วันเฉลิมฉลองของใคร ?
อบู ชะฮ์มี่ / อนัส ลีบำรุง
เตือนตัวของผมเองและพี่น้องให้มีความยำเกรงต่ออัลลอฮฺผู้ทรงเดชานุภาพจงเชื่อฟังพระองค์ และขอบคุณพระองค์สำหรับสิ่งที่พระองค์ได้ทรงฮิดายะฮฺให้กับพวกท่าน คนส่วนใหญ่หลงออกจากศาสนาหันหออกจากสัจธรรมบทบัญญัติของพระองค์ คนเหล่านั้นจะได้รับการลงโทษจากพระองค์อย่างแน่นอน และมีเพียงคนจำนวนน้อยเท่านั้นที่พระองค์ทรงชี้แนะแนวทางที่พระองค์ทรงรักและพอพระทัยให้กับพวกเขา ก็ขอให้พวกเราและท่านทั้งหลายที่อยู่ในที่นี้เป็นหนึ่งในกลุ่มชนนั้นที่ได้รับทางนำ
พระองค์ได้ทรงตรัสไว้ในซูเราะฮ์ อัล-บะกอเราะฮ์ อายะฮฺที่ 198
(وَاذْكُرُوهُ كَمَا هَدَاكُمْ وَإِنْ كُنْتُمْ مِنْ قَبْلِهِ لَمِنَ الضَّالِّينَ)
“และจงกล่าวรำลึกถึงพระองค์ดังที่พระองค์ได้ทรงแนะนำพวกเจ้าไว้ แท้จริง ก่อนหน้านั้นพวกเจ้าอยู่ในหมู่ผู้ที่หลงทาง”
พี่น้องผู้ศรัทธาที่รักทั้งหลาย : แท้จริงแล้วความโปรดปรานที่เราได้รับนั้นมันมากมายเสียเหลือเกิน และไม่มีความโปรดปรานใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่าการได้รับฮิดายะฮ์ให้ยังคงอยู่ในอัลอิสลาม ศาสนาอิสลามนั้นคือความชัดเจนไม่มีหนทางใดเสมอเหมือนอิสลามอีกแล้ว พระองค์อัลลอฮฺจะไม่ทรงตอบรับศาสนาใดเว้นแต่อิสลาม
ดังที่พระองค์ได้ทรงตรัสไว้ในซูเราะฮ์ อาล อิมรอน อายะฮ์ที่ 85 :
وَمَنْ يَبْتَغِ غَيْرَ الإِسْلَامِ دِينًا فَلَنْ يُقْبَلَ مِنْهُ وَهُوَ في الآخِرَةِ مِنَ الخَاسِرِين
“และผู้ใดแสวงหาศาสนาหนึ่งศาสนาใดอื่นจากอิสลามแล้ว ศาสนานั้นก็จะไม่ถูกรับจากเขาเป็นอันขาด
และในปรโลกเขาจะอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุน“
อิสลามนี้แหล่ะคือศาสนาที่ส่งบรรดาอัมบิยาอ์มาตั้งแต่ในยุคสมัยของนบีอาดัม นูวห์ อิบรอฮีม มูซา อีซา และท่านอื่นๆอีกมากมาย จนกระทั่งท่านสุดท้ายคือ นบีมุหัมมัด ﷺ แม้นว่าในบทบัญญัติแต่ละยุคสมัยนั้นแตกต่างกันไป แต่ทว่าบรรดาอัมบิยาอ์ทุกท่านนั้นเรียกร้องไปสู่ศาสนาเดียว คือ ศาสนาของอัลลอฮ์
ดังที่อัลลฮ์ได้ทรงไว้ในซูเราะฮ์ อาล อิมรอน อายะฮ์ ที่ 19 :
إنّ الدِّينَ عِنْدَ اللهِ الإسْلَام.
