ทำไม คุณควรเป็นมุสลิม ?
เรียบเรียง .... อ.จรวด นิมา
มีเหตุผลหลายประการดังนี้ เพราะ ....
อิสลาม คือ สิ่งที่ทรงบัญชาให้กับนูฮฺ (โนอาห์) ให้ปฎิบัติและเผยแผ่ และเป็นสิ่งเดียวกันที่พระองค์ทรงบัญชาให้กับอิบรอฮีม (อับรฮัม) อีซา (เยซู) มูซา (โมเสส) และสุดท้ายด้วยรซูล นบีที่ดีทีสุด คือ นบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ให้ยึดมั่นศรัทธา และเคารพสักการะพระเจ้าองค์เดียว คือ อัลลอฮฺ โดยไม่ขัดแย้งและแตกแยกกันในเรื่องศาสนา
ดังคำตรัส ที่ว่า
شَرَعَ لَكُم مِّنَ الدِّينِ مَا وَصَّىٰ بِهِ نُوحًا وَالَّذِي أَوْحَيْنَا إِلَيْكَ وَمَا وَصَّيْنَا بِهِ إِبْرَاهِيمَ وَمُوسَىٰ وَعِيسَىٰ ۖ أَنْ أَقِيمُوا الدِّينَ وَلَا تَتَفَرَّقُوا فِيهِ ۚ كَبُرَ عَلَى الْمُشْرِكِينَ مَا تَدْعُوهُمْ إِلَيْهِ ۚ اللَّهُ يَجْتَبِي إِلَيْهِ مَن يَشَاءُ وَيَهْدِي إِلَيْهِ مَن يُنِيبُ ( سورة الشورى: ١٣)
“อัลลอฮฺทรงบัญญัติพระศาสนาให้แก่สูเจ้าเช่นเดียวกับที่ประทานแก่นบีนูฮฺ
ตลอดจนสิ่งที่เราได้วะฮีย์แก่เจ้า เช่นเดียวกับที่เราได้บัญชาแก่ อิบรอฮีม มูซาและอีซามาแล้วว่า
จงยึดมั่นในศาสนา อย่าได้แตกแยกกันในเรื่องศาสนาเป็นอันขาด
สิ่งที่สูเจ้าเรียกร้องให้ยึดมั่นในอัลลอฮฺ เป็นเรื่องใหญ่สำหรับพวกตั้งภาคี
อัลลอฮฺจะทรงเลือกผู้ใดให้อยู่กับพระองค์ก็ได้ จะทรงชี้นำทางสู่พระองค์แก่ผู้ที่ผินหน้าสู่พระองค์”
(อัชชูรอ : 15)
มุฮัมมัด เป็นนบี และรอซูลของอัลลอฮฺ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงบัญญัติของบรรดานบี และบรรดารซูล ที่อัลลอฮฺ ทรงส่งมาเผยแผ่ก่อนเขา
ดังคำตรัส ที่ว่า
إِنَّا أَوْحَيْنَا إِلَيْكَ كَمَا أَوْحَيْنَا إِلَىٰ نُوحٍ وَالنَّبِيِّينَ مِن بَعْدِهِ ۚ وَأَوْحَيْنَا إِلَىٰ إِبْرَاهِيمَ وَإِسْمَاعِيلَ وَإِسْحَاقَ وَيَعْقُوبَ وَالْأَسْبَاطِ وَعِيسَىٰ وَأَيُّوبَ وَيُونُسَ وَهَارُونَ وَسُلَيْمَانَ ۚ وَآتَيْنَا دَاوُودَ زَبُورًا ( النساء: ١٦٣)
“มุฮัมมัด แท้จริงเราได้ประทานบัญญัติแก่เจ้า ดังที่เราได้ประทานแก่นูฮฺและนบีต่างๆ หลังจากนูฮฺ
และเราได้ประทานบัญญัติแก่อิบรอฮีม, อิสมาอีล, อิสหาก ,ยะอฺกู๊บ ตลอดจนลูกหลาน
อีกทั้งอีซา , อัยยูบ , ยูนุส , ฮารูน , สุไลมาน , สำหรับดาวูดนั้น เราได้ประทานบัญญัติซาบู๊รให้เขาแล้ว”
(อันนิซาอฺ : 163)
มุฮัมมัด เป็นนบีและรซูลคนสุดท้าย ที่นำหลักธรรมคำสอนอิสลามมาเผยแผ่ จำเป็นต้องปฏิบัติตาม
ดังคำตรัส ที่ว่า
