อย่าหันหลังให้บทบัญญัติศาสนา
  จำนวนคนเข้าชม  769

อย่าหันหลังให้บทบัญญัติศาสนา

 

ค่อเฏ็บ อับดุลสลาม เพชรทองคำ

 

         ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงสั่งใช้เราให้มีอัตตักวา คือมีความยำเกรงต่อพระองค์เพียงองค์เดียวเท่านั้น ดังนั้น เราจึงต้องสร้างความยำเกรงต่อพระองค์ให้เกิดขึ้นในหัวใจของเราให้ได้ โดยการศึกษา แสวงหาความรู้ในเรื่องราวของบทบัญญัติศาสนา พยายามทำความเข้าใจ และนำมาสู่การปฏิบัติ ด้วยการปฏิบัติตามคำสั่งใช้ของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา โดยพยายามทำให้สุดความสามารถของเรา ..ในขณะเดียวกัน ก็ต้องออกห่างจากคำสั่งห้ามของพระองค์โดยสิ้นเชิง พร้อมกันนั้นก็ต้องปฏิบัติอิบาดะฮฺทุกอย่างให้อยู่ในแบบฉบับของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมด้วย นั่นก็คือ ต้องไม่ทำบิดอะฮฺนั่นเอง

 

          ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย ถ้าหากเราสังเกต เราจะพบว่า ในยุคปัจจุบันนี้ หากเรามองเข้าไปในสังคม ทั้งสังคมที่เรามองเห็น หรือสังคมในสื่อโซเชียล ไม่ว่าจะเป็นสังคมมุสลิม และสังคมที่ไม่ใช่มุสลิม เราจะพบว่า เรื่องราวบางเรื่องที่มันเคยเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เรื่องที่มันผิดต่อบทบัญญัติศาสนาของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลานั้น นับวันจะถูกทำให้เห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา กลายเป็นเรื่องปกติ 

 

          ยกตัวอย่างเช่น เรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง การถูกเนื้อต้องตัวกันระหว่างชายหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานกันนั้น มันเป็นเรื่องที่ผิดต่อบทบัญญัติศาสนาของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา แต่ในปัจจุบันมันก็ถูกทำให้เห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา ..คู่แต่งงานบางคู่ แต่งงานกันแล้วแต่กลับมีกิ๊กกัน สิ่งต่าง ๆเหล่านี้ก็ถูกทำให้กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปเสียแล้ว ..

 

          หรือ เรื่องราวของเพศที่สาม ที่สมัยก่อนผู้คนต่างก็ไม่ยอมรับ แม้แต่สังคมของคนต่างศาสนิกก็ไม่ยอมรับไม่เรื่องเหล่านี้ แต่ปัจจุบันก็ถูกทำให้เป็นเรื่องปกติ ถูกทำให้มองเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา มีการออกกฎหมายรับรองเรื่องราวของเพศที่สาม มีออกกฎหมายการสมรสเท่าเทียมกันเกิดขึ้น ..ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เพียงคำว่า เสรีภาพ ..มองทุกคนว่าต้องมีเสรีภาพในการทำอะไรก็ได้ มีการจัดให้เดือนมิถุนายนเป็นเดือนแห่งความหลากหลายทางเพศ แล้วก็แข่งขันกันว่า ใครจะให้เสรีภาพในเรื่องนี้ได้ดีกว่า และทั้ง ๆที่การมีความสัมพันธ์ทางเพศกับเพศเดียวกันนั้น มันเป็นต้นตอของโรคภัย เป็นสาเหตุของโรคเอดศ์ โรคภัยร้ายแรงที่ยังไม่มียารักษาให้หาย แล้วก็สามารถแพร่กระจายไปยังผู้อื่นได้ ไม่ว่าจะคนในครอบครัว ลูกหลาน หรือคนอื่น ๆ แต่ผู้คนก็ไม่ได้สนใจในประเด็นเหล่านี้ ซึ่งก็นับว่าเป็นเรื่องแปลก เพราะอย่างเมื่อมีโรคโควิดระบาด ผู้คนต่างก็พยายามคิดค้นวัคซีนต่าง ๆเพื่อที่จะป้องกันโควิดไม่ให้แพร่ระบาดออกไป แต่กลับไม่สนใจที่จะป้องกันโรคร้ายที่จะเกิดขึ้นจากการมีความสัมพันธ์ทางเพศกับเพศเดียวกัน กลับสนับสนุนให้เรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ซึ่งแน่นอน โรคร้ายจากการมีความสัมพันธ์ที่ผิดเพี้ยนเหล่านี้ก็ต้องมีการระบาดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้...

