แบบฉบับท่านเราะซูลในการครองใจคน 1
  จำนวนคนเข้าชม  24527

ครองใจคน ตามฉบับท่านเราะซูล


           ทุกคนต่างปราถนาที่จะได้รับความรัก  ความไว้วางใจ  และการให้เกียรติยกย่องคนรอบข้าง  ไม่ใช่ทุกคนจะสมหวังตามที่ใจปรารถนา  เพราะความปราถนาเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ  จะต้องดิ้นรน  เพียรพยายามเพื่อบรรลุสู่เป้าหมาย  สิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้เราไปถึงสิ่งที่เราปรารถนาคือ  จะต้องมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะครองใจคนรอบข้าง  เนื่องจากอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของคนเรามีบทบาทสำคัญและลึกซึ้ง  ในการสร้างสัมพันธ์ภาพระหว่างกัน  จึงจำเป็นต้องรู้กลยุทธ์ในการเข้าใจมัน  ยิ่งเรามีความสามารถในการเข้าใจอารมณ์ความรู้สึก  นึกคิดของผู้คนได้มากเท่าใด  นั่นหมายุถึงความสามารถของเราในการครองใจ  และโน้มน้าวจิตใจพวกเขาได้มากเท่านั้น

           ท่านนะบีมูฮัมหมัด  เป็นแบบฉบับที่ดียิ่งแก่เราในเรื่องนี้  เป็นแบบอย่างที่ดีเยี่ยมในฐานะทูตของอัลลอฮฺ  เป็นตัวอย่างที่ดีของประชาชาติอิสลาม  เป็นนักสังคมที่ยอดเยี่ยม  และมีความสามารถเป็นเอกในการเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของผู้คน  อัลลอฮฺทรงให้ท่านนบี  เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนทุกประการ  มีคุณธรรมอันสูงส่ง  มีจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์  มีบุคลิกภาพ  ตลอดจนมารยาทที่ดีงาม  อัลลอฮฺได้ทรงกล่าวชมเชยท่านว่า


 “โดยแน่นอน ในร่อซูลของอัลลอฮฺมีแบบฉบับอันดีงามสำหรับพวกเจ้าแล้ว

สำหรับผู้ที่หวังจะพบอัลลอฮฺ และวันอาคิเราะฮฺ  และรำลึกถึงอัลลอฮฺอย่างมาก”

(อัลอะหฺซาบ  33-21)


 “  และแท้จริงเจ้านั้นอยู่บนคุณธรรมอันยิ่งใหญ่  ” 

(อัลกอลัม  68-4)

 
           ท่านนบี  สามารถถ่ายทอดคุณงามความดีเหล่านี้ให้แก่มวลชน  ให้พวกเขาได้รู้จักแนวทางการดำรงชีวิตที่ถูกต้อง  เหมาะสม และละเอียดทุกแง่ทุกมุม ท่านได้สร้างบรรทัดฐานอย่างถาวรในการดำรงชีวิต ซึ่งไม่เคยมีใครสามารถทำเช่นนี้มาก่อนทั้งในอดีตและต่อไปในอนาคต ท่านประสบความสำเร็จอย่างงดงามในการเปลี่ยนแปลงคนที่เลวที่สุดให้เป็นคนที่ดีที่สุดโดยใช้เวลาไม่นานนัก ดังจะเห็นได้จากจำนวนคนที่เจริญรอยตามท่านนั้นมีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ท่านครองใจพวกเขาได้อย่างง่ายดาย  พวกเขารักและให้เกียรติยกย่องท่านชนิดที่ไม่มีใครเคยได้รับและจะไม่มีใครได้รับเยี่ยงท่านอีกแล้ว 

ท่านอุรวะฮฺ อิบนิมัสอู๊ด อัซซะก่อฟีย์ ได้บรรยายให้ชาวกุเรชทราบถึงความรักที่ซอฮาบะฮฺของท่านนบี  มีต่อท่านไว้ว่า


