อิสลามกับวิถีชีวิตที่เรียบง่าย
  จำนวนคนเข้าชม  527

อิสลามกับวิถีชีวิตที่เรียบง่าย

 

โดย...อบูชากิร อัลมะดานีย์

 

           อิสลาม คือศาสนาที่ถูกประทานลงมาให้แก่บรรดามนุษยชาติเพื่อใช้ในการดำรงชีวิตและปฏิบัติตาม เป็นดั่งเข็มทิศให้กับนักเดินทาง เป็นดั่งธรรมนูญที่ใช้ในการดำเนินชีวิต

 

         อิสลาม เป็นศาสนาที่บอกถึงวิธีการดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของมนุษย์มากที่สุด ไม่ว่าจะในแง่ของการดำรงชีพ การแสวงหาปัจจัยยังชีพ รวมไปถึงการปฏิบัติตนในสังคม และการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น

 

          ดังนั้นหากเราคิดพิจารณาในคำสอนของอิสลามก็จะพบว่า หากใครก็ตามนำวิถีของอิสลามมาปฏิบัติใช้ในชีวิตเขาจะประสบความสำเร็จและใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย และไม่พบกับความยากลำบากใดๆ ส่วนผู้ใดที่ออกห่างและไม่นำวิธีการและแนวทางของศาสนาอิสลามมาปฏิบัติใช้ในชีวิต เขาจะประสบกับความยุ่งยาก และอุปสรรคมากมาย

 

        อัลลอฮ์ ได้ส่งท่านนบีมูฮัมหมัด (صلى الله عليه وسلم)มาเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการใช้ชีวิตในโลกนี้และเรื่องการปฏิบัติทางศาสนา รวมถึงด้านความเชื่อมั่น  ซึ่งท่านนบีก็ได้ปฏิบัติไว้อย่างครบถ้วนและสมบูรณ์ ไม่ขาดตกบกพร่องแต่ประการใด ทั้งในเรื่องภารกิจส่วนตัว และหน้าที่ในการเผยแพร่ศาสนา ด้วยความสวยงามและถูกต้อง โดยไม่หนักไปทางหนึ่งทางใด หรือเลยเถิดจนเกินไป ตั้งอยู่บนความพอดี 

 

     มีหะดิษบทหนึ่งที่ได้บอกถึงเรื่องนี้เอาไว้อย่างชัดเจนว่า

 

عَنْ أنسٍ - رَضْيَ اللهُ عنه - قال: جاء ثلاثةُ رهطٍ إلى بيوتِ أزْواجِ النَّبيِّ صلَّى اللهُ عليه وسلَّم، يسْألونَ عن عبادةِ النَّبيِّ صلَّى اللهُ عليه وسلَّم

 فلمَّا أُخبروا كأنَّهم تَقالُّوها، وقالوا: أين نحن من النَّبيِّ صلَّى اللهُ عليه وسلَّم؛ قد غُفِرَ له ما تَقدَّمَ من ذنبِه وما تأخَّر؟! قال أحدُهم: أمَّا أن

 فأصلِّي الليلَ أبدًا، وقال الآخرُ: وأنا أصومُ الدَّهرَ ولا أُفْطرُ، وقال الآخرُ: وأنا أعتزلُ النِّساءَ فلا أتزوَّجُ أبدًا، فجاء رسولُ اللهِ صلَّى اللهُ عليه وسلَّ

 إليهم فقال: «أنتم الذين قُلتُم كذا وكذا؟! أما واللهِ إنِّي لأخشاكم للهِ وأتقاكم له، لكنِّي أصومُ وأفطرُ، وأصلي وأرْقدُ، وأتزوَّجُ النساءَ، فمَنْ رَغِبَ عَنْ سُنَّتي فليس مِنِّي» متفق علي

.

 

     มีรายงานจากอนัส บิน มาลิก รอฎิยัลลอฮูอันฮู เขาได้กล่าวว่า ได้มีชายสามคนได้มายังของภรรยาของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮูอะลัยอิวะซัลลัม พวกเขาถามถึงการทำอิบาดะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮูอะลัยอิวะซัลลัม เมื่อพวกเขาได้รับรู้ เสมือนว่าพวกเขานั้นยังน้อยอยู่สำหรับการทำอิบาดะฮฺ

 

    พวกเขาจึงกล่าวออกมาว่า :เราอยู่ตรงไหนเมื่อเทียบกับท่านนบี ศ็อลลัลลอฮูอะลัยอิวะซัลลัม โดยที่ท่านนบีได้รับการอภัยโทษจากสิ่งที่จะเกิดขึ้นและสิ่งที่ผ่านมาแล้ว ?

 

     คนหนึ่งจากพวกเขากล่าวว่า : สำหรับฉัน ฉันจะละหมาดตอนกลางคืนตลอดไป ทุกไปคืน

     อีกคนกล่าวว่า : ฉันจะถือศีลอดตลอดไป โดยฉันจะไม่หยุด

     อีกคนกล่าวว่า : ฉันจะครองตนโสด ไม่แต่งงานเป็นอันขาด

 

     ท่านรอซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮูอะลัยอิวะซัลลัม ได้มาหาพวกเขา และท่านได้กล่าวว่า:

     (พวกท่านใช่ไหมที่กล่าวอย่างนี้ อย่างนั้น) ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ แท้จริงฉันเป็นผู้ที่เกรงกลัวอัลลอฮฺและยำเกรงพระองค์มากที่สุดในหมู่พวกเจ้า แต่ฉันก็ได้ถือศีลอดและเว้นว่าง ฉันละหมาดและฉันก็นอนพักผ่อน และฉันได้แต่งงานกับบรรดาผู้หญิง ดังนั้นใครไม่ปรารถนาแนวทางของฉัน เขาก็ไม่ได้เป็นพวกของฉัน

(บันทึกโดย อัลบุคอรีและมุสลิม)

 

          หะดิษบทนี้ได้อธิบายให้เห็นอย่างชัดเจนถึงแบบอย่างที่เรียบง่าย และถูกต้องตามวิถีมนุษย์ ใช้ชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ควบคู่ในเรื่องของศาสนาและวิถีปฏิบัติ โดยไม่เลยเถิดหรือสุดโต่งจนเกินไป อิสลามสอนให้มนุษย์ได้ใช้ชีวิตตามธรรมชาติที่ถูกสร้างมา โดยไม่ฝืนธรรมชาติและความสามารถของร่างกายที่มีอยู่

 

          ร่างกายของมนุษย์ต้องการเวลาสำหรับพักผ่อน แม้จะทำงานทางโลก ใช้แรงกาย ก็ต้องมีช่วงเวลาในการพักผ่อนเสมอ ส่วนในเรื่องของการปฏิบัติศาสนกิจทางศาสนา อัลลอฮ์ทรงสั่งใช้ให้มุสลิมทำตามเวลาที่กำหนด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการละหมาด เรื่องของการถือศีลอด เรื่องของการจ่ายซะกาต เรื่องของการทำฮัจญ์ และสามารถเพิ่มเติมตามความสามารถของแต่ละบุคคล

 

          ปัจจุบัน จะพบเห็นได้ว่ามีแนวคิดที่ผิดเพี้ยน และกลุ่มต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นโดยอ้างหลักการศาสนา  โดยปฏิบัติอย่างผิดเพี้ยนแต่อ้างว่าเป็นแนวทางที่ถูกต้อง ซึ่งขัดกับธรรมชาติของมนุษย์ เช่นการทำร้ายร่างกายตัวเอง การทรมานต่อร่างกาย หรือการกระทำในสิ่งที่เกินความสามารถและกำลังของมนุษย์ การบกพร่องต่อหน้าที่ การเคารพสิ่งอื่นที่นอกเหนือจากอัลลอฮ์ การเลยเถิดในการอิบาดะฮ์ ต่อเติมเสริมแต่งเพื่อมวลชน สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ไม่มีในศาสนาอิสลาม และยังเป็นข้อห้ามมิให้กระทำ 

 

อัลลอฮฺ ตรัสว่า

لَا يُكَلِّفُ اللَّهُ نَفْسًا إِلَّا وُسْعَهَا

 

"อัลเลาะห์ไม่ทรงบังคับชีวิตหนึ่งชีวิตใดเกินความสามารถของเขา"

(สูเราะห์ บากอเราะห์ 286)

 

     และมีหะดิษที่บ่งบอกถึงเรื่องนี้ว่า จากท่านอนัส บินมาลิก เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ จากท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กล่าวว่า:|

 

عن أنس بن مالك رضي الله عنه عن النبي صلى الله عليه وسلم

قال:«يَسِّرُوا وَلَا تُعَسِّرُوا، وَبَشِّرُوا وَلَا تُنَفِّرُوا»

 

“จงทำให้เป็นเรื่องง่าย และอย่าทำให้เป็นเรื่องยาก และจงแจ้งข่าวดีแก่ผู้คน และอย่าทำให้คนต้องปลีกตัวออกห่าง”

[เศาะฮีห์] - [รายงานโดย อัลบุคอรีย์ และมุสลิม]

 

          ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ใช้ให้เกิดความสะดวก ความง่ายดาย แก่ผู้คน และไม่ทำให้เกิดความยุ่งยากลำบากแก่พวกเขา ในทุกเรื่องทั้งทางด้านศาสนาและทางโลก และทั้งหมดนั้นต้องอยู่ในขอบเขตที่อัลลอฮ์ อนุญาต และส่งเสริมให้แจ้งข่าวดีแก่พวกเขา และไม่ทำให้พวกเขาตะเลิดหนีห่างจากมัน

 

          หน้าที่ของผู้ศรัทธาคือ การทำให้ผู้คนรักอัลลอฮฺ ให้พวกเขาเข้าใจบทบัญญัติทางศาสนา และส่งเสริมให้พวกเขาทำความดี ละทิ้งความชั่ว 

 

          สำหรับผู้ที่เชิญชวนสู่อัลลอฮฺ ต้องพิจารณาถึงวิธีการที่จะเรียกร้องผู้คนไปสู่อิสลาม และให้แจ้งข่าวดี เพื่อให้พวกเขาเกิดความสงบสุข ได้รับการยอมรับ  และผู้ที่ทำการเชิญชวนจะได้รับความดีงามต่อไป 

 

          การทำให้เกิดความยากลำบากในเรื่องศาสนา จะสร้างความบาดหมาง การหันหลังให้กัน และทำให้เกิดความสงสัยในคำพูดของผู้ที่ทำการเผยแผ่ ต่อความเมตตาอันกว้างขวางของอัลลอฮฺที่มีต่อปวงบ่าวของพระองค์

 

          ความสะดวกง่ายดาย คือ สิ่งที่ศาสนาได้นำมาเพื่อปฏิบัติให้สอดคล้องกับการใช้ชีวิตตามวิถีอิสลามที่สมบูรณ์มากที่สุด