อะหฺลุ้ลฟัตเราะฮฺ
  จำนวนคนเข้าชม  265

อะหฺลุ้ลฟัตเราะฮฺ

 

อ.อิสหาก พงษ์มณี...เรียบเรียง

 

     นักวิชาการอธิบายว่าหมายถึงผู้ที่มีชีวิตอยู่ระหว่างยุครอยต่อของสองนบี คือไม่ทันท่านแรกและท่านที่สองก็ยังไม่ปรากฏ

     กล่าวคือ เกิดไม่ทันท่านแรก และท่านที่สอง ก็ยังไม่มา นักวิชาการส่วนใหญ่ยังนับผู้ที่การเผยแพร่ไปไม่ถึง และลูกหลานกุฟฟารมุชริกีนรวมอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย

 

คนกลุ่มนี้มีหุก่มอย่างไร ?

 

     นักวิชาการมีความเข้าใจแตกต่างกันหลายแนวดังนี้

 

     หนึ่ง รอดพ้นจากการลงโทษโดยปริยายคือรวมถึงลูกหลานกุฟฟารมุชริกีนที่ตายก่อนอาเก้ลบาลิฆ กลุ่มนี้มีอิบนุหัซม์ นะวาวี อิบนุหะญัร กุรฏุบี้ ร่อหิมะฮุ้ลลอฮ์

 

 

     สอง แม้การดะอฺวะฮ์ไปไม่ถึงก็ไม่รอดเพราะอย่างไรเสียก็มได้ศรัทธา กลุ่มนี้มีพวกอะหฺลุ้ลกะลามบางส่วน ผู้ยึดแนววินิจฉัยตามอบูหะนีฟะห์บางส่วน และบางคนที่ยึดวินิจฉัยของอิหม่ามอะหฺหมัด บางคนอ้างเป็นรายงานหนึ่งจากอิหม่ามอะหฺหมัด แต่อิบนุกอยยิมกล่าวว่าอาจารย์ท่าน(อิบนุตันมียะฮ์) เป็นรายงานที่ผิดพลาด(จากอิหม่ามอะหฺหมัด)

 

 

     สาม พวกเขาจะถูกสอบอีกครั้งในวันกิยามะห์ หากสอบผ่านก็เข้าสวรรค์และหากไม่ผ่านก็ไปนรก ท่านอืหม่ามอะบุ้ลหะซัน อัลอัชอะรี่ยืนยันว่าเป็นแนวของสะลัฟส่วนใหญ่และเป็นสิ่งที่ท่านเองเลือกด้วย รวมถึงท่านอิหม่ามอัลบัยฮะกี อิบนุตัยมียะห์ อิบนุกอยยิม ปัจจุบันก็มีเชคบินบาซและอิบนุอุษัยมีน ร่อหิมะฮุ้ลลอฮ์

 

 

อิบนุตัยมียะห์กล่าวว่า

 

قال ابنُ تيميَّةَ: (وهذا التفصيلُ يُذهِبُ الخُصوماتِ التي كَرِهَ الخَوضَ فيه لأجْلِها من كَرِهَه؛ فإنَّ من قَطَع لهم بالنَّارِ كُلِّهم، جاءت نصوصٌ تَدفَعُ قَولَه، ومن قَطَع لهم بالجنَّةِ كُلِّهم، جاءت نصوصٌ تَدفَعُ قَولَه) درء التعارض 8/401

 

     “การแยกลักษณะดังกล่าวเป็นขจัดความขัดแย้งต่างๆ ที่มี(ผู้รู้บางท่าน)ไม่ประสงค์ให้ลงลึกในเรื่องดังกล่าว แน่นอนสำหรับผู้ชี้ขาดว่าต้อกตกนรกอย่างเดียว ก็ขัดกับตัวบทหลักฐาน หรือสำหรับผู้ที่ชี้ขาดว่าต้องเข้าสวรรค์อย่างเดียวก็ขัดกับตัวบทหลักฐาน” 

ดันอุตตะอารุฎ : 8/401

 

