติได้ประทานคัมภีร์ของพระองค์ลงมา เพื่อให้มนุษย์พินิจพิเคราะห์ในโองการของมัน:
( كِتَابٌ أَنْزَلْنَاهُ إِلَيْكَ مُبَارَكٌ لِيَدَّبَّرُوا آيَاتِهِ وَلِيَتَذَكَّرَ أُولُو الْأَلْبَابِ )
“คัมภีร์ (อัลกุรอาน) เราได้ประทานลงมาให้แก่เจ้าซึ่งมีความจำเริญ เพื่อพวกเขาจะได้พินิจพิจารณาอายาตต่าง ๆ ของอัลกุรอานและ เพื่อปวงผู้มีสติปัญญาจะได้ใคร่ครวญ”
(ศอด: 29)
และพระองค์ยังตรัสอีกว่า:
وَكُلّٗا نَّقُصُّ عَلَيۡكَ مِنۡ أَنۢبَآءِ ٱلرُّسُلِ مَا نُثَبِّتُ بِهِۦ فُؤَادَكَۚ وَجَآءَكَ فِي هَٰذِهِ ٱلۡحَقُّ وَمَوۡعِظَةٞ وَذِكۡرَىٰ لِلۡمُؤۡمِنِينَ
“และทั้งหมดนี้เราได้บอกเล่าแก่เจ้า จากเรื่องราวของบรรดาร่อซูล เพื่อทำให้จิตใจของเจ้าหนักแน่น และได้มายังเจ้าแล้วใน (เรื่องราวเหล่า) นี้
ซึ่งความจริงและข้อตักเตือน และข้อรำลึกสำหรับผู้ศรัทธาทั้งหลาย”
(ฮูด: 120)
ข้อที่หนึ่ง การห้ามการอธรรมในทุกรูปแบบ พร้อมทั้งการชี้ถึงความชั่วร้ายและบทสรุปอันเลวร้ายของมัน
อิหม่ามมุสลิมได้บันทึกในเศาะเฮี๊ยะของท่าน จากอบูซัร รอฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ท่านนบี ﷺ ได้ถ่ายทอดสิ่งที่อัลลอฮ์ ตรัสว่า:
(يَا عِبَادِي إِنِّي حَرَّمْتُ الظُّلْمَ عَلَى نَفْسِي، وَجَعَلْتُهُ بَيْنَكُمْ مُحَرَّمًا فَلَا تَظَالَمُوا)
“โอ้บ่าวทั้งหลายของข้า แท้จริงข้าได้ห้ามการอธรรมไว้แก่ตัวข้าเอง และข้าได้ทำให้มันเป็นสิ่งต้องห้ามระหว่างพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่ากระทำอธรรมต่อกัน”
อบูอิดรีส อัลเคาลานีย์ เราะหิมะฮุลลอฮ์ เมื่อนำเสนอหะดีษบทนี้ ท่านถึงกับทรุดลงนั่งคุกเข่าด้วยความกลัวต่อสิ่งที่ปรากฏในหะดีษนี้
ข้อที่สอง ไม่สมควรอย่างยิ่งที่บ่าวของอัลลอฮ์จะหลงลำพองเพราะความเมตตาและการผ่อนผันของอัลลอฮ์ที่มีต่อเขา
เพราะบางครั้งความรู้สึกปลอดภัยในขณะที่ทำบาปหรือความอธรรมต่อตนเองและผู้อื่น อาจเป็นเพียงการ “ล่อลวง” จากอัลลอฮ์เท่านั้น จนเมื่อถึงเวลาที่พระลิขิตได้ถูกกำหนดไว้แล้ว อัลลอฮ์ก็จะลงโทษเขาตามสิ่งที่เขาได้ทำไว้ โดยที่เขาจะไม่พบผู้ปกป้องหรือช่วยเหลือใด ๆ นอกจากพระองค์
อัลลอฮ์ ตรัสว่า
﴿ أَنَا رَبُّكُمُ الْأَعْلَى ﴾ [النازعات: 24]
“แล้วกล่าวว่า ฉันคือพระเจ้าสูงสุดของพวกท่าน”
﴿ مَا عَلِمْتُ لَكُمْ مِنْ إِلَهٍ غَيْرِي ﴾ [القصص: 38]،
“ฉันไม่เคยรู้จักพระเจ้าอื่นใดของพวกท่านนอกจากฉัน”
إنَّ اللَّهَ لَيُمْلِي لِلظّالِمِ، حتَّى إذا أخَذَهُ لَمْ يُفْلِتْهُ.
