อย่าให้เรื่องราวของเพศที่สามนำเราไปสู่การถูกลงโทษ
  จำนวนคนเข้าชม  288

อย่าให้เรื่องราวของเพศที่สามนำเราไปสู่การถูกลงโทษ

 

ค่อเฏ็บ อับดุลสลาม เพชรทองคำ

 

         ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงสั่งใช้เราให้มีอัตตักวา คือมีความยำเกรงต่อพระองค์เพียงองค์เดียวเท่านั้น ดังนั้น เราจึงต้องสร้างความยำเกรงต่อพระองค์ให้เกิดขึ้นในหัวใจของเราให้ได้ โดยการศึกษา แสวงหาความรู้ในเรื่องราวของบทบัญญัติศาสนา พยายามทำความเข้าใจ และนำมาสู่การปฏิบัติ ด้วยการปฏิบัติตามคำสั่งใช้ของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา โดยพยายามทำให้สุดความสามารถของเรา ..ในขณะเดียวกัน ก็ต้องออกห่างจากคำสั่งห้ามของพระองค์โดยสิ้นเชิง พร้อมกันนั้นก็ต้องปฏิบัติอิบาดะฮฺทุกอย่างให้อยู่ในแบบฉบับของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมด้วย นั่นก็คือ ต้องไม่ทำบิดอะฮฺนั่นเอง

 

          ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย ในอัลกุรอาน ซูเราะฮฺอัชชุอะรออ์ อายะฮฺที่ 160 - 173 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงเล่าเรื่องราวของ เกามุ ลูฏ قَوۡمُ لُوطٍ หรือเรื่องราวของประชาชาติในสมัยท่านนบีลูฏ อะลัยฮิสสลาม ซึ่งเป็นประชาชาติที่ตั้งรกรากอยู่ที่สองเมืองใหญ่ ก็คือเมืองสุดูมและเมืองอุมูรียะฮฺ กับอีกบางหมู่บ้านที่อยู่ใกล้ ๆกับสองเมืองใหญ่นี้ ... 

          ดังนั้นประชาชาติของท่านนบีลูฏจึงมีเป็นจำนวนมาก ..เมื่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงแต่งตั้งท่านนบีลูฏ ให้เป็นนบี ให้เป็นเราะซูลของพวกเขา พวกเขาก็ไม่ได้เชื่อฟัง พวกเขาดื้อดึง ไม่ยอมรับฟังคำตักเตือนของท่านนบีลูฏ ซึ่งก็เท่ากับว่า พวกเขานั้นปฏิเสธท่านนบีลูฏ ..ซึ่งอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงเล่าว่า

 

كَذَّبَتۡ قَوۡمُ لُوطٍ ٱلۡمُرۡسَلِينَ 160

 

“ประชาชาติของลูฏได้ปฏิเสธบรรดาเราะซูล”

 

          ความจริง ประชาชาติของท่านนบีลูฏนั้นปฏิเสธท่านนบีลูฏเพียงท่านเดียว แต่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงบอกว่า พวกเขาปฏิเสธบรรดาเราะซูล ซึ่งนั่นก็หมายความว่า การปฏิเสธเราะซูลของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาแม้เพียงแค่ท่านเดียว ก็เท่ากับปฏิเสธบรรดาเราะซูลของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทั้งหมด และการปฏิเสธบรรดาเราะซูลของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาก็คือ การปฏิเสธรุก่นอีมานประการที่สี่ ในเรื่องของการศรัทธาต่อบรรดาเราะซูลของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา อันมีผลให้เขาอยู่ในสภาพตกมุรตัด หลุดสภาพออกจากการเป็นมุสลิม ..นี่จึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราต้องตระหนักให้ดี

 

      ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาได้ตรัสต่อไปว่า

 

إِذۡ قَالَ لَهُمۡ أَخُوهُمۡ لُوطٌ أَلَا تَتَّقُونَ 161

 

     “(มุฮัมมัด) จงรำลึกถึงขณะที่พี่น้องของพวกเขาคนหนึ่งที่ชื่อลูฏ ได้กล่าวกับพวกเขาว่า...