          “  โอ้กลุ่มชนของฉัน ฉันได้เข้าเฝ้ากษัตริย์มามากต่อมากแล้ว ทั้งกษัตริย์โรมัน เปอร์เซีย และอบิสซิเนีย  แต่ขอสาบานต่ออัลลอฮฺว่า ฉันไม่เคยพบกษัตริย์องค์ใดที่ได้รับการยกย่องจากสาวก เช่นที่สาวกของมุฮัมหมัดยกย่องและให้เกียรติแก่มูฮัมหมัดเลย  ”


          การเจริญรอยตามท่านนบี  เป็นหลักประกันที่มั่นคงที่จะทำให้เราสามารถครองใจ  และสร้างไมตรีกับผู้คนได้เป็นอย่างดี


แบบฉบับท่านเราะซูล  ในการครองใจคน


 ๑. ยิ้มแย้ม  แจ่มใส 

 

          การยิ้มเป็นภาษาที่ไม่ต้องอาศัยการตีความใดๆเป็นกุญแจสู่หัวใจ  เป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายๆไม่ต้องลงทุนอะไรเลย  ใช้เวลาเพียงชั่วพริบตาก็เข้าถึงใจ ยิ้มที่อ่อนโยนจะช่วยปัดเป่าทุกความหมองเศร้า ขจัดทุกความบาดหมาง ทำลายทุกสิ่งที่กีดกัน เพียงยิ้มแย้มเข้าไว้  ยิ้มอย่างจริงใจ  ยิ้มทุกที่  ยิ้มให้กับทุกคน  มีใบหน้าที่สดชื่น  มีอารมณ์ที่แจ่มใส  ใครอยู่ใกล้ก็รู้สึกอบอุ่นและมีความสุข  ท่านนบี  มีรอยยิ้มพิมพ์ใจยากที่จะหาใครเทียบได้ ท่านอับดุลลอฮิ  อิบนุล  ฮาริษกล่าวไว้ว่า

 “  ฉันไม่เคยเห็นใครยิ้มแย้มแจ่มใสมากไปกว่าท่านร่อซู้ลลุ้ลลอฮฺ  เลย  ” 

(บันทึกโดยอิหม่ามอัตติรมิซีย์)

และท่านญะรี้รก็ได้กล่าวว่า

“  ท่านนบี  ไม่เคยกีดกันไม่ให้ฉันพบท่านเลย  นับตั้งแต่ฉันรับนับถืออิสลาม  และคราใดที่ท่านพบฉันท่านจะยิ้มแย้มกับฉัน  ” 

 

          การยิ้มที่อ่อนโยนและจริงใจนั้นไม่เพียงแต่จะครองใจคนได้เพียงอย่างเดียว  หากแต่ยังจะเสริมให้ตราชั่งแห่งความดีงามของเรานั้นมีน้ำหนักมากขึ้นในวันกิยามะฮฺ   การยิ้มเป็นอิบาดะฮฺ  และเป็นการทำทานในเวลาเดียวกัน  ดังที่ท่านเราะซูล  ได้สั่งสอนประชาชาติของท่านไว้ว่า

“  การที่ท่านยิ้มแย้มเมื่อพบหน้าพี่น้องของท่านนั้น  นับเป็นทาน ”

ท่านยังกล่าวกำชับอีกว่า  

“ ท่านอย่าได้ดูถูกที่จะทำความดีเพียงน้อยนิด  แม้เพียงการที่ท่านจะพบปะพี่น้องของพวกท่านด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ” 

(บันทึกโดยท่านอิมามมุสลิม)

          ท่านเราะซูล  ผู้เป็นแบบฉบับที่ดีแก่พวกท่านเราจะยิ้มเสมอ  แม้ขณะที่ท่านไม่พึงพอใจ  ท่านยะก๊ะอฺบิ  อิบนิ  มาลิก  ได้มาหาท่านร่อซู้ล  ภายหลังจากที่สาระภาพผิดกับเนื้อกลับตัวในการฝ่าฝืนอัลลอฮฺ ท่านได้กล่าวว่า

 “แล้วฉันก็มาหาท่าน  และเมื่อฉันให้สลามท่าน  ท่านก็ยิ้มด้วยรอยยิ้มของผู้ที่ไม่พึงพอใจ (ในการฝ่าฝืนของยะก๊ะอฺบ)