 

          นอกจากเรื่องราวเหล่านี้แล้วก็ยังเรื่องราวอื่นๆอีก เรื่องของการโกงกิน การคอร์รั่ปชั่น เรื่องของความไม่ยุติธรรม การผิดคำพูด ผิดคำสัญญา เรื่องต่าง ๆเหล่านี้ คนที่พูด คนที่ทำ เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องน่าอาย ออกมาแก้ตัว ให้เหตุผลโน่น นี่ นั่น ..ฟังแล้วก็ได้แต่เศร้าใจ ..ผู้คนส่วนหนึ่งทำเสมือนว่า เรื่องผิด ๆ เรื่องที่มันไม่ถูกต้อง มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าอายเสียแล้ว ..

 

          แล้วก็ยังมีเรื่องอื่น ๆ อีกมากมายหลายเรื่อง อย่างในเรื่องของบทบัญญัติศาสนา เรื่องราวของบิดอะฮฺ ก็ถูกทำเสมือนว่าเป็นเรื่องธรรมดา ๆ ทำก็ไม่เห็นจะเป็นไร ไปคิดเอาเองว่า การทำบิดอะฮฺก็เป็นการทำอิบาดะฮฺนั่นแหละ ซึ่งมันเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติศาสนา

 

          ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย ดังนั้น เราในฐานะที่เป็นมุสลิม เป็นบ่าวของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เราจึงจำเป็นต้องยึดมั่นในบทบัญญัติศาสนาของพระองค์ให้ได้อย่างเหนียวแน่น ให้ได้อย่างมั่นคง ..อย่าหลงไปตามกระแสที่มันไม่ถูกต้อง อย่าไปทำตามเรื่องราวที่มันผิดต่อบทบัญญัติศาสนา แต่เรากลับต้องพยายามยึดมั่นต่อบทบัญญัติศาสนาอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เราอย่าหันหลังให้กับบทบัญญัติศาสนาของพระองค์อย่างเด็ดขาด เพราะผลของการหันหลังให้กับบทบัญญัติศาสนาของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลานั้นร้ายแรงยิ่งนัก

 

ในอัลกุรอานซูเราะฮฺอัซซัจญฺดะฮฺ อายะฮฺที่ 22 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า

 

وَمَنْ أَظْلَمُ مِمَّن ذُكِّرَ بِآيَاتِ رَبِّهِ ثُمَّ أَعْرَضَ عَنْهَا ۚ إِنَّا مِنَ الْمُجْرِمِينَ مُنتَقِمُونَ

 

“และผู้ใดเล่าจะอธรรมยิ่งไปกว่าผู้ที่ถูกเตือนให้รำลึกถึงสัญญาณทั้งหลายของพระเจ้าของเขา แล้วเขาก็หันหลังให้กับสัญญาณเหล่านั้น

แท้จริงเรา(อัลลอฮฺ)เป็นผู้ทรงลงโทษบรรดาผู้กระทำผิด”

 

คำว่า “ بِآيَاتِ رَبِّهِ   สัญญาณทั้งหลายของพระเจ้าของเขา“ 

          หมายถึง สัญญาณทุกอย่างที่เราสามารถพบได้ เห็นได้ พิจารณาได้ในทุกสิ่งที่มีอยู่ในโลกนี้ ในชั้นฟ้านี้และในระบบจักรวาลทั้งหมด ว่ามันมีอยู่ได้อย่างไร มีอยู่ทำไม มีกลางวันกลางคืนได้อย่างไร มีเพื่ออะไร ..