     พวกท่านไม่ยำเกรง(ต่อคำสั่งของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ไม่กลัวเกรงต่ออะซาบหรือการลงโทษของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา)หรอกหรือ ?”

 

إِنِّي لَكُمۡ رَسُولٌ أَمِينٞ 162

 

“แท้จริง ตัวฉันนี้เป็นเราะซูลผู้ซื่อสัตย์สำหรับพวกท่าน”

 

فَٱتَّقُواْ ٱللَّهَ وَأَطِيعُونِ 163

 

“ดังนั้นพวกท่านจงยำเกรงอัลลอฮฺ และจงเฏาะอะฮฺ (ก็คือจงเชื่อฟังและปฏิบัติตามฉัน)

 

وَمَآ أَسۡـَٔلُكُمۡ عَلَيۡهِ مِنۡ أَجۡرٍۖ إِنۡ أَجۡرِيَ إِلَّا عَلَىٰ رَبِّ ٱلۡعَٰلَمِينَ 164

 

     “และฉันนี้ไม่ได้มาขอสินจ้างรางวัลอะไรจากพวกท่าน ในการที่ฉันนี้มาให้พวกท่านเฏาะอะฮฺต่อฉัน (ไม่ได้มาขอรางวัลตอบแทนใด ๆจากพวกท่านในการที่จะให้พวกท่านมาเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำตักเตือนของฉัน) 

     เพราะไม่มีรางวัลตอบแทนใด ๆนอกจาก ณ ที่พระเจ้าของฉัน ซึ่งเป็นพระเจ้าแห่งสากลโลก (ก็คือขอรับรางวัลตอบแทนจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาเท่านั้น)

 

أَتَأۡتُونَ ٱلذُّكۡرَانَ مِنَ ٱلۡعَٰلَمِينَ 165

 

“พวกท่าน(ซึ่งเป็นผู้ชาย)จะมาสมสู่พวกผู้ชายจากหมู่มนุษย์บนหน้าโลกนี้อย่างนั้นหรือ?”

 

وَتَذَرُونَ مَا خَلَقَ لَكُمۡ رَبُّكُم مِّنۡ أَزۡوَٰجِكُمۚ بَلۡ أَنتُمۡ قَوۡمٌ عَادُونَ 166

 

“แล้วพวกท่านก็กลับปล่อยทิ้งคู่ครอง(ที่เป็นหญิงของพวกท่าน) 

ซึ่งเป็นสิ่งที่ดียิ่งที่พระเจ้าของพวกท่านทรงสร้างมาสำหรับพวกท่าน.. 

แน่นอน พวกท่านเป็นหมู่ชนผู้ฝ่าฝืน ผู้ล่วงละเมิดขอบเขต”

 

          อายะฮฺต่าง ๆดังกล่าวข้างต้น นั่นก็หมายความว่า อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงสร้างให้ผู้ชายเป็นคู่กับผู้หญิง ให้ผู้ชายได้นิกาหฺ ได้แต่งงานกับผู้หญิง อันเป็นหนทางที่จะนำความสุขในการเป็นคู่ครองกันอย่างแท้จริง ..

          แต่ประชาชาติในสมัยท่านนบีลูฏนั้น พวกผู้ชายกลับไม่สนใจผู้หญิง พวกเขาจะมีความสัมพันธ์ทางเพศกับบรรดาผู้ชายด้วยกันทางทวารหลัง หรือที่เรียกว่า การลิวาฏ اللواط อันนำมาซึ่งความหายนะ 

          พวกเขาจึงเป็น เกามุน อาดูน قَوۡمٌ عَادُونَ คือเป็นกลุ่มชนผู้ฝ่าฝืน ผู้ล่วงละเมิดต่อบทบัญญัติศาสนาของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ..