“แท้จริงศาสนา ณ อัลลอฮ์นั้นคือ อัลอิสลาม“
บทบัญญัติของท่านนบีมุหัมมัด ﷺ สมบูรณ์ที่สุดมาซึ่งมายกเลิกบทบัญญัติก่อนหน้านี้ทั้งหมด อัลลอฮ์จะไม่ยอมรับการศรัทธาการกระทำใดๆเว้นแต่บุคคลนั้นจะยอมรับในสถานะของมุหัมมัดว่าเป็นนบีและร่อซูล ยอมรับในสารที่ท่านนำมาและปฏิบัติตามบัญญัติของพระองค์ หากไม่เช่นนั้นแล้วเขาจะถูกนับว่าเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาและอยู่ในหมู่ของผู้ที่ขาดทุน
ซึ่งอย่าลืมว่าความดีงาม และความสมบูรณ์แบบของบทบัญญัติ รักษาอัตลักษณ์ของชาวมุสลิมปกป้องขอบเขตของมุสลิมเอาไว้ทำให้มุสลิมมีความมั่งคั่งในทุกกิจการของชีวิต เพราะบทบัญญัตินั้นครอบคลุมไปหมด และห้ามไม่ให้คล้อยตามเห็นด้วยกับผู้ปฏิเสธศรัทธา ซึ่งแนวทางของอิสลามเป็นทางที่เที่ยงตรง ซึ่งตรงกันข้ามกับแนวทางของผู้ที่ถูกโกรธกริ้วและผู้ที่หลงทาง
قال الإمام الذَّهَبي رحمه الله: (قَد أوجَبَ اللهُ عليكَ -يا هذَا المسلم- أن تَدعُوَ اللهَ كُلَّ يومٍ وليلةٍ سبعَ عشرةَ مرّةً بالهدايةِ إلى الصراط المستقيمِ، صراطِ الّذين أَنْعَمَ اللهُ عليهِم، غيرِ المغضوبِ عليهِم ولا الضالّين، فكيفَ تَطِيبُ نفسُك بِالتّشبُّهِ بِقَومٍ هذهِ صِفَتُهُم، وهُم حَصَبُ جهنّم؟!).
ท่านอิหม่าม ซะฮะบีย์ رحمه الله กล่าวว่า :
“แท้จริงอัลลอฮ์ได้ทรงกำหนดเป็นวาญิบเหนือพวกท่าน (โอ้ผู้เป็นมุสลิม) ต้องวิงวอนต่อพระองค์ในวันหนึ่งกับคืนหนึ่งถึง 17 ครั้ง โดยขอทางนำสู่หนทางอันเที่ยงตรงหนทางของบรรดาผู้ที่อัลลอฮ์ ประทานความโปรดปรานให้แก่พวกเขา
ไม่ใช่หนทางของบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงกริ้วโกรธและไม่ใช่หนทางของบรรดาผู้ที่หลงทาง แล้วท่านยังเห็นชอบพอใจไปได้อย่างไรในขณะที่ท่านนั้นไปเลียนแบบกลุ่มชนที่มีลักษณะเช่นนี้ ในเมื่อพวกเขาคือเชื้อเพลิงของนรกญะฮันนัม?”
และท่านร่อซูล ﷺ ได้ห้ามไว้ถึงการเลียนแบบพวกเขาเอาไว้ในหลายหะดีษด้วยกัน :
(مَنْ تَشَبَّهَ بِقَومٍ فَهُوَ مِنْهُم)
“ผู้ใดที่เลียนแบบชนกลุ่มใด เขาก็คือส่วนหนึ่งของชนกลุ่มนั้นด้วย”
أخرجه أبو داود (4031) واللفظ له، وأحمد (5114) مطولاً
ท่านนนบี ﷺ ได้เตือนประชาชาติของท่านให้หลีกเลี่ยงการเลียนแบบผู้ที่ไม่ใช่มุสลิม เพราะประชาชาติของท่านได้รับคำสั่งให้มีความแตกต่างจากบรรดาผู้ตั้งภาคีและชาวคัมภีร์ (ยิวและคริสต์)
