ครองใจคน ตามฉบับท่านเราะซูล
ทุกคนต่างปราถนาที่จะได้รับความรัก ความไว้วางใจ และการให้เกียรติยกย่องคนรอบข้าง ไม่ใช่ทุกคนจะสมหวังตามที่ใจปรารถนา เพราะความปราถนาเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ จะต้องดิ้นรน เพียรพยายามเพื่อบรรลุสู่เป้าหมาย สิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้เราไปถึงสิ่งที่เราปรารถนาคือ จะต้องมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะครองใจคนรอบข้าง เนื่องจากอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของคนเรามีบทบาทสำคัญและลึกซึ้ง ในการสร้างสัมพันธ์ภาพระหว่างกัน จึงจำเป็นต้องรู้กลยุทธ์ในการเข้าใจมัน ยิ่งเรามีความสามารถในการเข้าใจอารมณ์ความรู้สึก นึกคิดของผู้คนได้มากเท่าใด นั่นหมายุถึงความสามารถของเราในการครองใจ และโน้มน้าวจิตใจพวกเขาได้มากเท่านั้น
ท่านนะบีมูฮัมหมัด เป็นแบบฉบับที่ดียิ่งแก่เราในเรื่องนี้ เป็นแบบอย่างที่ดีเยี่ยมในฐานะทูตของอัลลอฮฺ เป็นตัวอย่างที่ดีของประชาชาติอิสลาม เป็นนักสังคมที่ยอดเยี่ยม และมีความสามารถเป็นเอกในการเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของผู้คน อัลลอฮฺทรงให้ท่านนบี เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนทุกประการ มีคุณธรรมอันสูงส่ง มีจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ มีบุคลิกภาพ ตลอดจนมารยาทที่ดีงาม อัลลอฮฺได้ทรงกล่าวชมเชยท่านว่า
“โดยแน่นอน ในร่อซูลของอัลลอฮฺมีแบบฉบับอันดีงามสำหรับพวกเจ้าแล้ว
สำหรับผู้ที่หวังจะพบอัลลอฮฺ และวันอาคิเราะฮฺ และรำลึกถึงอัลลอฮฺอย่างมาก”
(อัลอะหฺซาบ 33-21)
“ และแท้จริงเจ้านั้นอยู่บนคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ ”
(อัลกอลัม 68-4)
ท่านนบี สามารถถ่ายทอดคุณงามความดีเหล่านี้ให้แก่มวลชน ให้พวกเขาได้รู้จักแนวทางการดำรงชีวิตที่ถูกต้อง เหมาะสม และละเอียดทุกแง่ทุกมุม ท่านได้สร้างบรรทัดฐานอย่างถาวรในการดำรงชีวิต ซึ่งไม่เคยมีใครสามารถทำเช่นนี้มาก่อนทั้งในอดีตและต่อไปในอนาคต ท่านประสบความสำเร็จอย่างงดงามในการเปลี่ยนแปลงคนที่เลวที่สุดให้เป็นคนที่ดีที่สุดโดยใช้เวลาไม่นานนัก ดังจะเห็นได้จากจำนวนคนที่เจริญรอยตามท่านนั้นมีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ท่านครองใจพวกเขาได้อย่างง่ายดาย พวกเขารักและให้เกียรติยกย่องท่านชนิดที่ไม่มีใครเคยได้รับและจะไม่มีใครได้รับเยี่ยงท่านอีกแล้ว