 

          หรือพบได้จากภัยพิบัติต่าง ๆที่เกิดขึ้น เช่น สึนะมิ ว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร ..น้ำท่วมเกิดจากอะไรได้บ้าง ..หรือพบได้จากตัวของเราเองและระบบต่าง ๆภายในร่างกายของเรา ว่ามีหู มีตา มีจมูก มีระบบอัตโนมัติอยู่ภายในร่างกายของเรา ระบบหัวใจ ระบบทางเดินอาหาร ระบบต่าง ๆเหล่านี้เป็นระบบที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก ชวนให้เราได้ตระหนักว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเกิดมาจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ผู้ทรงยิ่งใหญ่เกรียงไกร ผู้ทรงเดชานุภาพ ....

 

          และเหนือบรรดาสัญญาณดังกล่าวมาแล้วทั้งหมดก็คือ บรรดาอายะฮฺทั้งหมดที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาได้ประทานลงมาให้แก่เรา ก็คืออัลกุรอาน อันเป็นคัมภีร์ที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาได้ทรงวะฮีย์แก่ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ผู้ซึ่งพระองค์ทรงแต่งตั้งให้เป็นนบี เป็นเราะซูล เป็นตัวแทนของพระองค์ เพื่อให้ทำหน้าที่ประกาศเตาฮีด ประกาศเอกภาพในการเป็นพระเจ้าองค์เดียวให้แก่พระองค์

 

 

          ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย จากอายะฮฺข้างต้นนี้ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงบอกว่า ไม่มีใครอีกแล้วที่จะอธรรมต่อตัวของเขาเอง ยิ่งไปกว่าผู้ที่เมื่อเขาถูกตักเตือน ถูกแนะนำด้วยอายะฮฺต่างๆหรือสัญญาณต่างๆของพระองค์แล้ว พวกเขาก็หันหลังหรือผินหลังให้ ไม่สนใจต่อคำแนะนำตักเตือนนั้น พวกเขาไม่สนใจอัลกุรอาน ซึ่งเป็นธรรมนูญในการดำเนินชีวิตของพวกเขา เป็นธรรมนูญที่มีคำสั่งใช้ มีคำสั่งห้าม มีคำแนะนำ มีข้อคิด มีข้อเตือนใจ มีทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้เขานำไปยึดถือ นำไปปฏิบัติเพื่อให้ชีวิตของพวกเขาได้ดำเนินไปในหนทางที่ถูกต้องและเที่ยงตรง ..

          แต่เมื่อพวกเขาหันหลังให้ ไม่คิดที่จะศึกษา ไม่ใส่ใจที่จะปฏิบัติตาม ไม่เรียนรู้หลักพื้นฐานของศาสนาซึ่งเป็นสิ่งมุสลิมต้องปฏิบัติ ไม่ทำความเข้าใจคำสอนของท่านนบี เมื่อเขาไม่รู้ ไม่ศึกษา เขาก็จะไม่สามารถปฏิบัติตัวให้อยู่ในบทบัญญัติศาสนาได้ เมื่อเขาไม่สามารถปฏิบัติตัวให้อยู่ในบทบัญญัติศาสนา จุดจบของเขาก็คือการถูกลงโทษในวันกิยามะฮฺ

 

          ดังนั้นผู้ที่หันหลังให้กับบทบัญญัติศาสนา หันหลังให้การตักเตือนต่าง ๆ จึงเป็นผู้ที่อธรรมต่อตัวของเขาเอง เพราะเขาเป็นผู้ที่ทำให้ตนเองต้องได้รับการลงโทษจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาจากการที่เขาไม่รู้เรื่องศาสนา เพราะเมื่อไม่รู้ก็ไม่ได้ปฏิบัติ หรืออาจจะปฏิบัติแต่ก็ปฏิบัติในสิ่งที่ไม่ตรงกับบทบัญญัติศาสนา เมื่อมีการเรียนการสอนอัลกุรอาน เขาก็ไม่สนใจ .. มีการบรรยายศาสนา มีการคุฏบะฮฺ เขาก็ไม่ใส่ใจที่จะฟังหรือปฏิบัติตาม มีคำตักเตือนอะไรก็ไม่รับฟัง นั่นแหละที่แสดงว่า เขากำลังหันหลังให้กับบทบัญญัติศาสนาของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา 