ในหะดีษนี้ ท่านนบี ﷺ กล่าวว่า: “ผู้ใดเลียนแบบกลุ่มชนใด”
หมายถึง การปฏิบัติตามพวกเขาในพฤติกรรม คำพูด การแต่งกาย ขนบธรรมเนียม เช่น การรับประทาน การดื่ม รูปลักษณ์ภายนอก และอื่น ๆ
“เขาก็คือส่วนหนึ่งของกลุ่มชนนั้น”
หมายถึง สถานะของผู้ปฏิบัตินั้นเหมือนสถานะของกลุ่มชนนั้น หากว่าเราไปปฏิบัติเหมือนที่พวกเขาปฏิบัติเราจะได้รับโทษตามในสิ่งที่เลียนแบบและเจตนาในการเลียนแบบนั้น แต่ถ้าการเลียนแบบนั้นเลียนแบบการทำความดีของบรรดาคนดี เราก็จะได้รับผลบุญจากความโปรดปรานของอัลลอฮ์
วันนี้เราลืมตัวหรือเปล่าว่าท่านนบีรักและชอบให้พวกเรานั้นปฏิบัติให้แตกต่างจากชาวคัมภีร์และผู้ปฏิเสธศรัทธา ทั้งในเรื่องของอิบาดะฮ์และเรื่องอาด้าตประเพณีทั่วๆไป เช่นท่านร่อซูล ﷺ ได้กล่าวไว้ว่า :
(خَالِفُوا اليهودَ فإنّهم لا يُصَلّونَ في نِعَالِهم وَلَا في خِفَافِهِم)
"จงทำให้เเตกต่างกับพวกยะฮูด(ยิว)เถิด เเท้จริงพวกเขาไม่ละหมาดโดยใส่รองเท้าหรือคุฟของพวกเขา"
(خَالِفُوا المشركين، أَحْفُوا الشّوَارِبَ، وأَوْفُوا الِّلحَى)
"จงทำให้เกิดความเเตกต่างกับบรรดามุชริกีน จงตัดหนวด เเละจงไว้เครา"
(إنّ اليهودَ والنصارى لا يَصْبُغُونَ فَخَالِفُوهُم)
"แท้จริงยะฮูดและนะศอรอพวกเขานั้นจะไม่ย้อม(ผม,เครา) ดังนั้นพวกท่านจงทำให้แตกต่างจากพวกเขา“
أنَّ النَّبيَّ صلَّى اللَّهُ عليهِ وسلَّمَ رآهُ وعليهِ ثَوبانِ مُعَصْفرانِ فقالَ : هذِهِ ثيابُ الكفَّارِ ، فلا تلبَسْها
"นี่คือเสื้อผ้าของกลุ่มชนผู้ปฏิเสธศรัทธาเขาใส่กัน ให้ถอดเสียอย่าได้ใส่"
หะดีษบทนี้บรรดาอุลามาอ์ได้ชี้แจงว่าการใส่เสื้อผ้าที่มีการย้อมสีที่มีสีเหลืองหรือสีแดงก็ดีเนี่ยเป็นที่ต้องห้าม ซึ่งการย้อมในที่นี้คือ การย้อมที่มาจากดอกคำฝอยกับหญ้าฝรั่นนั้นเป็นสิ่งต้องห้าม แต่ถ้าหากว่าย้อมสีเหลืองหรือแดงด้วยกับการย้อมชนิดอื่นถือว่าไม่เป็นไร
تخريج المسند لشاكر | الصفحة أو الرقم : 11/165 | خلاصة حكم المحدث : إسناده صحيح
ขนาดว่าแม้แต่ชาวยิวในเมืองมะดีนะฮ์ยังรู้สึกได้ว่า ท่านร่อซูล ﷺ จะปฏิบัติให้แตกต่างจากพวกเขาในเรื่องต่างๆ จนพวกเขาได้กล่าวกันว่า :
(مَا يُريدُ هذا الرجُلُ أنْ يَدَعَ مِن أَمْرِنَا شيئًا إلَا خَالَفَنَا فيه!)
“ชายผู้นี้ไม่ต้องการปล่อยให้มีสิ่งใดในแนวทางของพวกเรา(ปะปนเหมือนแนวทางของมุหัมมัด)นอกจากว่าเขาจะขัดแย้งกับเราในสิ่งนั้น!”