مَّا كَانَ مُحَمَّدٌ أَبَا أَحَدٍ مِّن رِّجَالِكُمْ وَلَٰكِن رَّسُولَ اللَّهِ وَخَاتَمَ النَّبِيِّينَ ۗ وَكَانَ اللَّهُ بِكُلِّ شَيْءٍ عَلِيمًا ( الأحزاب: ٤٠)
“มุฮัมมัดมิได้เป็นพ่อของผู้ชายคนใดในหมู่พวกเจ้า แต่ท่านเป็นรอซูลของอัลลอฮฺ และเป็นนบีคนสุดท้าย
(จึงไม่มีใครเป็นนบีอีกต่อไป) อัลลอฮฺ ทรงรู้อย่างดีในทุกๆ สิ่ง”
(อัลอะฮฺซาบ:40)
อิสลามเป็นศาสนาสำหรับคนทั่วไป ไม่ใช่สำหรับคนกลุ่มใดหรือชนชาติใด และไม่ใช่สำหรับคนยุคหนึ่งหรือแค่ชั่วอายุคน ดังที่ อัลลอฮุ ส่งบรรดาซูลของพระองค์ มายังกลุ่มชนหรือประชาชนของพวกเขาเท่านั้น
ดังคำตรัส ที่ว่า
وَلَقَدْ أَرْسَلْنَا نُوحًا إِلَىٰ قَوْمِهِ فَلَبِثَ فِيهِمْ أَلْفَ سَنَةٍ إِلَّا خَمْسِينَ عَامًا فَأَخَذَهُمُ الطُّوفَانُ وَهُمْ ظَالِمُونَ ( العنكبوت: ١٤)
“แท้จริง เราได้แต่งตั้ง นบีนูฮฺเป็นรอซูล ไปอบรมประชาชนของเขา
แล้วเขาได้ใช้เวลาเผยแผ่สัจธรรมถึงหนึ่งพันปี ยกเว้นห้าสิบปี (จะได้พ้น) แต่ประชาชนของเขาไม่ยอมเชื่อฟัง
ดังนั้น พวกเขาจึงถูกลงโทษด้วยการให้เกิดน้ำท่วม ทำให้พวกที่ไม่เชื่อฟังจมน้ำตาย ในสภาพที่พวกเขาเป็นคนเนรคุณพระเจ้า”
(อัลอังกะบู้ท : 14)
และคำตรัส ที่ว่า
وَلَقَدْ أَرْسَلْنَا إِلَىٰ ثَمُودَ أَخَاهُمْ صَالِحًا أَنِ اعْبُدُوا اللَّهَ فَإِذَا هُمْ فَرِيقَانِ يَخْتَصِمُونَ ( النمل: ٤٥)
“แท้จริง เราได้ส่งนบีซอและฮฺไปยังกลุ่มชนษะมู้ด ซึ่งเขาเองเป็นคนของกลุ่มนี้
โดยให้เขาไปอบรมว่า ท่านทั้งหลายจงบูชาอัลลอฮฺเถิด
แต่แล้วพวกษะมู้ดได้แตกออกเป็นสองฝ่ายที่ขัดแย้งกัน (ฝ่ายหนึ่งศรัทธาอีกฝ่ายหนึ่งปฏิเสธ)”
(อันนัมลุ : 45)
และคำตรัส ที่ว่า
(وَلَقَدْ أَرْسَلْنَا مُوسَىٰ بِآيَاتِنَا إِلَىٰ فِرْعَوْنَ وَمَلَئِهِ فَقَالَ إِنِّي رَسُولُ رَبِّ الْعَالَمِينَ ( الزخرف: ٤٦
“แท้จริงเราได้ส่งนบีมูซา พร้อมกับสิ่งมหัศจรรย์ของเรา ไปยังฟริเอาน์และกลุ่มชนของเขา
แล้วมูซาก็ประกาศว่า แท้จริง ฉันเป็นฑูตของพระเจ้าแห่งสากลโลก”
(อัซซุครุฟ : 46)
และคำตรัส ที่ว่า
( وَإِذْ قَالَ عِيسَى ابْنُ مَرْيَمَ يَا بَنِي إِسْرَائِيلَ إِنِّي رَسُولُ اللَّهِ إِلَيْكُم ( الصف: ٦
“จงนึกถึงเมื่อครั้งที่อีซา บุตรมัรยัม ได้พูดกับบะนีอิสราเอลว่า
โอ้บะนีอิสราเอลทั้งหลาย แท้จริง ฉันคือ ศาสนฑูตของอัลลอฮฺ ที่ถูกส่งมายังพวกท่าน”
(อัศศ็อฟ : 6)
ขณะที่ นบี มุฮัมมัด ศอลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัมลัม ถูกส่งมาเพื่อมนุษยชาติทั้งหมด