 

          ซึ่งพระองค์ทรงเปรียบผู้ที่หันหลังให้กับบทบัญญัติศาสนาของพระองค์ว่าเหมือนลา แล้วพระองค์ก็ทรงบอกไว้ในอายะฮฺอื่นอีกว่า...พวกเขาจะมีชัยฏอนเป็นมิตรสหาย และพวกเขาจะมีชีวิตอยู่ในโลกดุนยาอย่างคับแค้น

 

          บางคนอาจจะโต้แย้งว่า ...ก็เห็นคนที่เขาไม่สนใจบทบัญญัติศาสนาเขาก็มีชีวิตอย่างหรูหรา ร่ำรวย แต่นั่นแหละ ท่ามกลางความร่ำรวย ความมีชื่อเสียง ความมีอำนาจที่เรามองว่าดีงาม มันก็ต้องมีช่วงที่เขามีปัญหา มีความอึดอัดใจ คับข้องใจ แก้ปัญหาอะไรไม่ได้ เมื่อเป็นอย่างนี้เขาก็จะไม่ได้รับทางนำที่ดีในการแก้ปัญหา ..

 

          ในขณะที่คนที่ยากจนกว่าเขา แต่เป็นคนที่ปฏิบัติตัวอยู่ในบทบัญญัติของศาสนา เมื่อเวลาที่เขามีปัญหาอะไร ขาดปัจจัยอะไร อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาก็จะทรงประทานหนทางที่ดี ประทานริสกีที่ดีมาให้แก่เขา ด้วยวิธีการที่เขาไม่ได้คาดคิดมาก่อน

 

          ดังนั้น การหันหลังให้กับบทบัญญัติศาสนาของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาจึงนำมาซึ่งความหายนะในชีวิต นำไปสู่จุดจบอันน่าสะพรึงกลัว ก็คือได้รับการลงโทษที่รุนแรงแสนสาหัส ดังเช่นตัวอย่างที่เคยเกิดขึ้นกับพวกอ๊าด พวกษะมูด และพวกอื่น ๆในอดีต และในวันกิยามะฮฺ พวกเขาจะถูกฟื้นคืนชีพขึ้นมาในสภาพที่ตาบอด

 

          ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย เรื่องราวดังกล่าวที่พูดมาข้างต้น นั่นคือสภาพของผู้ที่หันหลังให้กับบทบัญญัติของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา หันหลังให้กับคำสอนของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ดังนั้น เมื่อเราไม่อยากจะพบกับสภาพแบบนั้น เราก็ต้องหันกลับมาสนใจ กลับมาใส่ใจในเรื่องราวของบทบัญญัติศาสนา เราต้องแสวงหาความรู้ เพื่อขจัดความไม่รู้ออกจากตัวของเรา ขจัดการถูกลงโทษออกจากตัวเรา ..

 

          ในเรื่องของความรู้ ความรู้ก็มีหลายอย่าง มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ มีความรู้ด้านดาราศาสตร์ มีความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ เหล่านี้เป็นความรู้ที่มีประโยชน์ มีคุณค่า แต่ความรู้ที่ถือว่ามีเกียรติและสูงส่งมากที่สุด ก็คือความรู้ที่บรรดานบีและบรรดาเราะซูลของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาได้นำมาสั่งสอนตักเตือน เป็นความรู้ที่เกี่ยวกับอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เกี่ยวกับความเป็นพระเจ้าเพียงองค์เดียวของพระองค์ เกี่ยวกับพระนามของพระองค์ เกี่ยวกับคุณลักษณะของพระองค์ การกระทำของพระองค์ตลอดจนเกี่ยวกับหลักการ บทบัญญัติศาสนาต่าง ๆ ของพระองค์ที่อยู่ในอัลกุรอาน ถูกขยายความโดยอัลหะดีษ ถูกอธิบายโดยท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม

 

          อัลหะดีษ (เศาะหิหฺ)ในบันทึกของอิมามอะบูดาวูด จากรายงานของท่านอะบู อัดดัรดาอ์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ เล่าว่า ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวความว่า

 

من سلك طريقًا يطلبُ فيه علمًا ، سلك اللهُ به طريقًا من طرقِ الجنةِ ، وإنَّ الملائكةَ لتضعُ أجنحتَها رضًا لطالبِ العِلمِ ، وإنَّ العالِمَ ليستغفرُ له من في السماواتِ ومن في الأرضِ ، والحيتانُ في جوفِ الماءِ ، وإنَّ فضلَ العالمِ على العابدِ كفضلِ القمرِ ليلةَ البدرِ على سائرِ الكواكبِ ، وإنَّ العلماءَ ورثةُ الأنبياءِ ، وإنَّ الأنبياءَ لم يُورِّثُوا دينارًا ولا درهمًا ، ورَّثُوا العِلمَ فمن أخذَه أخذ بحظٍّ وافرٍ

 

     “ผู้ใดที่แสวงหาหนทางเพื่อให้ได้รับความรู้ อัลลอฮฺจะทรงนำเขาไปสู่หนทางของสวรรค์ ..มะลาอิกะฮฺจะกางปีกเพื่อแสดงความความยินดีต่อผู้แสวงหาวิชาความรู้

     สำหรับผู้รู้นั้นจะมีผู้ขออภัยโทษให้แก่เขาทั้งสิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน(ก็จะขออภัยโทษให้แก่เขา).. แม้กระทั่งบรรดาฝูงปลาในท้องทะเล(ก็จะขออภัยโทษให้แก่เขา) ..

     แท้จริงความประเสริฐของผู้มีความรู้จะอยู่เหนือผู้ที่ทำอิบาดะฮฺเพียงอย่างเดียว(ซึ่งก็หมายถึงว่าคนที่ทำอิบาดะฮฺโดยมีความรู้จะประเสริฐกว่าคนที่ทำอิบาดะฮฺโดยไม่มีความรู้) ..

     (ซึ่งคนที่มีความรู้จะ)เปรียบเสมือนดวงจันทร์เต็มดวงที่มีความโดดเด่นเหนือกว่าบรรดาหมู่ดวงดาว

     แท้จริงบรรดาผู้ที่มีความรู้คือทายาทของบรรดานบี ซึ่งบรรดานบีไม่ได้ทิ้งมรดกไว้เป็นเงินดีนารฺหรือดิรฮัม แต่ทว่า มรดกที่บรรดานบีได้ทิ้งไว้ก็คือวิชาความรู้

     ดังนั้น ผู้ใดที่ได้ครอบครองมัน(คือได้ครอบครองความรู้)ถือว่าเขาผู้นั้นได้ครอบครองส่วนที่ดีเลิศมากมายแล้ว”

 

          ท่านพี่น้องผู้ศรัทธาทั้งหลาย ดังนั้น หากเราได้ขวนขวาย มุ่งมั่นในการศึกษาแสวงหาความรู้ในเรื่องราวของบทบัญญัติศาสนาของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เราก็จะเป็นผู้มีความรู้ เมื่อเราเป็นผู้มีความรู้ เราก็จะได้เป็นทายาทของท่านนบี เพราะเราได้รับมรดกจากท่านนบีเป็นความรู้ที่ท่านนบีได้สั่งสอนไว้ ถ่ายทอดไว้ เป็นความรู้ที่จะนำทางตัวเราไปสู่ประตูสวรรค์ ..