คำพูดนี้สะท้อนถึงการกระทำของท่านนบีมุฮัมมัด ﷺ ที่พยายามสร้างความแตกต่างอย่างชัดเจนจากบรรดาผู้ตั้งภาคีและผู้ปฏิเสธศรัทธาในทุกแง่มุม เพื่อให้ประชาชาติอิสลามมีเอกลักษณ์เฉพาะและไม่ปะปนร่วมกับวัฒนธรรมที่ขัดกับหลักการของศาสนาอิสลาม
สิ่งที่ถูกกล่าวไปก่อนหน้านี้คือสิ่งที่บ่งบอกถึงความต่างของศาสนาอิสลามให้ออกจากศาสนาของพวกผู้ปฏิเสธศรัทธา คือการประกาศความบริสุทธิ์จากศาสนาเหล่านั้น และการที่ศาสนาอิสลามให้พวกเราแตกต่างจากพวกเขา นั่นคือสิ่งที่ อัลลอฮ์ผู้ทรงสูงส่งได้ทรงบัญชาไว้ให้กับร่อซูลของพระองค์
ในซูเราะฮ์ ยูนุส อายะฮ์ ที่ 41 :
وَإِنْ كَذَّبُوكَ فَقُلْ لِي عَمَلِي وَلَكُمْ عَمَلُكُمْ أَنْتُمْ بَرِيئُونَ مِمَّا أَعْمَلُ وَأَنَا بَرِيءٌ مِمَّا تَعْمَلُونَ
“และถ้าพวกเขาปฏิเสธ(ไม่ยอมศรัทธา) ก็จงกล่าวว่าการงานของฉันนั้นเป็นของฉัน และการงานของพวกท่านนั้นเป็นของพวกท่าน
พวกท่านไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ฉันกระทำ และฉันไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่พวกท่านกระทำ”
และพระองค์ยังได้ทรงตรัสไว้ในซูเราะฮ์ อัล-กาฟิรูน อายะฮ์ ที่ 6 :
لَكُمْ دِينُكُمْ وَلِيَ دِين
“สำหรับพวกท่านก็คือศาสนาของพวกท่าน และสำหรับฉันก็คือศาสนาของฉัน”
พี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย : หนึ่งในลักษณะเด่นเฉพาะสำหรับพวกผู้ปฏิเสธศรัทธาซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับบรรดาสมุสลิม ก็คือ เราจะต้องไม่มีส่วนร่วมหรือเห็นพ้องกับพวกเขา ในเทศกาลประเพณีที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อทางด้านศาสนา ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันคือความหลงผิด อัลลอฮ์ได้ทรงบอกถึงคุณลักษณะถึงบรรดาบ่าวผู้ศรัทธาของพระองค์ว่า พวกเขาไม่เข้าร่วมสิ่งที่เป็นเท็จหรือไม่สนับสนุนไม่เข้าร่วมในสิ่งนั้น
โดยพระองค์ได้ทรงตรัสไว้ในซูเราะฮ์ อัล-ฟุรกอน อายะฮ์ที่ 72 :
والَّذِينَ لا يَشْهَدُونَ الزُّورَ
“และบรรดาผู้ไม่เป็นพยานในการเท็จ“
ท่านอิบนุ อับบาส (ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุมา) และตาบีอีนบางส่วนได้อธิบายเอาไว้ว่า “ก็คือการไม่เข้าร่วมในเทศกาลของผู้ปฏิเสธศรัทธา”
การมีส่วนร่วมในเทศกาลของผู้ปฏิเสธศรัทธา(กาเฟร) หมายถึงอะไร ? หมายถึงการยอมรับและเห็นพ้องกับสิ่งที่พวกเขาทำ
แล้วมุสลิมที่เชื่อในเอกภาพของอัลลอฮ์จะเข้าร่วมในงานเฉลิมฉลองที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการตั้งภาคีต่อพระองค์ได้อย่างไร?
ไหนล่ะที่เรายืนยันให้อัลลอฮ์ผู้ทรงสูงส่งบริสุทธิ์จากคำกล่าวเท็จๆ เรายืนยันเราอ่านเราท่องซูเราะฮฺอัลอิคลาสกันไม่ใช่หรือครับ