ดังคำตรัส ที่ว่า
وَمَا أَرْسَلْنَاكَ إِلَّا كَافَّةً لِّلنَّاسِ بَشِيرًا وَنَذِيرًا وَلَٰكِنَّ أَكْثَرَ النَّاسِ لَا يَعْلَمُونَ (سبأ:28
“เราได้ส่งเจ้ามาเป็นศาสนฑูต ให้แก่คนทั้งผอง มาเป็นผู้แจ้งข่าวดีแก่ผู้ศรัทธา
และเป็นผู้ตักเตือนแก่ผู้ไม่ศรัทธา แต่คนส่วนมากไม่ยอมรับรู้”
(สะบะอฺ : 28)
และตรัส อีกว่า
قُلْ يَا أَيُّهَا النَّاسُ إِنِّي رَسُولُ اللَّهِ إِلَيْكُمْ جَمِيعًا ( الأعراف: ١٥٨)
“มุฮัมมัด จงกล่าวเถิดว่า โอ้มนุษย์ทั้งหลาย แท้จริงฉันคือ รอซูลของอัลลอฮฮฺ ที่มาถึงพวกท่านทั้งหลาย”
(อัลอะอฺรอฟ : 158)
การเผยแผ่ของบรรดารซูลคนก่อนๆ ซึ่งอยู่ในช่วงเวลาของแต่ละคน ยืนยันได้จากสิ่งปฏิหาริย์ทีน่าอัศจรรย์...
การเผยแผ่ของบรรดารซูลคนก่อน ๆ อยู่ในช่วงเวลาของแต่ละคน จากมัวะญิซาตปฏิหารย์ที่น่าอัศจรรย์ของพวกเขา ที่อัลลอฮฺทรงช่วยเหลือให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาผู้คน เพื่อให้เชื่อมั่นในสิ่งที่พวกเขาเรียกร้อง เช่น...
♥ ปฏิหาริย์ที่น่าอัศจรรย์ของนบีมูซา อะลัยฮิสสลาม(โมเสส) ที่ทำให้พวกนักมายากลของฟิรเอาน์ต้องก้มลงสุญูดต่อพระองค์พระเจ้าแห่งสากลโลกจักรวาล
ดังคำตรัส ที่ว่า
قَالَ لَهُم مُّوسَىٰ أَلْقُوا مَا أَنتُم مُّلْقُونَ . فَأَلْقَوْا حِبَالَهُمْ وَعِصِيَّهُمْ وَقَالُوا بِعِزَّةِ فِرْعَوْنَ إِنَّا لَنَحْنُ الْغَالِبُونَ . فَأَلْقَىٰ مُوسَىٰ عَصَاهُ فَإِذَا هِيَ تَلْقَفُ مَا يَأْفِكُون . فَأُلْقِيَ السَّحَرَةُ سَاجِدِينَ . قَالُوا آمَنَّا بِرَبِّ الْعَالَمِينَ . رَبِّ مُوسَىٰ وَهَارُونَ ( الشعراء: ٤٣-٤٨)
มูซาได้บอกพวกเขาว่า "สิ่งที่พวกเจ้านำมานั้น ให้นำมันออกมาแสดงเถอะ"
พวกเขาจึงได้โยนเชือกและไม้เท้าของพวกเขาออกไป พร้อมประกาศว่า "ด้วยเดชะของฟาโรห์ พวกเราจะต้องชนะแน่ ๆ"
ทันใดนั้น มูซาก็ได้ขว้างไม้เท้าของเขาออกไป แล้วมันได้ไล่เขมือบสิ่งปลอมทั้งหมดที่พวกเขาทำขึ้นมา จากนั้นพวกเขาต่างก้มลงกราบทันที
พร้อมกับกล่าวว่า "พวกเราศรัทธาในพระเจ้าแห่งสากลโลกจักรวาล พระเจ้าของมูซาและฮารูน”
(อัซซุอะรออฺ:43-47)
♥ ปฏิหาริย์ที่น่าอัศจรรย์ของนบีอีซา อะลัยฮิสสลามที่รักษาคนตาบอดแต่กำเนิดกลายเป็นคนตาดี คนเป็นโรคผิวหนังด่างให้หายเป็นปกติ ด้วยการสัมผัส และให้คนตายคืนชีพ และปั้นดินให้เป็นรูปนก แล้วเปาลมปากไปที่ตัวนก แล้วมันก็เป็นนกบินได้เหมือนนกทั่วไป ทั้งนี้โดยคำสั่ง ของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา
ดังคำตรัส ที่ว่า
إِذْ قَالَ اللَّهُ يَا عِيسَى ابْنَ مَرْيَمَ اذْكُرْ نِعْمَتِي عَلَيْكَ وَعَلَىٰ وَالِدَتِكَ إِذْ أَيَّدتُّكَ بِرُوحِ الْقُدُسِ تُكَلِّمُ النَّاسَ فِي الْمَهْدِ وَكَهْلًا ۖ وَإِذْ عَلَّمْتُكَ الْكِتَابَ وَالْحِكْمَةَ وَالتَّوْرَاةَ وَالْإِنجِيلَ ۖ وَإِذْ تَخْلُقُ مِنَ الطِّينِ كَهَيْئَةِ الطَّيْرِ بِإِذْنِي فَتَنفُخُ فِيهَا فَتَكُونُ طَيْرًا بِإِذْنِي ۖ وَتُبْرِئُ الْأَكْمَهَ وَالْأَبْرَصَ بِإِذْنِي ۖ وَإِذْ تُخْرِجُ الْمَوْتَىٰ بِإِذْنِي ۖ وَإِذْ كَفَفْتُ بَنِي إِسْرَائِيلَ عَنكَ إِذْ جِئْتَهُم بِالْبَيِّنَاتِ فَقَالَ الَّذِينَ كَفَرُوا مِنْهُمْ إِنْ هَٰذَا إِلَّا سِحْرٌ مُّبِينٌ( المائدة: ١١٠)
“จงนึกถึงเมื่อครั้งที่อัลลอฮฺทรงพูดกับอีซาลูกของมัรยัมว่า
จงนึกถึงความกรุณาของเราที่มีต่อตัวเจ้าและมารดาของเจ้า เราได้ให้ท่านญิบรีลมาสนับสนุนเจ้า
เจ้าสามารถพูดกับผู้คนได้ ขณะเป็นทารกอยู่ในเปล กระทั่งสู่วัยชรา โดยไม่มีสิ่งใดเพี้ยน
และจงนึกถีงความกรุณาของเรา ที่ได้สอนการเขียนหนังสือ สอนวิทยาการอันทรงประโยชน์ รวมทั้งสอนคัมภึร์เตาร้อตและอินญีล
จงนึกถีงอีก ที่เจ้าได้ปั้นดินเป็นรูปนกโดยคำสั่งของเรา แล้วเจ้าเป่าลงไปบนมัน มันก็บินได้โดยคำสั่งของเรา
และเจ้ายังรักษาผู้ป่วยเป็นโรคตาบอด โรคผิวหนังด่าง ให้หายได้โดยคำสั่งของเรา
จงนึกถึงอีก ที่เจ้าทำให้ตนตายแล้วมีชีวิตขึ้นมาใหม่ได้โดยคำสั่งของเรา
จงนึกถึงความกรุณาของเรา ที่ได้ขัดขวางบะนีอิสราเอลที่จะฆ่าเจ้า
เมื่อเจ้าเอาหลักฐานอันชัดแจ้งมาสอน โดยพวกที่ปฏิเสธตัวเจ้าได้พูดว่า สิ่งที่เจ้าแสดงมานี่เป็นเวทมนต์ทั้งสิ้น”
(อัลมาอิดะฮฺ : 110)
แน่นอน การเรียกร้องสู่อิสลามเกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านมาของบรรดานบีและรซูลของพระองค์ พร้อมกับปฏิหารย์ที่แสดงต่อหน้าหมู่ชนให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นศรัทธา และยืนยันการเป็นศานฑูตของพระองค์ เพียงช่วงเวลาและสถานที่หนึ่ง จนสิ้นสุดลงด้วยการสินอายุขัยของพวกเขา
♥ แต่เราจะพบว่าปฏิหารย์ของนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และรอซูลสุดท้ายของพระองค์ มีความน่าอัศจรรย์หลายสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงการเผยแผ่อิสลามต่อกลุ่มชนของเขา โดยเฉพาะอัลกรุอ่านเป็นปฏิหาริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่ท้าทายมนุษยชาติจนถึงวันกิยามะฮฺ