          พวกเขาทำสิ่งที่ไม่เคยมีมนุษย์คนใด หรือประชาชาติใดเคยทำมันมาก่อนเลยแม้สักคนเดียว 

 

          หลักฐานอยู่ในอัลกุรอานซูเราะฮฺอัลอันกะบูต อายะฮฺที่ 28 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า

 

إِنَّكُمۡ لَتَأۡتُونَ ٱلۡفَٰحِشَةَ مَا سَبَقَكُم بِهَا مِنۡ أَحَدٖ مِّنَ ٱلۡعَٰلَمِينَ

 

(ท่านนบีลูฏได้กล่าวกับประชาชาติของท่านว่า)...แท้จริงพวกท่านได้นำอัลฟาฮิชะฮฺมา(เป็นพวกแรก) 

ซึ่งไม่มีประชาชาติใดบนหน้าโลกนี้เคยทำมันมาก่อนเลยแม้สักคนเดียว”

** อัลฟาฮิชะฮ.นั้นก็คือ การลิวาฏ นั่นเอง

 

          ท่านนบีลูฏได้ทำหน้าที่เราะซูลของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาอย่างซื่อสัตย์ในการตักเตือนพวกเขา ให้พวกเขาออกห่างจากการทำความชั่วนี้เป็นเวลาหลายต่อหลายปี ทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถ แต่พวกเขาก็ดื้อดึง ไม่ยอมเชื่อฟัง พวกเขากล่าวว่า

 

قَالُواْ لَئِن لَّمۡ تَنتَهِ يَٰلُوطُ لَتَكُونَنَّ مِنَ ٱلۡمُخۡرَجِينَ 167

 

     “พวกเขากล่าวว่า โอ้ลูฏเอ๋ย หากท่านไม่ยุติ(การกระทำของท่าน ไม่หยุดต่อต้านเรา ) ท่านจะต้องเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่ถูกขับไล่ให้ออกไปจากแผ่นดินนี้อย่างแน่นอน”

 

          นั่นก็หมายความว่า หากท่านนบีลูฏยังไม่ยอมหยุดเรียกร้องให้พวกเขาละเลิกการทำลิวาฏนี้ พวกเขาก็จะขับไล่ท่านนบีลูฏให้ออกไปจากบ้านเรือนของท่านเอง

 

قَالَ إِنِّي لِعَمَلِكُم مِّنَ ٱلۡقَالِينَ 168

 

(ท่านนบีลูฏ)กล่าวว่า แท้จริง ฉันนี้เกลียดการกระทำ(ลิวาฏ)ของพวกท่านอย่างที่สุด”

 

คำว่า ٱلۡقَالِينَ อัลกอลีน แปลว่า อะชัดดุล เฆาะฎ็อบ أشَد الغضب โกรธ เกลียดอย่างที่สุด ..

โกรธ เกลียดเพราะมันเป็นการกระทำที่ขัดคำสั่งของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา .. 

        เมื่อเป็นดังนี้ ท่านนบีลูฏก็ทราบแล้วว่า เมื่อพวกเขาดื้อดึงอย่างนี้ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาก็จะต้องทรงส่งการลงโทษมายังพวกเขาอย่างแน่นอน ท่านนบีลูฏกล่าวว่า

 

رَبِّ نَجِّنِي وَأَهۡلِي مِمَّا يَعۡمَلُونَ 169

 

     “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงช่วยเหลือข้าพระองค์ และพวกพ้องของข้าพระองค์(ที่เชื่อฟัง)ให้รอดพ้นจากสิ่งเลวทรามที่พวกเขากระทำกัน”

 

فَنَجَّيۡنَٰهُ وَأَهۡلَهُۥٓ أَجۡمَعِينَ 170

 

     “ดังนั้น เรา(คืออัลลอฮฺ) จึงได้ช่วยเขา(คือช่วยท่านนบีลูฏ) และพวกพ้องของเขาทั้งหมด(ที่เชื่อฟังท่านนบีลูฏ)ให้รอดพ้น(จากการถูกลงโทษจากพระองค์)

 

إِلَّا عَجُوزٗا فِي ٱلۡغَٰبِرِينَ 171

 