لَمْ يَلِدْ وَلَمْ يُولَدْ - พระองค์ไม่ประสูติ และไม่ทรงถูกประสูติ
แต่ทำไมเรายังเข้าร่วมกับพวกเขา วัลอิยาซุบิลลลาฮ์
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการมีส่วนร่วมกับคนชั่วในความชั่วของพวกเขานั้นเป็นสิ่งที่น่าประณามมากเหลือเกิน เช่น การเข้าร่วมกับคนเมาในวงสุรา หรือการเข้าร่วมในสถานที่ท่มีการล่วงละเมิดทางเพศ แล้วจะเป็นเช่นไรเมื่อเป็นการเข้าร่วมกับผู้ปฏิเสธศรัทธาในเทศกาลที่เกี่ยวข้องกับการตั้งภาคี ซึ่งตั้งอยู่บนความเท็จและการอ้างที่ไม่มีมูลความจริง
การกล่าวหาว่าอัลลอฮ์ มีบุตร ซึ่งเป็นหนึ่งในคำกล่าวที่รุนแรงที่สุดในบรรดาคำพูดของผู้ปฏิเสธศรัทธา และมันเป็นสิ่งที่นำพาไปสู่ความโกรธกริ้งของอัลลอฮ์พระผู้ทรงสูงส่ง
พระองค์ได้ตรัสไว้ในซูเราะฮ์ มัรยัม อายะฮ์ที่ 88-95
وَقَالُوا اتَّخَذَ الرَّحْمَٰنُ وَلَدًا
และพวกเขากล่าวว่า “พระผู้ทรงกรุณาปรานีทรงตั้งพระบุตรขึ้นเพื่อพระองค์”
لَّقَدْ جِئْتُمْ شَيْئًا إِدًّا “แน่นอนที่สุด พวกเจ้าได้นำมาซึ่งสิ่งร้ายแรงยิ่งใหญ่“
تَكَادُ السَّمَاوَاتُ يَتَفَطَّرْنَ مِنْهُ وَتَنشَقُّ الْأَرْضُ وَتَخِرُّ الْجِبَالُ هَدًّا
“ชั้นฟ้าทั้งหลายแทบจะพังทลายลงมาและแผ่นดินก็แทบจะถล่มลึกลงไป และขุนเขาทั้งหลายก็แทบจะยุบทลายลงมาเป็นเสี่ยง ๆ“
أَن دَعَوْا لِلرَّحْمَٰنِ وَلَدًا
“ที่พวกเขาอ้างพระบุตรแก่พระผู้ทรงกรุณาปรานี“
وَمَا يَنبَغِي لِلرَّحْمَٰنِ أَن يَتَّخِذَ وَلَدًا
“และไม่เป็นการบังควรแก่พระผู้ทรงกรุณาปรานี ที่พระองค์จะทรงตั้งพระบุตรขึ้น“
إِن كُلُّ مَن فِي السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضِ إِلَّا آتِي الرَّحْمَٰنِ عَبْدًا
“ไม่มีผู้ใดในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินเว้นแต่เขาจะมายังพระผู้ทรงกรุณาปรานีในฐานะบ่าวคนหนึ่ง“
لَّقَدْ أَحْصَاهُمْ وَعَدَّهُمْ عَدًّا
“แน่นอนที่สุด พระองค์ทรงรอบรู้ถึงพวกเขาและทรงนับพวกเขาอย่างถี่ถ้วนไว้แล้ว“
وَكُلُّهُمْ آتِيهِ يَوْمَ الْقِيَامَةِ فَرْدًا
“และทุกคนในพวกเขาจะมายังพระองค์ในวันกิยามะฮ์อย่างโดดเดี่ยว“
ส่วนในการมีส่วนร่วมนั่งร่วมกับผู้ปฏิเสธศรัทธาในขณะที่พวกเขากระทำการปฏิเสธศรัทธา คือการยอมรับในสิ่งนั้นและการเลียนแบบพวกเขา อัลลอฮ์ ทรงสำทับเตือนบรรดาผู้ศรัทธาให้ระวัง ไว้ในซูเราะฮ์ อัน-นิสาอ์ อายะฮ์ที่ 140
وَقَدْ نَزَّلَ عَلَيْكُمْ فِي الْكِتَابِ أَنْ إِذَا سَمِعْتُمْ آيَاتِ اللَّهِ يُكْفَرُ بِهَا وَيُسْتَهْزَأُ بِهَا فَلَا تَقْعُدُوا مَعَهُمْ
حَتَّى يَخُوضُوا فِي حَدِيثٍ غَيْرِهِ إِنَّكُمْ إِذًا مِثْلُهُمْ إِنَّ اللَّهَ جَامِعُ الْمُنَافِقِينَ وَالْكَافِرِينَ فِي جَهَنَّمَ جَمِيعًا.