ท่านอุรวะฮฺ อิบนิมัสอู๊ด อัซซะก่อฟีย์ ได้บรรยายให้ชาวกุเรชทราบถึงความรักที่ซอฮาบะฮฺของท่านนบี มีต่อท่านไว้ว่า
“ โอ้กลุ่มชนของฉัน ฉันได้เข้าเฝ้ากษัตริย์มามากต่อมากแล้ว ทั้งกษัตริย์โรมัน เปอร์เซีย และอบิสซิเนีย แต่ขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่า ฉันไม่เคยพบกษัตริย์องค์ใดที่ได้รับการยกย่องจากสาวก เช่นที่สาวกของมุฮัมหมัดยกย่องและให้เกียรติแก่มูฮัมหมัดเลย ”
การเจริญรอยตามท่านนบี เป็นหลักประกันที่มั่นคงที่จะทำให้เราสามารถครองใจ และสร้างไมตรีกับผู้คนได้เป็นอย่างดี
แบบฉบับท่านเราะซูล ในการครองใจคน
๑. ยิ้มแย้ม แจ่มใส
การยิ้มเป็นภาษาที่ไม่ต้องอาศัยการตีความใดๆเป็นกุญแจสู่หัวใจ เป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายๆไม่ต้องลงทุนอะไรเลย ใช้เวลาเพียงชั่วพริบตาก็เข้าถึงใจ ยิ้มที่อ่อนโยนจะช่วยปัดเป่าทุกความหมองเศร้า ขจัดทุกความบาดหมาง ทำลายทุกสิ่งที่กีดกัน เพียงยิ้มแย้มเข้าไว้ ยิ้มอย่างจริงใจ ยิ้มทุกที่ ยิ้มให้กับทุกคน มีใบหน้าที่สดชื่น มีอารมณ์ที่แจ่มใส ใครอยู่ใกล้ก็รู้สึกอบอุ่นและมีความสุข ท่านนบี มีรอยยิ้มพิมพ์ใจยากที่จะหาใครเทียบได้ ท่านอับดุลลอฮิ อิบนุล ฮาริษกล่าวไว้ว่า
“ ฉันไม่เคยเห็นใครยิ้มแย้มแจ่มใสมากไปกว่าท่านร่อซู้ลลุ้ลลอฮฺ เลย ”
(บันทึกโดยอิหม่ามอัตติรมิซีย์)
และท่านญะรี้รก็ได้กล่าวว่า
“ ท่านนบี ไม่เคยกีดกันไม่ให้ฉันพบท่านเลย นับตั้งแต่ฉันรับนับถืออิสลาม และคราใดที่ท่านพบฉันท่านจะยิ้มแย้มกับฉัน ”
การยิ้มที่อ่อนโยนและจริงใจนั้นไม่เพียงแต่จะครองใจคนได้เพียงอย่างเดียว หากแต่ยังจะเสริมให้ตราชั่งแห่งความดีงามของเรานั้นมีน้ำหนักมากขึ้นในวันกิยามะฮฺ การยิ้มเป็นอิบาดะฮฺ และเป็นการทำทานในเวลาเดียวกัน ดังที่ท่านเราะซูล ได้สั่งสอนประชาชาติของท่านไว้ว่า
“ การที่ท่านยิ้มแย้มเมื่อพบหน้าพี่น้องของท่านนั้น นับเป็นทาน ”
ท่านยังกล่าวกำชับอีกว่า
“ ท่านอย่าได้ดูถูกที่จะทำความดีเพียงน้อยนิด แม้เพียงการที่ท่านจะพบปะพี่น้องของพวกท่านด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ”
(บันทึกโดยท่านอิมามมุสลิม)
ท่านเราะซูล ผู้เป็นแบบฉบับที่ดีแก่พวกท่านเราจะยิ้มเสมอ แม้ขณะที่ท่านไม่พึงพอใจ ท่านยะก๊ะอฺบิ อิบนิ มาลิก ได้มาหาท่านร่อซู้ล ภายหลังจากที่สาระภาพผิดกับเนื้อกลับตัวในการฝ่าฝืนอัลลอฮฺ ท่านได้กล่าวว่า