     “นอกจากหญิงแก่คนหนึ่ง ที่ถูกทิ้งไว้ให้อยู่ในหมู่ผู้ถูกทำลาย”

 

ثُمَّ دَمَّرۡنَا ٱلۡأٓخَرِينَ 172

 

     “แล้วเราได้ทำลายล้างคนอื่นๆจนหมดสิ้น”

 

 

          ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย “หญิงแก่คนหนึ่งที่ถูกทิ้งไว้ให้อยู่ในหมู่ผู้ถูกทำลาย”คนที่ว่านี้ ตัฟซีรอธิบายว่า หมายถึง ภรรยาของท่านนบีลูฏ ซึ่งนางนั้นเป็นคนที่เชื่อฟังและปฏิบัติตามท่านนบีลูฏในเรื่องอื่น ๆ ทุกเรื่อง ยกเว้นสำหรับในเรื่องของการทำลิวาฏนี้ที่นางเห็นด้วย นางจึงต่อต้านท่านนบีลูฏในเรื่องนี้ 

         นางไม่ได้ลงมือทำสิ่งชั่วช้านี้เอง แต่นางช่วยเหลือ ส่งเสริม สนับสนุนให้มีการกระทำในเรื่องนี้ เพราะเมื่อเวลาที่มีแขกผู้ชายมาที่บ้านท่านนบีลูฏ แม้กระทั่งมะลาอิกะฮฺที่แปลงร่างเป็นเพศชายมาที่บ้านท่านนบีลูฏ นางก็จะเป็นคนคอยส่งสัญญาณให้คนอื่น ๆรู้ว่า มีผู้ชายมาที่บ้าน เพื่อให้พวกเขาเข้าหาผู้ชายเหล่านั้น...

          ด้วยเหตุนี้ นางจึงเป็นคนที่ทรยศต่อท่านนบีลูฏ และเป็นคนหนึ่งที่ได้รับการลงโทษของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาพร้อม ๆ กับพวกพ้องของนางที่ถูกทำลาย

 

وَأَمۡطَرۡنَا عَلَيۡهِم مَّطَرٗاۖ فَسَآءَ مَطَرُ ٱلۡمُنذَرِينَ 173

 

“และเรา (อัลลอฮ์)ได้ให้ฝนตกกระหน่ำอย่างหนักลงมายังพวกเขา ซึ่งฝนของบรรดาผู้ถูกตักเตือนนั้น มันช่างเลวร้ายเสียยิ่งกระไร”

 

         ♦ มันช่างเลวร้าย เพราะมันเป็นฝนที่ไม่ใช่น้ำฝนที่เย็นชุ่มฉ่ำ แต่เป็นฝนที่เป็นหินแกร่ง และไม่ใช่หินบนหน้าแผ่นดินนี้ แต่เป็นหินจากนรกที่ถูกตีตรา ถูกทำเครื่องหมายมาจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ถูกให้ตกลงมาจากฟากฟ้าอย่างฝน ไม่ใช่ตกลงมาทีละเม็ด ทีละก้อน แต่ตกลงมาอย่างหนาแน่น มืดครึ้มไปหมด ด้วยเดชานุภาพของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา

        นอกจากนี้แล้ว ยังมีการลงโทษอย่างอื่น ๆ อีกสามประการตามที่ปรากฏหลักฐานอยู่ในซูเราะฮฺอื่น ๆ อีก นั่นก็คือ 

         ♦ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงทำให้ดวงตาของพวกเขาบอด 

          ♦ และทรงให้เสียงกัมปนาทคร่าชีวิตพวกเขา 

        ♦ และได้ทรงพลิกแผ่นดินที่พวกเขาอาศัยอยู่จากบนเป็นล่าง โดยทรงให้มะลาอิกะฮฺช้อนปีกไปใต้แผ่นดินที่พวกเขาอยู่อาศัย แล้วก็ยกขึ้นสูงสุด แล้วก็พลิกกลับลงมา ..

