การอ้างอิงบทความวิชาการ
อ.อิสหาก พงษ์มณี ....แปลเรียบเรียง
แม้จะมีเจตนาดีก็ถือว่าไม่อนุญาตตามหลักศาสนาอิสลาม เพราะอิสลามห้ามการละเมิดสิทธิ์ของผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นสิทธิ์ทางทรัพย์สินหรือทางปัญญา
หลักศาสนา:
1. ความซื่อสัตย์ทางวิชาการ:
อิสลามสั่งใช้ให้มีความซื่อสัตย์ ไม่ว่าจะในการพูด การกระทำ หรือการนำเสนอข้อมูล พระเจ้าตรัสไว้ว่า:
"إِنَّ اللَّهَ يَأْمُرُكُمْ أَنْ تُؤَدُّوا الْأَمَانَاتِ إِلَى أَهْلِهَا" (سورة النساء: 58)
"แท้จริงอัลลอฮ์ทรงบัญชาให้พวกเจ้าส่งมอบความไว้วางใจคืนแก่เจ้าของของมัน"
(อันนิซาอฺ: 58)
บทความวิชาการเป็นสิทธิ์ของผู้เขียน และการนำมาโดยไม่ได้รับอนุญาตถือเป็นการทรยศต่อความไว้วางใจ
2. สิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญา:
บทความวิชาการในปัจจุบันจัดอยู่ในทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งเป็นสิทธิ์ที่ได้รับการยอมรับตามหลักศาสนา การนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตถือว่าเป็นการละเมิด
3. การหลอกลวงและโกหก:
การอ้างสิทธิ์ว่าเป็นเจ้าของบทความที่ไม่ได้เขียนเอง ถือว่าเป็นการหลอกลวงและไม่ซื่อสัตย์ ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า:
"مَن غَشَّنَا فَلَيْسَ مِنَّا" (رواه مسلم) "ผู้ใดโกงเรา เขาไม่ใช่พวกของเรา"
(บันทึกโดยมุสลิม)
4. ต้องการคำชื่นชมจากผลงานของผู้อื่นส่วนตนมิได้ทำอะไร
"อย่าคิดว่าผู้ที่ดีใจในสิ่งที่พวกเขาได้รับและชอบที่จะได้รับการสรรเสริญในสิ่งที่พวกเขาไม่ได้กระทำจะปลอดภัยจากการลงโทษ แท้จริงพวกเขาจะได้รับการลงโทษอันเจ็บปวด"
(ซูเราะห์ อาล อิมรอน 188)
หากมีเจตนาดี:
เจตนาดีไม่สามารถเป็นข้ออ้างเพื่ออนุญาตให้ละเมิดสิทธิ์ของผู้อื่นได้ หากต้องการนำข้อมูลหรือเนื้อหาเพื่อศึกษาและเรียนรู้ สามารถทำได้แต่ต้องระบุแหล่งที่มา หรือขออนุญาตเจ้าของบทความหากบทความนั้นกำหนดให้ต้องได้รับอนุญาตก่อน การก๊อปไปโดยไม่ให้เครดิตถือว่าโขมย
สรุป:
การขโมยบทความวิชาการ ไม่อนุญาตในหลักศาสนาอิสลาม แม้จะมีเจตนาดี การนำเนื้อหามาใช้ต้องไม่ละเมิดสิทธิ์ของเจ้าของบทความ และต้องปฏิบัติตามหลักการความซื่อสัตย์ทางวิชาการเสมอ
ลอกบทความโดยไม่อ้างอิงที่มา คือ ตัดลีสประเภทหนึ่ง แล้วตัดลีสคืออะไร ?
ตัดลีสคือ"การปกปิดความจริง" (تدليس):
คำว่า "تدليس" ในภาษาอาหรับมีความหมายว่า "การปกปิดหรือพรางสิ่งที่เป็นความจริง"
ในทางศาสนาคำนี้มีความหมายที่แตกต่างกันไปตามบริบทที่ใช้ ซึ่งแบ่งออกเป็นประเภทหลัก ๆ ดังนี้:
1. การปกปิดความจริงในหะดีษ (تدليس الحديث):
หมายถึง การที่ผู้รายงานหะดีษไม่บอกความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับแหล่งที่มาของหะดีษ เช่น การละชื่อผู้รายงานคนที่ไม่น่าเชื่อถือ หรือทำให้ดูเหมือนว่าตนเองได้ยินหะดีษนั้นจากแหล่งข้อมูลโดยตรง ทั้งที่จริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น
ตัวอย่าง: ผู้รายงานกล่าวว่า "จากท่านคนนั้น" หรือ "ท่านคนนั้นกล่าวว่า" โดยไม่ได้ยืนยันว่าตนเองได้ฟังโดยตรง
2. การปกปิดความจริงในการซื้อขาย (تدليس البيع):
หมายถึง การปกปิดข้อบกพร่องของสินค้า หรือบรรยายสินค้าให้ดูดีกว่าความเป็นจริงเพื่อหลอกลวงผู้ซื้อ
3. การปกปิดความจริงในชีวิตประจำวัน:
หมายถึง การโกหก หลอกลวง หรือบิดเบือนความจริงในเรื่องทั่วไป เช่น การปิดบังข้อมูลสำคัญ หรือให้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเพื่อหลอกผู้อื่น
บทบัญญัติทางศาสนาเกี่ยวกับการปกปิดความจริง:
1. ในเรื่องหะดีษ:
การปกปิดความจริงในหะดีษถือเป็นที่น่ารังเกียจ (مكروه) ในมุมมองของนักวิชาการศาสนา และเป็นลักษณะของผู้รายงานที่ไม่ซื่อตรง
ท่านอิมามชุอบะฮ์ (رحمه الله) กล่าวไว้ว่า: "การปกปิดความจริงเหมือนกับการโกหก"
หะดีษจากผู้รายงานที่ปกปิดความจริงจะไม่ถูกยอมรับ ยกเว้นในกรณีที่เขายืนยันว่าได้ยินโดยตรง เช่น การกล่าวว่า "ฉันได้ยิน" หรือ "เขาเล่าให้ฉันฟัง"
2. ในเรื่องการซื้อขาย:
การปกปิดความจริงในเรื่องการค้าขายเป็นสิ่งต้องห้าม เพราะเป็นการหลอกลวง ซึ่งท่านนบีมุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า:
"ผู้ใดหลอกลวง ถือว่าเขาไม่ใช่ส่วนหนึ่งจากเรา"
(บันทึกโดยมุสลิม)
พ่อค้าแม่ค้าต้องบอกข้อบกพร่องของสินค้าแก่ผู้ซื้อ มิฉะนั้นจะถือว่าผิดบาป
3. ในชีวิตประจำวัน:
การปกปิดความจริงเป็นสิ่งต้องห้ามในศาสนาอิสลาม เพราะถือว่าเป็นการโกหกและหลอกลวง อัลลอฮ์ตรัสไว้ว่า:
"และอย่าลดสิทธิของผู้คน และอย่าก่อความเสียหายในแผ่นดิน"
(ฮูด: 85)
ท่านนบี (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) กล่าวว่า:
"ความจริงใจจะนำไปสู่ความดี และความดีจะนำไปสู่สวรรค์ ส่วนความเท็จจะนำไปสู่ความชั่ว และความชั่วจะนำไปสู่นรก..."
(บันทึกโดยอัลบุคอรีและมุสลิม)
การปกปิดความจริงในทุกกรณีถือว่าเป็นสิ่งต้องห้าม เพราะขัดต่อหลักความซื่อสัตย์และความจริงใจ ซึ่งเป็นคุณค่าที่สำคัญในศาสนาอิสลาม มุสลิมถูกสั่งใช้ให้พูดความจริงและมีความชัดเจนในคำพูดและการกระทำของตน และต้องหลีกเลี่ยงทุกสิ่งที่นำไปสู่การหลอกลวงหรือการโกหก
ท่านเชคมุฮัมมัด ญะมาลุดดีน อัลกอสิมีย์ (เราะหิมะฮุลลอฮ์) กล่าวว่า:
"เป็นที่ชัดเจนว่าหนึ่งในหลักการสำคัญในด้านการแต่งตำราคือการอ้างอิงประโยชน์ได้ ความรู้ที่รับ และแนวคิดต่าง ๆ ไปยังเจ้าของเดิมของมัน เพื่อหลีกเลี่ยงการอ้างเอาสิ่งที่ไม่ใช่ของตน(มาเป็นของตน) เพื่อยกระดับตนเองไม่ให้เป็นเหมือนผู้ที่สวมใส่เสื้อผ้าปลอมสองชุด (มีปรากฏในหะดีษเกี่ยวกับสิ่งนี้)
ด้วยเหตุนี้ ท่านจะเห็นว่าปัญหาทั้งหมดในหนังสือเล่มนี้ได้อ้างอิงไปยังเจ้าของเดิมของมันอย่างชัดเจนตามตัวอักษร นี่คือหลักการของเราในทุกสิ่งที่เราได้รวบรวมและจะรวบรวมต่อไป"
(หนังสือ กอวาอิด อัตตะฮ์ดีษ ในวิชาศาสตร์มุศเฏาะละฮ์หะดีษ หน้า 40)
ท่านอิหม่ามอัสสุยูฏีย์ (เราะหิมะฮุลลอฮ์) กล่าวว่า:
"หนึ่งในสิ่งที่นำมาซึ่งความจำเริญและเป็นการขอบคุณต่อความรู้ คือการอ้างอิงความรู้กลับไปยังผู้กล่าว"
"ด้วยเหตุนี้ ท่านจะไม่เห็นว่าฉันกล่าวถึงสิ่งใดในงานเขียนของฉัน เว้นแต่จะอ้างอิงไปยังผู้กล่าวไว้ในหมู่บรรดานักวิชาการ พร้อมกับระบุหนังสือที่เขาได้กล่าวไว้ด้วย"
(หนังสือ อัลมุซฮัร ฟี อุลูม อัลลุฆะฮ์ เล่มที่ 2 หน้า 273)
บทเรียน:
1. การอ้างอิงคำพูดหรือความรู้กลับไปยังเจ้าของเดิมเป็นสิ่งสำคัญเพื่อรักษาความซื่อสัตย์ทางวิชาการ
2. การอ้างอิงที่ถูกต้องแสดงถึงความขอบคุณต่อความรู้และผู้ที่ถ่ายทอดมัน
3. การไม่อ้างอิงถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิของผู้อื่น และอาจตกอยู่ในบาปของการอวดอ้างสิ่งที่ไม่ใช่ของตน
เนียต”ดี” วิธีต้อง "ถูก" ด้วย