“แล้วฉันก็มาหาท่าน และเมื่อฉันให้สลามท่าน ท่านก็ยิ้มด้วยรอยยิ้มของผู้ที่ไม่พึงพอใจ (ในการฝ่าฝืนของยะก๊ะอฺบ)
ท่านยังยิ้มได้แม้ในขณะที่มีชายชาวอาหรับชนบทคนหนึ่งได้มาหาท่านและกระชากปลายผกเสื้อคลุมที่แป็นผ้าเนื้อหยาบของท่านอย่างแรง ทำให้เกิดรอยแดงที่คอของท่าน
ชายผู้นี้ได้กล่าวกับท่านว่า โอ้มูฮัมหมัด ท่านจงมอบทรัพย์สินของอัลลอฮิที่อยู่กับท่านให้เราบ้างซิ
ท่านร่อซู้ล หันไปหาเขายิ้มให้เขา และท่านก็กล่าวกับคนของท่านว่า " จัดเงินให้แก่ชายผู้นี้ด้วย ”
๒. การให้สลามก่อน
การให้สลามเป็นอีกหนทางหนึ่งในการสร้างไมตรีจิตต่อกัน และช่วยเสริมสร้างความสนิทสนมกลมเกลียวให้มากยิ่งขึ้น การให้สลามก่อนด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นวิธีที่ได้ผลในการสมานรอยร้าวระหว่างบุคคล ท่านร่อซู้ล กล่าวว่า
“ฉันจะแนะพวกท่านทั้งหลายสู่หนทางที่จะทำให้พวกท่านรักใคร่กลมเกลียวกัน
พวกท่านจะเอาไหม (นั่นก็คือ)ทำให้การสลามแผ่หลายในหมู่พวกท่าน”
นี่คือแนวทางของท่านนบี และบรรดาซอฮาบะฮฺก็น้อมรับและเจริญรอยตามท่าน ท่านอุมัร อันนะดีย์ กล่าว่า
“ฉันได้ออกไปกับท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุ อุมัร อิบนุล คอฎฎ็อบ ในระหว่างทางไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ที่ท่านพบ ท่านก็จะให้สลามกับพวกเขา”
นอกจากการให้สลามแล้ว การจับมือทักทายก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะได้ผลในการถ่ายทอดความรู้สึกรักใคร่และความปรารถนาดีให้แก่อีกฝ่าย ท่านนบี สอนเราว่า
“ จงจับมือทักทายกัน ความเคียดแค้นก็จะมลายหายไป ”
ท่านฮะซัน อัลบัสรีย์ ซึ่งเป็นตาบิอีย์ อาวุโสท่านหนึ่งกล่าวว่า
“ การประสานมือจะเพิ่มความรักใคร่ต่อกัน ”
ท่านอิบรอฮีม อัซซุฮฺรีย์ ได้กล่าวว่า บิดาของฉันได้มอบหมายให้ฉันจัดหาของขวัญ ตลอดจนเขียนรายชื่อบุคคลทั้งหลายที่จะมอบของขวัญให้ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว คนสนิท และญาติมิตรสหาย ฉันก็ทำตามที่ท่านมอบหมายมา แต่ท่านกลับบอกฉันว่า นึกดูให้ดีนะว่ามีใครที่เราละเลยไม่ได้ลงชื่อเขา ฉันกล่าวกับบิดาว่า ไม่มีใครแล้วครับ ท่านบอกว่า มีซิ ยังมีชายอีกคนหนึ่ง เขาพบฉันกลางทางและให้สลามฉัน ยิ้มแย้มให้ฉัน เขามีลักษะอย่างนั้น อย่างนี้ อย่าลืมจัดเงิน 10 ดีนาร์ ให้เขาด้วยละ
นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่บ่งบอกว่า การให้สลามและการยิ้มแย้มมีผลต่อจิตใจผู้รับมากมายเพียงใด ทำให้เขาทราบซึ้ง แลไม่ลืมที่จะตอบแทนผู้นั้น
๓.ทุ่มเท และให้
การทุ่มเท และการให้นั้นมีสองรูปแบบนั่นคือ ให้ทั้งใจและให้ทั้งกาย
1.ให้ทั้งใจ
คือการมอบความรัก ความปรารถนาดี และทุ่มเทใจ ให้เกียรติ และยกย่องผู้อื่น โดยธรรมชาติมนุษย์ทุกคนต้องการความรัก การยอมรับ และการเห็นอกเห็นใจจากบุคคลอื่นที่อยู่รอบข้าง เนื่องจากความรัก เป็นการสร้างความอบอุ่นและความมั่นคงในจิตใจ หากเราหยิบยื่นความรักที่จริงใจให้แก่ผู้อื่น ย่อมได้รับความรักตอบแทน อย่าให้ลังแลที่จะเปิดเผยความรัก ตราบใดที่เป็นความรักที่บริสุทธ์ที่อยู่ในขอบเขตและหนทางของอัลลอฮฺ ท่านนบีกล่าวว่า
“ เมื่อคนใดในหมู่พวกท่านรักเพื่อนของเขา ก็จงมาหาเขาที่บ้านและบอกให้เขาทราบว่ารักเขา ”
และในอีกรายงานหนึ่งที่มุรซัล เสริมว่า
“ เพราะการกระทำดังกล่าวจะยิ่งทำให้ใกล้ชิดสนิทสนมกันยิ่งขึ้น และทำให้ความรักแน่นแฟ้นมากขึ้น ”
และท่านยังกล่าวอีกว่า
“ บุคคลจะอยู่กับผู้ที่เขารักในวันกิยามะฮฺ ”
ความรักที่ท่านนบี หมายถึง ณ ที่นี้จะต้องเป็นความรักเพื่ออัลลอฮฺเท่านั้น มิใช่ด้วยเหตุผลอื่น ไม่ใช่เพื่อตำแหน่งหน้าที่ หรือรักเพื่อหวังทรัพย์สินเงินทอง ไม่ใช่รักเพราะหลงรูปโฉม อัลลอฮฺ ตรัสความว่า
“ ในวันนั้น (กิยามะฮฺ) บรรดามิตรสหายจะเป็นศัตรูกัน ยกเว้นบรรดาผู้ยำเกรง (อัลลอฮ์) ”
ท่านเราะซูล ยังกล่าอีกว่า
“ท่านทั้งหลายจะไม่ได้เข้าสวรรค์จนกว่าพวกท่านจะศรัทธา และพวกท่านทั้งหลายจะยังไม่ศรัทธา จนกว่าพวกท่านจะรักใคร่ซึ่งกันและกัน”
2. ให้ด้วยกาย
คือการมอบความสุขให้แก่ผู้อื่น ท่านอบูซัร มีเพื่อนเป็นเจ้าของสวนองุ่น คราใดที่ท่านไปหาเขา เขาจะมอบองุ่นให้หนึ่งพวง และจะคะยั้นคะยอให้ท่านรับประทาน ท่านก็จะรับประทานด้วยความเต็มใจจนหมดทุกครั้ง และไม่ลืมที่จะขอบคุณเพื่อเป็นการตอบแทน เป็นเช่นนั้นอยู่หลายวัน
อยู่มาวันหนึ่งท่านอบูซัรได้ชวนเพื่อนให้รับประทานองุ่นด้วย
เมื่อเจ้าของสวนหยิบองุ่นเม็ดแรกเข้าปาก เขาก็รีบคายออกมาทันที เพราะองุ่นนั้นเปรี้ยวมาก
เขาถามท่านอบูซัรทันทีว่า องุ่นมีรสชาติเช่นนี้ทุกวันหรือ
ท่านอบูซัร กล่าวว่าใช่
เพื่อนจึงถามว่า เหตุใดท่านจึงไม่บอกให้ฉันทราบ
ท่านอบูซัร กล่าวว่า ก็เพราะต้องการให้ความสุขแก่ท่าน ท่านไม่เคยทำไม่ดีกับฉัน ดังนั้นฉันก็ควรทำเช่นกัน