        ทั้งหมดนี้เป็นการลงโทษประชาชาติในสมัยท่านนบีลูฏ สำหรับความผิดในการทำลิวาฏ หรือการมีความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างชายด้วยกัน เป็นการลงโทษสี่ประการในคราวเดียวกัน โดยไม่เคยทรงลงโทษประชาชาติใดด้วยการลงโทษในคราวเดียวกันเช่นนี้มาก่อนเลย ซึ่งนั่นย่อมแสดงให้เห็นว่า พฤติกรรมการกระทำของพวกเขาเป็นเรื่องที่เลวร้ายยิ่งนัก

 

          ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย เรื่องของการทำลิวาฏของคนในยุคสมัยท่านนบีลูฏนั้น มันยังไม่ได้หายไปไหน แต่ยังปรากฏต่อมาในทุกยุคทุกสมัย เรื่อยมา แม้แต่ในสมัยท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมก็ปรากฏเรื่องราวเหล่านี้เช่นกัน โดยที่ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้กล่าวว่า ใครพบเห็นชายสมสู่กับชาย ก็ให้ประหารชีวิตทั้งผู้ที่กระทำและผู้ถูกกระทำ

 

       อัลหะดีษ ในเศาะหิหฺของอิมามอะบีดาวูด รายงานจากท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุ อับบาส เล่าว่า ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวว่า

 

«مَنْ وَجَدْتُـمُوْهُ يَـعْمَلُ عَمَلَ قَوْمِ لُوطٍ فَاقْتُلُوا الفَاعِلَ وَالمَفْعُولَ بِـهِ

 

     “ใครที่ได้พบเห็นคนที่ปฏิบัติเฉกเช่นเดียวกับประชาชาติในสมัยท่านนบีลูฏ (คือมีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายด้วยกัน) ก็ให้ประหารชีวิตทั้งผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ”

 

     จวบจนถึงปัจจุบันนี้ เรื่องของการลิวาฏก็ยังคงปรากฏอยู่ ตามที่เราก็ทราบกันดี และยังรวมถึงพฤติกรรมทุกลักษณะในเรื่องที่เกี่ยวกับเพศที่สาม หรือเรื่องราวของการเบี่ยงเบนทางเพศทั้งหมด 

ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างหญิงด้วยกันที่เรียกว่า ซิฮาก السحاق 

ไม่ว่าจะเรื่องของการเลียนแบบพฤติกรรมของเพศตรงข้าม ชายที่ทำตัวเป็นหญิง ที่เรียกว่า มุคอนนัษ المخنث 

หรือหญิงที่ทำตัวเป็นชาย ที่เรียกว่า มุตะรอจญิละฮฺ جلة لمترا 

     ซึ่งเรื่องราวของการเบี่ยงเบนทางเพศเหล่านี้เข้าข่ายที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงห้ามทั้งสิ้น

 

         แต่ก็มีบางคนที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาได้ทรงทดสอบพวกเขา โดยทรงสร้างให้พวกเขามีอวัยวะเพศทั้งชายและหญิงอยู่ในคน ๆเดียวกัน หรืออาจจะไม่มีอวัยเพศทั้งสองเลย มีเพียงช่องทางเป็นทางออกของปัสสาวะเท่านั้น ซึ่งในภาษาอาหรับเรียกคนประเภทนี้ว่า คุณซา خُنثَى ซึ่งอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงให้เกียรติพวกเขา ทรงให้พวกเขาได้มีศักดิ์ศรีเช่นคนปกติทั่วไป รวมทั้งให้เขาได้เลือกว่าจะเป็นเพศใดก็ได้ เพียงเพศใดเพศหนึ่ง อีกทั้งยังทรงกำหนดบทบัญญัติต่าง ๆอย่างชัดเจนสำหรับพวกเขา รวมทั้งให้พวกเขาได้มีสิทธิในการรับมรดกอีกด้วย ...