     ท่านอิบนุตัยมียะห์ยังอธิบายตอบโต้ชี้แจงเหตุผลและข้ออ้างต่างๆ ของคนกลุ่มแรกรวมถึงกลุ่มที่สองไว้อย่างสมเหตุสมผล (ตรงนี้ขอเว้นจะไม่กล่าวถึงเกรงจะยืดยาว) สรุปคือแนวทางที่สามนี้เท่านั้นที่สอดคล้องกับตัวบทหลักฐานทั้งหมดโดยไม่ละวางตัวยทหลักฐานใด หาไม่แล้วจะเป็นการยึดตัวบทหลักฐานบางบทและทิ้งบางบท

 

     ชาวพุทธ พราหมณ์ มะยูซี ก๋งจื้อ เล่าจื้ ชินโตก็ดี ชาวเขาก็ดี ขาวป่าที่ไกลห่างก็ดี คนหูหนวกก็ดี คนแก่ที่หมดสภาพก็ดี และรวมถึงเด็กทารกของกุฟฟารมุชริกีนที่ตายลงก่อนอาเก้ลยาลิฆ สะลัฟส่วนใหญ่และปราชญ์ส่วนหนึ่งมีคำอธิบายไว้เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นผู้ที่กังวลสับสนในเรื่องนี้ควรศึกษาคำตอบได้จากคำอธิบายเหล่านัน

 

     อนึ่ง คำว่า “อุมมะห์” มิได้หมายถึงลัทธิความเชื่อ ไม่ใช่เชื้อชาติหรือเผ่าพันธุ์ หากแต่หมายถึงยุคสมัยดังนั้นนักวิชาจึงแยกความหมายของคำว่า “อุมมะห์” ไว้เป็นสองลักษณะคือ

 

1-อุมมะตุดดะอฺวะห์   (ผู้ที่ยังไม่ศรัทธา)

2-อุมมะตุสติญาบะห์ (ผู้ตอบรับและศรัทธาแล้ว)

 

     อุมมะห์ของแต่ละนบีหรือร่อซูลก็ไม่ต่างกันคือมีทั้งสองลักษณะ หากใครอยู่ในยุคใดผู้นั้นก็ถือว่าเป็นอุมมะห์ของนบีนั้นๆ หากยังไม่ตอบรับและศรัทธาก็ถูกเรียกว่า “อุมมะตุดดะอฺวะห์” และถ้าตอบรับการดะอฺวะห์ก็เรียกว่า “อุมมะตุสติญาบะห์”

 

     การไม่ตอบรับอาจเป็นไปได้หลายทางคือ การดะอฺวะห์ไปไม่ถึง ไปถึงแต่กลไกรับรู้สูญเสียไป เช่น คนหูหนวก ปัญญาอ่อน แก่เฒ่าจนขาดสติแยกแยะอะไรได้ เสียชีวิตก่อนอาเก้ลบาลิฆ คนพวกนี้หากตายไปในสภาพดังกล่าว ในวันฟื้นคืนชีพมีตัวบทว่าพวกเขาจะถูกทดสอบหากเลือกได้ถูกต้องก็เข้าสวรรค์ไปและหากเลือกผิดก็ลงนรกไป

 

     แต่ถ้าการดะอฺวะห์มีไปถึงแล้วแต่ไม่ศรัทธา แน่นอนคนเหล่านั้นคือผู้ปฏิเสธและต้องได้รับโทษของการปฏิเสธ

 

     เรื่องนี้ยังมีคำอธิบายและรายละเอียดอีกหลายประการแต่ขอเว้นไว้ก่อน เพราะคิดว่าแค่นี้คงพอเป็นคำตอบให้แก่คนที่สับสนเรื่องที่อัลลอฮ์กล่าวว่า “เราส่งร่อซูลไปยังทุกๆ ประชาชาติ ฯ” ในแต่ยุคสมัยไม่มีการว่างเว้นจากการส่งร่อซู้ลมาสอน แต่คำสอนของร่อซูลหรือนบีนั้นๆ จะไปถึงหมู่ชนใดหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง และถ้าไปไม่ถึงจะด้วยกรณีใดคนพวกนั้นคือกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่า “อะห์ลั้ลฟัตเราะห์” สำหรับคนกลุ่มนี้สะลัฟมีคำอธิบายให้แล้ว