“แท้จริงอัลลอฮ์ จะประวิงเวลาให้กับผู้ที่อธรรม แล้วเมื่อพระองค์จัดการกับเขา พระองค์จะไม่ให้เขาเล็ดลอดไปได้”
{وَكَذَلِكَ أَخْذُ رَبِّكَ إِذَا أَخَذَ الْقُرَى وَهِيَ ظَالِمَةٌ إِنَّ أَخْذَهُ أَلِيمٌ شَدِيدٌ} [هود: 102] .
“และเช่นนี้แหละคือการลงโทษของพระเจ้าของเจ้า เมื่อพระองค์ทรงลงโทษหมู่บ้านซึ่งเป็นหมู่บ้านที่อธรรม
แท้จริงการลงโทษของพระองค์นั้นเจ็บแสบสาหัส”
อัลลอฮ์ทรงผ่อนผันแก่ฟิรเอาน์ผู้ทรราชถึง สี่สิบปี และเมื่อการอธรรมของเขาได้ถึงขีดสุด การกระทำของเขาถูกมองว่างดงามในสายตาของเขาเอง และเขาถูกเบี่ยงเบนออกจากทางที่ถูกต้อง จนเขาได้ประกาศว่า:
﴿ وَنَادَى فِرْعَوْنُ فِي قَوْمِهِ قَالَ يَا قَوْمِ أَلَيْسَ لِي مُلْكُ مِصْرَ وَهَذِهِ الْأَنْهَارُ تَجْرِي مِنْ تَحْتِي أَفَلَا تُبْصِرُونَ ﴾،
“และฟิรเอานฺได้ประกาศท่ามกลางหมู่ชนของเขา เขากล่าวว่า
หมู่ชนของฉันเอ๋ย อาณาจักรแห่งอียิปต์นี้มิได้เป็นของฉันดอกหรือ และแม่น้ำเหล่านี้ไหลผ่านเบื้องล่าง (วังของ) ฉันพวกท่านไม่เห็นดอกหรือ”
อัลลอฮ์ ตรัสว่า
﴿ فَأَخَذْنَاهُ وَجُنُودَهُ فَنَبَذْنَاهُمْ فِي الْيَمِّ فَانْظُرْ كَيْفَ كَانَ عَاقِبَةُ الظَّالِمِينَ ﴾ [القصص: 40]
“ดังนั้น เราได้ลงโทษเขาและไพร่พลของเขา เราได้โยนพวกเขาลงไปในทะแล แล้วจงพิจารณาเถิด บั้นปลายของพวกอธรรมเป็นเช่นไร”
อัลลอฮ์ ตรัสว่า
﴿ وَلَا تَحْسَبَنَّ اللَّهَ غَافِلًا عَمَّا يَعْمَلُ الظَّالِمُونَ إِنَّمَا يُؤَخِّرُهُمْ لِيَوْمٍ تَشْخَصُ فِيهِ الْأَبْصَارُ ﴾ [إبراهيم: 42].
“และเจ้าอย่าคิดว่าอัลลอฮฺทรงละเลยต่อสิ่งที่พวกอธรรมปฏิบัติ แท้จริงพระองค์ทรงประวิงเวลา ให้พวกเขาจนถึงวันที่สายตาเงยจ้องไม่กระพริบ (วันกิยามะฮฺ)”
ข้อที่สาม อย่าสิ้นหวังท่ามกลางความชั่วร้าย
ความเท็จอาจดูเหมือนแผ่ขยาย โอ้อวด และเติบโตขึ้น จนผู้คนมากมายเริ่มสิ้นหวังในความเปลี่ยนแปลงแต่อัลกุรอาน โดยเฉพาะผ่านเรื่องราวอันยิ่งใหญ่นี้ (มูซากับฟิรเอาน์) ได้สอนเราว่า อย่าสิ้นหวังและอย่าท้อแท้
อัลลอฮ์ ตรัสว่า
﴿ حَتَّى إِذَا اسْتَيْأَسَ الرُّسُلُ وَظَنُّوا أَنَّهُمْ قَدْ كُذِبُوا جَاءَهُمْ نَصْرُنَا فَنُجِّيَ مَنْ نَشَاءُ وَلَا يُرَدُّ بَأْسُنَا عَنِ الْقَوْمِ الْمُجْرِمِينَ ﴾ [يوسف: 110]،
“จนกระทั่งเมื่อบรรดาร่อซูลหมดหวัง และคิดว่าพวกเขา(มุชริกีน) ปฏิเสธศรัทธา แล้วการช่วยเหลือของเราได้มายังพวกเขา ดังนั้นผู้ที่เราประสงค์(บรรดาร่อซูลและบรรดามุอฺมิน) ก็ถูกช่วยเหลือให้รอด และการลงโทษของเราจะไม่ถูกผลักออกจากหมู่ชนผู้กระทำผิด”
ดังนั้น แม้ว่าความเท็จจะดูเหมือนครอบงำ เสียงของมันดังขึ้น แต่ความจริงย่อมสูงส่งและเข้มแข็งกว่า มองเห็นได้ชัดกว่า และคงอยู่ยั่งยืนกว่า และอัลลอฮ์จะทรงให้ชัยชนะแก่ความจริง ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว เพราะบทสรุปอันดีงาม ย่อมเป็นของบรรดาผู้ยำเกรงเสมอ