          ซึ่งถ้าเขาเลือกที่จะเป็นเพศชาย เขาก็จะใช้บทบัญญัติสำหรับผู้ชาย แต่ถ้าเขาเลือกจะเป็นเพศหญิง เขาก็จะใช้บทบัญญัติสำหรับผู้หญิง ..ดังนั้น พวกเขาซึ่งมีลักษณะของคุณซา خُنثَى จึงไม่ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มของผู้มีความเบี่ยงเบนทางเพศแต่อย่างใด

 

           ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย เรื่องราวดังกล่าวข้างต้น แสดงให้เราเห็นแล้วว่า เรื่องของการเบี่ยงเบนทางเพศทั้งหมดทุกเรื่องราว เป็นเรื่องที่เลวร้ายยิ่งนัก นำมาซึ่งความโกรธกริ้วของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา นำมาซึ่งการถูกลงโทษจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เป็นเรื่องที่เป็นความเลวร้าย เป็นอาชญากรรม นำมาซึ่งโรคร้ายที่รักษาไม่หาย เช่น โรคเอดด์ ฝีดาษลิง .. 

 

          และเมื่อเรื่องราวเหล่านี้ถูกทำให้เป็นเรื่องที่ถูกกฎหมายดังเช่นที่ปรากฎอยู่ในยุคปัจจุบันนี้ รวมถึงยังมี การออกกฎหมายสมรสเท่าเทียม ซึ่ง ก็เท่ากับเป็นการเปิดช่องทางให้พฤติกรรมการเบี่ยงเบนทางเพศเกิดขึ้นได้อย่างได้อย่างแพร่หลาย ไม่ต้องหลบ ๆซ่อน ๆ ไม่ต้องอายสายตาใคร ๆ ก็เท่ากับทำให้เรื่องเลวร้ายนี้แพร่ระบาดมากยิ่งขึ้นไปอีก ..

 

          ดังนั้น เราจึงต้องไม่เห็นดีเห็นงามไปกับเรื่องเหล่านี้ ต้องไม่ส่งเสริม ต้องไม่สนับสนุนในเรื่องเหล่านี้ ไม่ว่าทางใดก็ตาม ..และถ้าหากเราไม่สามารถหยุดยั้งอะไรได้ อย่างน้อย ๆใจของเราก็ต้องไม่ยอมรับในเรื่องเหล่านี้ อย่าไปเห็นดีเห็นงามกับเรื่องเหล่านี้อย่างเด็ดขาด จึงเป็นเรื่องที่เราต้องระมัดระวังตัวเรา ดูแลลูกหลานของเรา คนในสังคมของเราให้ออกห่างจากเรื่องเหล่านี้ อย่าไปทำพฤติกรรมเหล่านี้ อย่าไปส่งเสริม อย่าไปสนับสนุน อย่าไปเห็นด้วย อย่าไปเห็นดีเห็นงาม เพราะถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้ทำ แต่ถ้าเราไปส่งเสริม ไปสนับสนุน ไปเห็นด้วย ก็เสมือนกับเรามีพฤติกรรมดังเช่นภรรยาของท่านนบีลูฏ ที่แม้แค่เพียงไปส่งเสริม ไปสนับสนุน ไม่ได้ลงมือ ไม่ได้มีพฤติกรรมรักร่วมเพศด้วยซ้ำ ยังต้องได้รับการลงโทษเช่นเดียวกัน จึงเป็นเรื่องที่เราต้องตระหนักให้มาก ๆ

 

 

          สุดท้ายนี้ ขออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงคุ้มครองเราทุกคน คุ้มครองบรรดามุสลิมให้รอดพ้นจากพฤติกรรมของการเบี่ยงเบนทางเพศ ขอพระองค์ทรงโปรดช่วยเหลือเราให้ได้ยึดมั่นในบทบัญญัติศาสนาของพระองค์อย่างสุดความสามารถ ให้รอดพ้นจากการถูกลงโทษของพระองค์ และขอให้เราได้เสียชีวิตในสภาพที่นอบน้อมยอมจำนนต่อบทบัญญัติของพระองค์โดยสิ้นเชิง

 

 

 

( คุฏบะฮฺวันศุกร์มัสญิดดารุ้ลอิหฺซาน บางอ้อ )