เพราะความปฏิหาริย์ของอัลกรุอ่านไม่ได้มีความมหัศจรรย์เฉพาะด้านภาษาที่ท้าทายนักอักษร นักประพันธ์ นักโวหารชาวอาหรับรวมตัวประพันธ์ให้เหมือนอัลกรุอ่านสักบทหนึ่ง หรือสักโองการหนึ่งก็ไม่สามารถประพันธ์แต่งได้
ดังคำตรัส ที่ว่า
وَإِن كُنتُمْ فِي رَيْبٍ مِّمَّا نَزَّلْنَا عَلَىٰ عَبْدِنَا فَأْتُوا بِسُورَةٍ مِّن مِّثْلِهِ وَادْعُوا شُهَدَاءَكُم مِّن دُونِ اللَّهِ إِن كُنتُمْ صَادِقِينَ
“ถ้าสูเจ้าสงสัยคัมภีร์กรุอาน ที่เราได้ประทานลงมาแก่ มูฮัมมัด บ่าวของเราแล้ว สูเจ้าจงทำมาให้เหมือนกรุอานนี้สักบทหนึ่งซิ
แล้วจงเชิญผู้อื่นจากอัลลอฮฺ ที่เป็นผู้สนับสนุนสูเจ้าให้มาช่วยเหลือ ถ้าพวกเจ้าเป็นคนจริง (ที่อ้างว่า กรุอานไม่ได้มาจากอัลลอฮฺ)”
(อัลบะกอเราะฮฺ : 23)
เพราะแค่เพียงโองการเดียวจากอัลกรุอ่าน มีความสำนวนโวหาร ฉะฉาน ภาษาที่สะอาดบริสุทธ์หมดจรด ซึ่งอยู่เหนือสิ่งที่พวกเขาคุ้นเคย และนักโวหารเจ้าคารมคมคายยืนยันว่า อยู่เหนือเกินจะบรรยาย กระทั่งทุกวันนี้ปรมาจารย์ด้านวรรณกรรมและภาษาศาสตร์ก็หมดความสามารถ เพราะถ้อยคำภาษาของอัลกรุอ่านอยู่เหนือเกินจินตนาการที่พวกเขารู้มา และยังมีอีกมากที่พวกเขายังไม่รู้ถึงความมหัศจรรย์ในทางภาษาของอัลกรุอ่านอันประเสริฐนี้
ขณะที่โลกมุ่งไปสู่ยุคที่ถูกเรียกว่า ยุคแห่งการประมวลกฎหมาย ผู้บัญญัติกฎหมาย และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านกฏหมายมารวมตัวกัน พวกเขาพบความมหัศจรรย์ของอัลกรุอ่าน นำหน้าความคิดของพวกเขาตั้งแต่ 1400 กว่าปีมาแล้ว เพราะบทบัญญัติของอัลกรุอ่าน มีจำนวน 6,236 โองการ ใน 114 บท และมีหลายโองการที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรม และกฎหมายต่าง ๆ ที่กำหนดขึ้นไว้เป็นข้อบังคับ เป็นหลักเกณฑ์ หรือเป็นกฎหมายผูกมัดมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร มีความสัมพันธ์กับใครก็ตาม
♦ ชึ่งมี 70 โองการที่เกี่ยวกับสถานะส่วนบุคคล หรือที่เรียกว่ากฎหมายครอบครัว เช่น การแต่งงาน การหย่าร้าง เชื้อสาย ความเป็นผู้ปกครอง และการจัดระเบียบความสัมพันธ์ในครอบครัวในสังคม
♦ และ 70 โองการที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกว่ากฎหมายแพ่ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมของบุคคลระหว่างกัน เช่น การเช่า การขาย การจำนอง และอื่น ๆ