การมอบความสุขมีหลากหลายรูปแบบ เช่น
1. ให้ความสุขด้วยการสงเคราะห์ เกื้อกูล และให้ความช่วยเหลือ
อัลลอฮฺ ตรัสความว่า
“และพวกเจ้าทั้งหลายจงทำความดี แท้จริงอัลลอฮฺทรงรักบรรดาผู้ทำความดี ”
(อัลบะเกาะฮ์เราะ 2-193)
นอกจากเราจะครองใจคนด้วยความดีแล้ว เรายังจะได้รับรางวัล ณ ที่อัลลอฮ์ นั่นคือการได้รับความรักอันยิ่งใหญ่จากพระองค์ และสวนสวรรค์อันสถาพรอีกด้วย ท่านนบี ได้กล่าวไว้ในเรื่องนี้ว่า
“คนที่เป็นที่รักยิ่ง ณ อัลลอฮฺ คือผู้ที่ทำคุณประโยชน์ให้แก่มนุษย์ด้วยกันมากที่สุด และการงานที่เป็นที่รักยิ่ง ณ อัลลอฮ์ คือการให้ความสุขแก่มุสลิม หรือปัดเป่าทุกข์ภัยให้หมดไปจากเขา หรือปลดเปลื้องหนี้สินให้เขา หรือขจัดความหิวโหยไปจากเขา
และขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ว่า การที่ฉันไปมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือพี่น้องของฉันในเรื่องหนึ่งเรื่องใดนั้น เป็นที่รักยิ่งแก่ฉันจะได้พำนักเอี๊ยะติกาฟอยู่ในมัสยิดนี้ (หมายถึงมัสยิดอันนะบะวีย์ที่มาดีนะฮฺ) เป็นระยะเวลาหนึ่งเดือนเต็ม ”
(บันทึกโดยอิหม่ามอัฎฎ็อบรอนีย์)
ท่านซอฟวาน อิบนุ อุมัยยะฮฺกล่าว่า
“ท่านเราะซูล ให้ฉันทั้งๆที่ในขณะนั้นท่านเป็นผู้ที่เกลียดชังมากที่สุด แต่ท่านก็ยังให้และให้ฉันเรื่อยมา จนกระทั่งท่านได้กลายเป็นคนที่ฉันรักมากที่สุด”
2. มอบของขวัญ
การมอบของขวัญให้แก่ผู้อื่นแม้เพียงเล็กน้อย โดยไม่สร้างภาระให้แก่ตนเองก็เป็นอีกหนทางหนึ่งในการให้ความสุข ขจัดหมางเมิน และความแคลงใจได้อย่างทันตาเห็น ท่านร่อซู้ล ผู้นำสูงสุดของเราก็รับของขวัญและจะตอบแทนด้วยของขวัญเช่นเดียวกัน ท่านได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า
“ ท่านทั้งหลายจงให้ของขวัญซึ่งกันและกัน แล้วพวกท่านก็จะรักใคร่กลมเกลียวกัน ”
(บันทึกโดยอิหม่ามบุคคอรีย์)
“ท่านทั้งหลายจงให้ของขวัญซึ่งกันและกัน เพราะแท้จริงแล้วของขวัญนั้นจะทำให้ความร้อนรุ่มในหัวออกไปหมด หมายถึงขจัดความขุ่นข้องหมองใจกัน”
(บันทึกโดยอัตตริมิซีย์)
กวีอาหรับกล่าวไว้ว่า
“ ทำดีต่อมนุษย์เถิด แล้วท่านจะครองใจพวกเขา ความดีเท่านั้นที่จะครองใจคนได้ ตราบนานเท่านาน ”
3. มอบทรัพย์สินเงินทอง
บางครั้งความดีและการมีน้ำใจอาจจะไม่เพียงพอที่จะโน้มน้าวและครองใจคนได้ ดังนั้น การให้ทรัพย์สินเงินทองก็เป็นอีกหนทางหนึ่งของท่านนบี เคยปฏิบัติมาแล้วในการจูงใจให้ผู้คนเข้ารับอิสลาม ท่านกล่าว่า