ข้อที่สี่ การเยาะเย้ยผู้ศรัทธาและผู้ประพฤติดี
เป็นนิสัยเก่าแก่ของผู้สร้างความเสียหายทั้งหลาย เป็นกลอุบายอันต่ำต้อยที่ใช้เพื่อบิดเบือนภาพลักษณ์ของคนดีในสายตาของสังคม จุดมุ่งหมายแท้จริงคือการขัดขวางผู้คนจากหนทางของอัลลอฮ์ มูซา อะลัยฮิสสลาม มีลักษณะลิ้นติดขัด พูดไม่ชัด ฟิรเอาน์จึงเอามาเยาะเย้ย โดยกล่าวว่า:
﴿ أَمْ أَنَا خَيْرٌ مِنْ هَذَا الَّذِي هُوَ مَهِينٌ وَلَا يَكَادُ يُبِينُ ﴾ [آل عمران: 141]،
“ยิ่งกว่านั้นฉันยังดีกว่าคนนี้ (มูซา) ซึ่งเขาต่ำต้อยและแทบจะพูดจาไม่ชัดถ้อยชัดคำ”
ข้อที่ห้า เรื่องราวนี้ยังสอนให้เรารู้จักสร้างความหวัง และเฝ้ารอแสงสว่างแม้ท่ามกลางความมืด
สอนให้เรามีความหวังว่าจะมีสิ่งดีออกมาจากใจกลางของความชั่วร้าย และมีทางรอดแม้ในท่ามกลางวิกฤต เพราะในทุกบททดสอบมักซ่อนความเมตตาเอาไว้ และในทุกความเจ็บปวดมีความหวัง ในทุกภัยพิบัติยังมีของขวัญ
อัลลอฮ์ ตรัสว่า
﴿ وَعَسَى أَنْ تَكْرَهُوا شَيْئًا وَهُوَ خَيْرٌ لَكُمْ وَعَسَى أَنْ تُحِبُّوا شَيْئًا وَهُوَ شَرٌّ لَكُمْ وَاللَّهُ يَعْلَمُ وَأَنْتُمْ لَا تَعْلَمُونَ ﴾ [البقرة: 216]
“ทั้งๆ ที่มันเป็นที่รังเกียจแก่พวกเจ้า และอาจเป็นไปได้ว่า การที่พวกเจ้าเกลียดสิ่งหนึ่งทั้งๆ ที่สิ่งนั้นเป็นสิ่งดีแก่พวกเจ้า
และก็อาจเป็นไปได้ว่าการที่พวกเจ้าชอบสิ่งหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่สิ่งนั้นเป็นสิ่งเลวร้ายแก่พวกเจ้า และอัลลอฮ์นั้นทรงรู้ดี แต่พวกเจ้าไม่รู้”
ข้อที่หก รู้จักขอบคุณต่ออัลลอฮฺเมื่อได้รับการช่วยเหลือจากพระองค์
ท่านมูซาได้ถือศีลอดเพื่อเป็นการขอบคุณต่ออัลลอฮฺ ที่พระองค์ทรงให้เขาและผู้ที่อยู่กับเขารอดพ้น และที่พระองค์ทรงให้ฟิรเอานและกองทัพของเขาจมน้ำ แล้วท่านนบีมุฮัมมัด ﷺ ก็ได้ยึดถือแนวทางของเขา (คือท่านมูซา) ในการถือศีลอดเพื่อขอบคุณอัลลอฮฺเช่นกัน
มีรายงานจากอิบนิ อับบ๊าส ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุมากล่าวว่า
عَنْ ابْنِ عَبَّاسٍ رَضِيَ اللَّهُ عَنْهُمَا قَالَ قَدِمَ النَّبِيُّ صَلَّى اللَّهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ الْمَدِينَةَ فَرَأَى الْيَهُودَ تَصُومُ يَوْمَ عَاشُورَاءَ فَقَالَ مَا هَذَا ؟ قَالُوا : هَذَا يَوْمٌ صَالِحٌ ، هَذَا يَوْمٌ نَجَّى اللَّهُ بَنِي إِسْرَائِيلَ مِنْ عَدُوِّهِمْ فَصَامَهُ مُوسَى، قَالَ فَأَنَا أَحَقُّ بِمُوسَى مِنْكُمْ فَصَامَهُ وَأَمَرَ بِصِيَامِهِ
“เมื่อท่านร่อซูล อพยพมาถึงมะดีนะฮฺ ท่านได้เห็นพวกยิวถือศีลอดในวันอาชูรอ ท่านร่อซูลลุลลอฮฺ จึงถามพวกยิวว่า วันนี้เป็นวันอะไร ?