“และแน่นอนอัลลอฮฺได้ทรงประทานลงมาแก่พวกเจ้าแล้วในคัมภีร์นั้นว่า เมื่อพวกเจ้าได้ยินบรรดาโองการของอัลลอฮฺ โองการเหล่านั้นก็ถูกปฏิเสธศรัทธาและถูกเย้ยหยัน
ดังนั้นพวกเจ้าจงอย่านั่งร่วมกับพวกเขา จนกว่าพวกเขาจะพูดคุยกันในเรื่องอื่นจากนั้น แท้จริงพวกเจ้านั้นถ้าเช่นนั้นแล้วก็เหมือนพวกเขา
แท้จริงอัลลอฮฺจะทรงรวบรวมบรรดามุนาฟิก และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาไว้ในนรกญะฮันนัมทั้งหมด”
ในเมื่อการเข้าร่วมกับพวกเขานั้นคือสิ่งต้องห้ามการกล่าวแสดงความยินดีหรือคำอวยพรในเทศกาลเหล่านั้นก็เป็นสิ่งต้องห้ามเช่นกัน เพราะแท้จริงการแสดงความยินดีหรือคำอวยพรถือเป็นแสดงออกถึงจุดยืนและการแสดงออกที่มีร่วมกันมิหนำซ้ำยังเป็นการแสดงออกถึงความพึงพอใจและการยอมรับในเทศกาลดังกล่าว ด้วยเหตุนี้นักวิชาการอิสลามทั้งหลายจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าการกระทำดังกล่าวนั้นถือว่าเป็นสิ่งต้องห้าม
قالَ العلّامةُ ابنُ القيّمِ رحمه الله: «وأمّا التهنئةُ بِشعائرِ الكُفرِ الـمُخْتَصَّةِ به فحَرامٌ بالاتّفاق، مثلُ أنْ يُهَنِّئَهُمْ بِأعيادِهِم وصَومِهِم، فيقول: عِيدٌ مباركٌ عليك، أو تَـهنأُ بهذا العيدِ ونحوه، فهذا إنْ سَلِمَ قائلُه من الكُفرِ فهُو مِن المحرَّمات، وهو بمنزلةِ أنْ يُهَنّئَه بسجودِه للصّليب، بل ذلك أعظمُ إثمًا عندَ الله وأشدُّ مَقْتًا مِنَ التهنئةِ بِشُربِ الخمرِ وقتلِ النّفسِ وارتكابِ الفَرْجِ الحرامِ ونحوِه، وكثيرٌ مِـمّن لا قَدْرَ للدّينِ عِندَه يَقَعُ في ذلك ولا يَدرِي قُبحَ ما فَعَل، فَمَنْ هَنّأَ عَبدًا بمعصيةٍ أو بدعةٍ أو كفرٍ فقد تَعرَّضَ لِـمَقْتِ اللهِ وسَخَطِه»
ท่าน อิบนุ้ลก็อยยิม (รอฮิมะฮุลลอฮ์) กล่าวว่า :“ส่วนการแสดงความยินดีคำอวยพรในพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการปฏิเสธศรัทธา(กุฟร์)ที่เป็นลักษณะเฉพาะของพวกเขานั้น เป็นสิ่งต้องห้ามโดยมติเอกฉันท์
เช่น การแสดงความยินดีในวันเฉลิมฉลองหรือการถือศีลอดของพวกเขา โดยกล่าวว่า ‘ขอให้วันนี้เป็นวันแห่งความสุขความจำเริญสำหรับท่าน’ หรือ ‘ขอให้ท่านมีความสุขในเทศกาลนี้’ หรือคำที่คล้ายกันนี้
ถึงแม้นว่าผู้ที่อวยพรจะรอดพ้นจากการตกศาสนา(กุฟร์) เขาก็ยังคงกระทำสิ่งที่ต้องห้ามซึ่งเปรียบเสมือนการแสดงความยินดีที่พวกเขาก้มกราบไม้กางเขน แต่สิ่งนี้มีโทษหนักและเกลียดชังยิ่งกว่า ณ ที่อัลลอฮ์ มากกว่าการแสดงความยินดีคำอวยพรในการดื่มสุรา การฆ่าชีวิต หรือการล่วงละเมิดทางเพศที่ต้องห้าม และอื่น ๆ อีกมากมาย"
วันนี้เราจะเห็นมุสลิมจำนวนมากกำลังตกเป็นทาสของความชั่วร้ายนี้โดยไม่ตระหนักถึงความเลวร้ายในสิ่งที่พวกเขาได้กระทำลงไป ฉะนั้นใครก็ตามที่แสดงความยินดีต่อการทำบาป การอุตริกรรมในศาสนา(บิดอะฮ์)หรือการปฏิเสธศรัทธา เขาย่อมตกอยู่ในความโกรธแค้นและความไม่พึงพอพระทัยของอัลลอฮ์อย่างแน่นอน
ขอดุอาอ์ต่ออัลลฮฺให้เราและท่านทั้งหลายปลอดภัยรอดพ้นจากฟิตนะฮ์ต่างๆ ปลอดภัยจากการปฏิบัติตามผู้ปฏิเสธศรัทธา และขอให้เราและท่านทั้งหลายยืนหยัดอยู่บนสัจธรรมหนทางทีเที่ยงตรงต่อไปจนกระทั่งพระองค์ได้เรียกคืนชีวิตของพวกเรานั้นกลับไปยังพระองค์