ท่านยังยิ้มได้แม้ในขณะที่มีชายชาวอาหรับชนบทคนหนึ่งได้มาหาท่านและกระชากปลายผกเสื้อคลุมที่แป็นผ้าเนื้อหยาบของท่านอย่างแรง  ทำให้เกิดรอยแดงที่คอของท่าน

ชายผู้นี้ได้กล่าวกับท่านว่า  โอ้มูฮัมหมัด  ท่านจงมอบทรัพย์สินของอัลลอฮิที่อยู่กับท่านให้เราบ้างซิ 

ท่านร่อซู้ล  หันไปหาเขายิ้มให้เขา  และท่านก็กล่าวกับคนของท่านว่า " จัดเงินให้แก่ชายผู้นี้ด้วย  ”

 

๒. การให้สลามก่อน 

 

         การให้สลามเป็นอีกหนทางหนึ่งในการสร้างไมตรีจิตต่อกัน และช่วยเสริมสร้างความสนิทสนมกลมเกลียวให้มากยิ่งขึ้น  การให้สลามก่อนด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นวิธีที่ได้ผลในการสมานรอยร้าวระหว่างบุคคล  ท่านร่อซู้ล  กล่าวว่า

“ฉันจะแนะพวกท่านทั้งหลายสู่หนทางที่จะทำให้พวกท่านรักใคร่กลมเกลียวกัน

พวกท่านจะเอาไหม (นั่นก็คือ)ทำให้การสลามแผ่หลายในหมู่พวกท่าน” 

 

นี่คือแนวทางของท่านนบี  และบรรดาซอฮาบะฮฺก็น้อมรับและเจริญรอยตามท่าน  ท่านอุมัร  อันนะดีย์  กล่าว่า 

“ฉันได้ออกไปกับท่านอับดุลลอฮ์ อิบนุ อุมัร อิบนุล คอฎฎ็อบ ในระหว่างทางไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ที่ท่านพบ  ท่านก็จะให้สลามกับพวกเขา”
 

นอกจากการให้สลามแล้ว  การจับมือทักทายก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะได้ผลในการถ่ายทอดความรู้สึกรักใคร่และความปรารถนาดีให้แก่อีกฝ่าย  ท่านนบี  สอนเราว่า

“  จงจับมือทักทายกัน  ความเคียดแค้นก็จะมลายหายไป  ”
 

ท่านฮะซัน  อัลบัสรีย์  ซึ่งเป็นตาบิอีย์  อาวุโสท่านหนึ่งกล่าวว่า

“  การประสานมือจะเพิ่มความรักใคร่ต่อกัน  ”

 

          ท่านอิบรอฮีม  อัซซุฮฺรีย์ ได้กล่าวว่า บิดาของฉันได้มอบหมายให้ฉันจัดหาของขวัญ  ตลอดจนเขียนรายชื่อบุคคลทั้งหลายที่จะมอบของขวัญให้ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว  คนสนิท  และญาติมิตรสหาย  ฉันก็ทำตามที่ท่านมอบหมายมา  แต่ท่านกลับบอกฉันว่า  นึกดูให้ดีนะว่ามีใครที่เราละเลยไม่ได้ลงชื่อเขา  ฉันกล่าวกับบิดาว่า  ไม่มีใครแล้วครับ  ท่านบอกว่า  มีซิ  ยังมีชายอีกคนหนึ่ง  เขาพบฉันกลางทางและให้สลามฉัน  ยิ้มแย้มให้ฉัน  เขามีลักษะอย่างนั้น  อย่างนี้  อย่าลืมจัดเงิน  10  ดีนาร์ ให้เขาด้วยละ

           นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่บ่งบอกว่า  การให้สลามและการยิ้มแย้มมีผลต่อจิตใจผู้รับมากมายเพียงใด  ทำให้เขาทราบซึ้ง  แลไม่ลืมที่จะตอบแทนผู้นั้น