พวกยิวตอบว่า วันนี้เป็นวันที่ดีและวันที่อัลลอฮฺทรงให้ชาวอิสรออีล รอดพ้นจากศัตรู (หมายถึงฟิรอูนหรือฟาโรห์) และต่อมาท่านนบีมูซาก็ได้ถือศีลอดในวันนั้น
ท่านร่อซูล จึงกล่าวว่า : ฉันนั้น สมควรสำหรับท่านนบีมูซายิ่งกว่าพวกเจ้า (หมายถึงท่านร่อซูล มีสิทธิที่จะถือศีลอดนี้ยิ่งกว่าพวกชาวอิสรออีลเสียอีก) ดังนั้น ท่านนบี ก็ถือศีลอดวันอาชูรอ และกำชับให้มุสลิมถือศีลอดในวันอาชูรออีกด้วย”
(บันทึกโดย อิมามอัลบุคอรีย์และมุสลิม)
ข้อที่เจ็ด แก่นแท้ของเรื่องนี้คือ “ความเชื่อมั่นต่ออัลลอฮ์” ซึ่งเป็นคุณลักษณะของผู้ศรัทธาอย่างแท้จริง
เมื่อผู้ศรัทธายกระดับความเชื่อมั่นของตนในพระเจ้า เชื่อว่าอัลลอฮ์คือพระผู้ทรงอภิบาล ศาสนาอิสลามคือทางนำ และมุฮัมมัด ﷺ คือศาสนทูต ท่านผู้นั้นจะมีศรัทธาที่มั่นคงในหัวใจว่า ทุกเรื่องราวอยู่ภายใต้การควบคุมของอัลลอฮ์ และพระองค์คือผู้ให้ชัยชนะ และต้องขอบคุณต่อพระองค์
อัลลอฮ์ ตรัสว่า
﴿ فَلَمَّا تَرَاءَى الْجَمْعَانِ قَالَ أَصْحَابُ مُوسَىٰ إِنَّا لَمُدْرَكُونَ ﴾ [الشعراء: 61]؛
“ครั้นเมื่อแต่ละฝ่ายได้มองเห็นกัน พวกพ้องของมูซาได้กล่าวว่า “แท้จริงเราถูกตามทันแล้ว”
พวกเขากล่าวกับมูซา: โอ้ศาสนทูตของอัลลอฮ์ ที่ตรงนี้เองหรือที่พระเจ้าสั่งให้เรามาหยุด?
นบีมูซาตอบว่า: ใช่
อัลลอฮ์ ตรัสว่า
﴿ كَلَّا إِنَّ مَعِيَ رَبِّي سَيَهْدِينِ ﴾ [الشعراء: 62]،
"เขา (มูซา) ได้กล่าวว่า “ไม่หรอก แท้จริงพระเจ้าของฉันทรงอยู่กับฉัน พระองค์ทรงชี้แนะทางแก่ฉัน
فَأَوْحَيْنَا إِلَىٰ مُوسَىٰ أَنِ اضْرِب بِّعَصَاكَ الْبَحْرَ ۖ فَانفَلَقَ فَكَانَ كُلُّ فِرْقٍ كَالطَّوْدِ الْعَظِيمِ
ดังนั้นเราได้ดลใจมูซาว่า “จงฟาดทะเลด้วยไม้เท้าของเจ้า” แล้วมันก็ได้แยกออก แต่ละข้างมีสภาพเหมือภูเขาใหญ่
وَأَزْلَفْنَا ثَمَّ الْآخَرِينَ وَأَنجَيْنَا مُوسَىٰ وَمَن مَّعَهُ أَجْمَعِينَ ثُمَّ أَغْرَقْنَا الْآخَرِينَ
“และเราได้ให้พวกอื่น ให้เข้ามาใกล้ ณ ที่นั้น และเราได้ให้มูซาและผู้ที่อยู่ร่วมกับเขาทั้งหมดรอดพ้นไป และเราได้ให้พวกอื่น จมน้ำตาย”
إِنَّ فِي ذَٰلِكَ لَآيَةً ۖ وَمَا كَانَ أَكْثَرُهُم مُّؤْمِنِينَ
“แท้จริงในการนั้นเป็นสัญญาณอย่างแน่นอน แต่ส่วนมากของพวกเขาไม่เป็นผู้ศรัทธา”
(อัชชุอะรอ: 63–67)