♦ และ 30 โองการที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายอาญาซึ่งเกี่ยวข้องกับการกำหนดอาชญากรรม การลงโทษ และการรักษาความจำเป็นห้าประการ (ศาสนา ชีวิต เชื้อสาย ทรัพย์สิน และสติปํญญา)
♦ และ 25 โองการ ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งควบคุมความสัมพันธ์ของรัฐอิสลามกับผู้อื่น และสถานะของผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมในรัฐอิสลาม
♦ และ 13 โองการ ที่เกี่ยวข้องกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ ซึ่งเกี่ยวข้องกับฝ่ายตุลาการ คำให้การ คำสาบาน และการจัดกระบวนการดำเนินคดีเพื่อให้บรรลุความยุติธรรมในสังคม
♦ และ 10 โองการที่เกี่ยวกับกฏหมายรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องระบบการปกครอง ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองกับผู้ถูกปกครอง สิทธิและหน้าที่ของสมาชิกในสังคม
คำถามสำคัญเกิดขึ้นในใจว่า : อัลกุรอานเป็นรัฐธรรมนูญในแง่กฎหมายทั่วไปหรือ ?
ขอตอบว่า : ไม่ใช่เช่นนั้น เพราะ คัมภึร์อัลกุรอ่านครอบคลุมมากกว่านั้น เนื่องจากเป็นพระบัญญัติ และเป็นวิถีชีวิตของมุสลิม และของมนุษยชาติทั้งมวล
เมื่อวิทยาศาสตร์ก้าวหน้า ขอบเขตความคิดของมนุษย์ก็กว้างขึ้น จนมาถีงยุคที่เราเรียกว่า ยุคแห่งวิทยาศาสตร์ และการก้าวกระโดดทางวิทยาศาสตร์กระตุ้นให้มนุษย์เกิดความวิตกกังวลต่อความเชื่อทางศาสนา และวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ก็ได้เปิดเผยแง่มุมใหม่ของความมหัศจรรย์แห่งอัลกุรอาน อันเป็นความน่าอัศจรรย์แห่งความรู้ ตามที่ได้พิสูจน์แล้วว่า ข้อเท็จจริงทั้งหมดที่วิทยาศาสตร์ได้เข้าถึงในทุกภาคส่วนนั้น ได้ถูกกล่าวใว้แล้วในอัลกรุอ่านเมื่อ 1400 กว่าปีโดยไม่มีความคลุมเครือ
อัลลอฮฺทรงประสงค์ให้ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์เหล่านี้ถูกกล่าวถึงในอัลกุรอาน เพื่อแสดงให้เห็นปาฏิหาริย์ของมูฮัมมัด นบีแห่งอิสลามในยุคแห่งวิทยาศาสตร์สมัยใหม่
ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะเป็นนักอ่านวรรณกรรม นักเขียนกวี นักเขียนร้อยแก้ว เป็นนักวิจัยหรือนักเรียน ถ้าคุณเป็นนักเรียนหรือครู นักวิชาการหรือไม่ใช่นักวิชาการ และไม่ว่าคุณจะมีวัฒนธรรมหรือมีการศึกษาระดับใด คุณมีชีวิตอยู่ในยุคไหน ? และไม่ว่าคุณจะอยู่ในรุ่นใดก็ตาม คุณจะพบว่าอัลกุรอานเป็นปาฏิหาริย์ที่มนุษย์ไม่สามารถสร้างขึ้นได้ แม้ผู้คนทั่วโลกจะรวมตัวกันเพื่อจุดประสงค์นั้นก็ตาม