 ๓.ทุ่มเท  และให้ 

การทุ่มเท  และการให้นั้นมีสองรูปแบบนั่นคือ  ให้ทั้งใจและให้ทั้งกาย

1.ให้ทั้งใจ

          คือการมอบความรัก  ความปรารถนาดี  และทุ่มเทใจ  ให้เกียรติ  และยกย่องผู้อื่น  โดยธรรมชาติมนุษย์ทุกคนต้องการความรัก  การยอมรับ  และการเห็นอกเห็นใจจากบุคคลอื่นที่อยู่รอบข้าง  เนื่องจากความรัก  เป็นการสร้างความอบอุ่นและความมั่นคงในจิตใจ  หากเราหยิบยื่นความรักที่จริงใจให้แก่ผู้อื่น  ย่อมได้รับความรักตอบแทน  อย่าให้ลังแลที่จะเปิดเผยความรัก  ตราบใดที่เป็นความรักที่บริสุทธ์ที่อยู่ในขอบเขตและหนทางของอัลลอฮฺ  ท่านนบีกล่าวว่า

 “ เมื่อคนใดในหมู่พวกท่านรักเพื่อนของเขา  ก็จงมาหาเขาที่บ้านและบอกให้เขาทราบว่ารักเขา ”

และในอีกรายงานหนึ่งที่มุรซัล เสริมว่า

 “ เพราะการกระทำดังกล่าวจะยิ่งทำให้ใกล้ชิดสนิทสนมกันยิ่งขึ้น  และทำให้ความรักแน่นแฟ้นมากขึ้น ”

และท่านยังกล่าวอีกว่า

 “ บุคคลจะอยู่กับผู้ที่เขารักในวันกิยามะฮฺ ”

 

          ความรักที่ท่านนบี  หมายถึง ณ ที่นี้จะต้องเป็นความรักเพื่ออัลลอฮฺเท่านั้น  มิใช่ด้วยเหตุผลอื่น ไม่ใช่เพื่อตำแหน่งหน้าที่ หรือรักเพื่อหวังทรัพย์สินเงินทอง ไม่ใช่รักเพราะหลงรูปโฉม  อัลลอฮฺ  ตรัสความว่า

 “ ในวันนั้น (กิยามะฮฺ) บรรดามิตรสหายจะเป็นศัตรูกัน  ยกเว้นบรรดาผู้ยำเกรง (อัลลอฮ์)  ”

ท่านเราะซูล ยังกล่าอีกว่า

“ท่านทั้งหลายจะไม่ได้เข้าสวรรค์จนกว่าพวกท่านจะศรัทธา และพวกท่านทั้งหลายจะยังไม่ศรัทธา จนกว่าพวกท่านจะรักใคร่ซึ่งกันและกัน”


2. ให้ด้วยกาย

          คือการมอบความสุขให้แก่ผู้อื่น  ท่านอบูซัร  มีเพื่อนเป็นเจ้าของสวนองุ่น  คราใดที่ท่านไปหาเขา  เขาจะมอบองุ่นให้หนึ่งพวง และจะคะยั้นคะยอให้ท่านรับประทาน ท่านก็จะรับประทานด้วยความเต็มใจจนหมดทุกครั้ง และไม่ลืมที่จะขอบคุณเพื่อเป็นการตอบแทน เป็นเช่นนั้นอยู่หลายวัน 

อยู่มาวันหนึ่งท่านอบูซัรได้ชวนเพื่อนให้รับประทานองุ่นด้วย

เมื่อเจ้าของสวนหยิบองุ่นเม็ดแรกเข้าปาก  เขาก็รีบคายออกมาทันที เพราะองุ่นนั้นเปรี้ยวมาก 

เขาถามท่านอบูซัรทันทีว่า  องุ่นมีรสชาติเช่นนี้ทุกวันหรือ 

ท่านอบูซัร  กล่าวว่าใช่ 

เพื่อนจึงถามว่า เหตุใดท่านจึงไม่บอกให้ฉันทราบ 

ท่านอบูซัร กล่าวว่า  ก็เพราะต้องการให้ความสุขแก่ท่าน ท่านไม่เคยทำไม่ดีกับฉัน  ดังนั้นฉันก็ควรทำเช่นกัน

 