 

          แต่การมีความรู้เพียงอย่างเดียว มันยังไม่พอที่จะทำให้ตัวเราเข้าสวรรค์ แต่เราต้องรีบเร่งนำความรู้ที่เราแสวงหามานั้น นำมาใช้ปฏิบัติในชีวิตประจำวันของเราโดยไม่ชักช้า เราต้องตื่นตัวและรีบเร่งทำความดี มุ่งหน้าสู่การปฏิบัติตามคำสั่งของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา มุ่งมั่นทำอะมัลศ่อลิหฺ ทำอิบาดะฮฺ ในขณะเดียวกันก็ต้องละห่าง ต้องละทิ้งสิ่งที่เป็นชิริก สิ่งที่เป็นบิดอะฮฺ สิ่งที่เป็นมะอฺศิยะฮฺ ยับยั้งที่จะไม่ทำสิ่งที่เป็นการฝ่าฝืนคำสั่งต่างๆของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาด้วย

 

           และเมื่อเราได้รีบเร่งไปสู่การทำความดี ยับยั้งการทำความชั่วแล้ว เราก็ต้องรีบเร่งไปสู่การขออภัยโทษด้วย ในอัลกุรอานซูเราะฮฺอาละอิมรอน อายะฮฺที่ 133 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า

وَسَارِعُوا إِلَىٰ مَغْفِرَةٍ مِّن رَّبِّكُمْ وَجَنَّةٍ عَرْضُهَا السَّمَاوَاتُ وَالْأَرْضُ أُعِدَّتْ لِلْمُتَّقِينَ

 

“และพวกเจ้าจงรีบเร่งกันไปสู่การขออภัยโทษจากพระเจ้าของพวกเจ้า และไปสู่สวรรค์

ซึ่งความกว้างของมันนั้น คือบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน โดยที่มันถูกเตรียมไว้สำหรับบรรดาผู้ที่ยำเกรง”

 

          นั่นคือ รางวัลของผู้ที่ขออภัยโทษจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เพราะเมื่อเราทำการขออภัยโทษต่อพระองค์ มันจะทำให้ความผิดความบาปต่าง ๆ ที่เราได้ทำไว้จะถูกลบล้างไป และเมื่อความตายมาถึงเรา เราก็จะกลับไปพบอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาในสภาพที่มีความผิดน้อยที่สุด พระองค์จะทรงเมตตาเรา จะทรงปกป้องเราให้พ้นจากไฟนรก และเราจะถูกนำตัวเข้าสู่สวรรค์ของพระองค์

 

 

          สุดท้ายนี้ ขออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาโปรดปกป้องเราทุกคน ให้เราได้เป็นผู้ที่ตระหนักถึงความสำคัญของการหันหน้าเข้าหาบทบัญญัติศาสนาด้วยการแสวงหาความรู้จากแหล่งความรู้ที่ถูกต้องและเชื่อถือได้ ว่าอยู่ในแนวทางของอะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ เพื่อให้ความรู้นั้นได้ขจัดความโง่เขลา หรือขจัดความไม่รู้ออกจากตัวเรา 

 

          เมื่อรู้แล้ว ทราบแล้วก็ให้เราได้รีบเร่งในการนำความรู้นั้นมาปฏิบัติในชีวิตประจำวันของเรา รีบเร่งในการทำความดี ละห่างจากการทำความชั่ว ยืนหยัดในการปฏิบัติตามบทบัญญัติศาสนา ไม่หลงไปตามกระแสสังคม พร้อมทั้งให้เราได้ขออภัยโทษต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาอยู่เสมอ ขอพระองค์ทรงอภัยโทษให้แก่เราในสิ่งที่เราผิดพลาดหรือพลาดพลั้งไป และทรงให้เราได้กลับเนื้อกลับตัว และทรงให้เราได้เสียชีวิตในสภาพที่นอบน้อมยอมจำนนต่อพระองค์โดยสิ้นเชิง

 

 

( คุฏบะฮฺวันศุกร์มัสญิดดารุ้ลอิหฺซาน บางอ้อ )