“ฉันยังคงให้(ทรัพย์สินเงินทอง)แก่คนหนึ่งๆ ทั้งๆ ที่คนอื่นเป็นที่รักแก่ฉันมากกว่าเขา(หมายถึงคู่ควรกว่า)
แต่ที่ฉันทำเช่นนั้น (ให้ทรัพย์สินแก่เขา) ก็เพราะฉันเกรงว่าอัลลอฮ์ จะให้เขาลงนรก(เพราะการปฏิเสธศรัทธา)”
(บันทึกโดยอิหม่ามบุคอรีย์)
ท่านซอฟวาน อิบนุ อุมัยยะฮฺ ได้หนีเตลิดเมื่อครั้งที่มุสลิมกลับคืนสู่มักกะฮฺ เขาเกรงว่ามุสลิมจะตามไล่ล่าเขา เพราะก่อนหน้านี้เขาได้ทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดท่านร่อซู้ล และบรรดามุสลิม และทำลายล้างอิสลาม แต่ท่านร่อซุ้ล กับประกาศให้ความคุ้มครองแก่เขา
ท่านซอฟวานจึงมาหาท่านนบี และขอประวิงเวลาและขอโอกาสสองเดือนเพื่อเข้ารับอิสลาม
ท่านร่อซู้ล ตอบเขาไปว่า เราจะให้เวลาท่านสี่เดือน
ซอฟวานได้เข้าร่วมไปกับขบวนของท่านเราะซูล ที่มุ่งหน้าไปยังเมืองฮุนัยนื และเมืองฎออิฟ ท่านบี ได้มองไปยังทรัพย์เชลยที่ได้มาจากพวกกุฟฟาร และเมื่อท่านเห็นว่าซอฟวานกำลังเพ่งมองไปยังหุบเขาหนึ่งที่เต็มไปด้วยทรัพย์สินเงินทอง ฝูงแพะฝูงแกะและเชลยศึกอีกมากมาย
ท่านเราะซูล จึงถามท่านซอฟวานว่า ชอบไหม
ท่านซอฟวาน กล่าวว่า ชอบครับ
ท่านนบี จึงกล่าวกับเขาว่า บัดนี้มันเป็นของท่านแล้วทั้งหมด จงรับไว้เถิด
ซอฟวานจึงกล่าวตอบทันทีว่า
“ ไม่มีใครที่จะมีจิตใจที่เอื้อเฟื้อเช่นนี้ได้ นอกจากเขาผู้นั้นจะต้องเป็นนบี ฉันขอปฏิญาณว่า
ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺเพียงองค์เดียว และขอปฏิญาณว่า มุฮัมหมัดเป็นรอซู้ลของพระองค์ ”
และอีกรายงานหนึ่งจากท่านอนัสว่า เมื่อไม่มีใครขอสิ่งใดต่อท่านรอซู้ล ท่านจะให้ทุกคน ชาวชนบทคนหนึ่งทราบเช่นนั้นจึงได้มาหาท่าน ท่านนบี จึงมอบทรัพย์สินจากการทำศึกทั้งหมดที่อยู่ระหว่างภูเขาสองลูกให้เขาและได้ประกาศแก่กลุ่มชนของเขาว่า
“โอ้กลุ่มชนของฉันเอ๋ย จงเข้ารับอิสลามกันเถิด แท้จริง มุฮัมหมัดนั้นให้และการให้ของเขานั้นเป็นการให้ชนิดไม่หวั่นเลยสักนิดว่าจะหมดตัว”
(บันทึกโดยอิหม่ามมุสลิม)
การให้ในครั้งนั้นประทับใจชายผู้นี้เป็นอย่างมาก และได้พลิกชีวิตเขาจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากศัตรูมาเป็นมิตร จากการเป็นปรปักษ์ต่ออิสลามให้กลับกลายมาเป็นผู้เชิญชวนเรียกร้องสู่อิสลามได้อย่างง่ายดาย
จากหนังสืองานวะลีมะฮ์
ติดตาม ครองใจคน ตอนที่ 2 > > > > Click