การมอบความสุขมีหลากหลายรูปแบบ  เช่น

1. ให้ความสุขด้วยการสงเคราะห์  เกื้อกูล  และให้ความช่วยเหลือ 

 อัลลอฮฺ ตรัสความว่า

“และพวกเจ้าทั้งหลายจงทำความดี แท้จริงอัลลอฮฺทรงรักบรรดาผู้ทำความดี ”   

(อัลบะเกาะฮ์เราะ  2-193)

         นอกจากเราจะครองใจคนด้วยความดีแล้ว  เรายังจะได้รับรางวัล ณ ที่อัลลอฮ์ นั่นคือการได้รับความรักอันยิ่งใหญ่จากพระองค์ และสวนสวรรค์อันสถาพรอีกด้วย  ท่านนบี  ได้กล่าวไว้ในเรื่องนี้ว่า

        “คนที่เป็นที่รักยิ่ง ณ อัลลอฮฺ  คือผู้ที่ทำคุณประโยชน์ให้แก่มนุษย์ด้วยกันมากที่สุด  และการงานที่เป็นที่รักยิ่ง ณ อัลลอฮ์  คือการให้ความสุขแก่มุสลิม  หรือปัดเป่าทุกข์ภัยให้หมดไปจากเขา  หรือปลดเปลื้องหนี้สินให้เขา หรือขจัดความหิวโหยไปจากเขา

          และขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ว่า การที่ฉันไปมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือพี่น้องของฉันในเรื่องหนึ่งเรื่องใดนั้น เป็นที่รักยิ่งแก่ฉันจะได้พำนักเอี๊ยะติกาฟอยู่ในมัสยิดนี้  (หมายถึงมัสยิดอันนะบะวีย์ที่มาดีนะฮฺ)  เป็นระยะเวลาหนึ่งเดือนเต็ม  ” 

(บันทึกโดยอิหม่ามอัฎฎ็อบรอนีย์) 

ท่านซอฟวาน  อิบนุ  อุมัยยะฮฺกล่าว่า

“ท่านเราะซูล  ให้ฉันทั้งๆที่ในขณะนั้นท่านเป็นผู้ที่เกลียดชังมากที่สุด แต่ท่านก็ยังให้และให้ฉันเรื่อยมา จนกระทั่งท่านได้กลายเป็นคนที่ฉันรักมากที่สุด”

     

2. มอบของขวัญ


          การมอบของขวัญให้แก่ผู้อื่นแม้เพียงเล็กน้อย โดยไม่สร้างภาระให้แก่ตนเองก็เป็นอีกหนทางหนึ่งในการให้ความสุข  ขจัดหมางเมิน  และความแคลงใจได้อย่างทันตาเห็น ท่านร่อซู้ล  ผู้นำสูงสุดของเราก็รับของขวัญและจะตอบแทนด้วยของขวัญเช่นเดียวกัน  ท่านได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า
 
 “ ท่านทั้งหลายจงให้ของขวัญซึ่งกันและกัน  แล้วพวกท่านก็จะรักใคร่กลมเกลียวกัน ”

 (บันทึกโดยอิหม่ามบุคคอรีย์)

“ท่านทั้งหลายจงให้ของขวัญซึ่งกันและกัน  เพราะแท้จริงแล้วของขวัญนั้นจะทำให้ความร้อนรุ่มในหัวออกไปหมด  หมายถึงขจัดความขุ่นข้องหมองใจกัน”

(บันทึกโดยอัตตริมิซีย์)
 

กวีอาหรับกล่าวไว้ว่า

“ ทำดีต่อมนุษย์เถิด  แล้วท่านจะครองใจพวกเขา ความดีเท่านั้นที่จะครองใจคนได้ ตราบนานเท่านาน  ”

 

3. มอบทรัพย์สินเงินทอง

           บางครั้งความดีและการมีน้ำใจอาจจะไม่เพียงพอที่จะโน้มน้าวและครองใจคนได้  ดังนั้น  การให้ทรัพย์สินเงินทองก็เป็นอีกหนทางหนึ่งของท่านนบี  เคยปฏิบัติมาแล้วในการจูงใจให้ผู้คนเข้ารับอิสลาม  ท่านกล่าว่า

“ฉันยังคงให้(ทรัพย์สินเงินทอง)แก่คนหนึ่งๆ ทั้งๆ ที่คนอื่นเป็นที่รักแก่ฉันมากกว่าเขา(หมายถึงคู่ควรกว่า)

 แต่ที่ฉันทำเช่นนั้น  (ให้ทรัพย์สินแก่เขา) ก็เพราะฉันเกรงว่าอัลลอฮ์ จะให้เขาลงนรก(เพราะการปฏิเสธศรัทธา)

 (บันทึกโดยอิหม่ามบุคอรีย์)

           ท่านซอฟวาน อิบนุ อุมัยยะฮฺ  ได้หนีเตลิดเมื่อครั้งที่มุสลิมกลับคืนสู่มักกะฮฺ  เขาเกรงว่ามุสลิมจะตามไล่ล่าเขา เพราะก่อนหน้านี้เขาได้ทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดท่านร่อซู้ล  และบรรดามุสลิม และทำลายล้างอิสลาม แต่ท่านร่อซุ้ล  กับประกาศให้ความคุ้มครองแก่เขา 

ท่านซอฟวานจึงมาหาท่านนบี  และขอประวิงเวลาและขอโอกาสสองเดือนเพื่อเข้ารับอิสลาม 

ท่านร่อซู้ล  ตอบเขาไปว่า  เราจะให้เวลาท่านสี่เดือน 

       ซอฟวานได้เข้าร่วมไปกับขบวนของท่านเราะซูล  ที่มุ่งหน้าไปยังเมืองฮุนัยนื  และเมืองฎออิฟ  ท่านบี  ได้มองไปยังทรัพย์เชลยที่ได้มาจากพวกกุฟฟาร  และเมื่อท่านเห็นว่าซอฟวานกำลังเพ่งมองไปยังหุบเขาหนึ่งที่เต็มไปด้วยทรัพย์สินเงินทอง  ฝูงแพะฝูงแกะและเชลยศึกอีกมากมาย 

ท่านเราะซูล  จึงถามท่านซอฟวานว่า ชอบไหม

ท่านซอฟวาน กล่าวว่า ชอบครับ 

ท่านนบี  จึงกล่าวกับเขาว่า  บัดนี้มันเป็นของท่านแล้วทั้งหมด  จงรับไว้เถิด 

ซอฟวานจึงกล่าวตอบทันทีว่า

“ ไม่มีใครที่จะมีจิตใจที่เอื้อเฟื้อเช่นนี้ได้  นอกจากเขาผู้นั้นจะต้องเป็นนบี ฉันขอปฏิญาณว่า

ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺเพียงองค์เดียว  และขอปฏิญาณว่า  มุฮัมหมัดเป็นรอซู้ลของพระองค์ ”

 

           และอีกรายงานหนึ่งจากท่านอนัสว่า  เมื่อไม่มีใครขอสิ่งใดต่อท่านรอซู้ล  ท่านจะให้ทุกคน  ชาวชนบทคนหนึ่งทราบเช่นนั้นจึงได้มาหาท่าน  ท่านนบี  จึงมอบทรัพย์สินจากการทำศึกทั้งหมดที่อยู่ระหว่างภูเขาสองลูกให้เขาและได้ประกาศแก่กลุ่มชนของเขาว่า

 “โอ้กลุ่มชนของฉันเอ๋ย จงเข้ารับอิสลามกันเถิด แท้จริง มุฮัมหมัดนั้นให้และการให้ของเขานั้นเป็นการให้ชนิดไม่หวั่นเลยสักนิดว่าจะหมดตัว”

 (บันทึกโดยอิหม่ามมุสลิม)

           การให้ในครั้งนั้นประทับใจชายผู้นี้เป็นอย่างมาก และได้พลิกชีวิตเขาจากหน้ามือเป็นหลังมือ  จากศัตรูมาเป็นมิตร  จากการเป็นปรปักษ์ต่ออิสลามให้กลับกลายมาเป็นผู้เชิญชวนเรียกร้องสู่อิสลามได้อย่างง่ายดาย

 


จากหนังสืองานวะลีมะฮ์

ติดตาม ครองใจคน ตอนที่ 2 > > > > Click