หอมกลิ่นความเจริญ..จริงหรือ ! ?
  จำนวนคนเข้าชม  1279

 

หอมกลิ่นความเจริญ..จริงหรือ ! ?

 

อุ ม มุ ร า ชิ ฎ .... เรียบเรียง

 

         หอมกลิ่นความเจริญ ! ช่วงนี้มีแต่คนพร่ำเพ้อถึงความเจริญที่ต้องการจากการเปลี่ยนแปลงในสังคม และมีผู้คนจำนวนมากคาดหวังในความเจริญที่เขาต้องการ เนื่องจากความไม่พอใจในสถานะ และฐานะ และหลากหลายความจำเป็นที่มีอยู่ในปัจจุบัน และความไม่พอใจของคนกลุ่มหนึ่งกลับแสดงออกด้วยการเหยียดหยาม เยาะเย้ย และถากถางชนอีกกลุ่งหนึ่งว่า โง่เขลา"เป็นควาย" 

     ท่านรอซูลลุลลอฮ์ กล่าวว่า :

لَيْسَ الْمُؤْمِنُ بِالطَّعَّانِ، وَلَا اللَّعَّانِ، وَلَا الْفَاحِشِ، وَلَا الْبَذِيءِ 

ไม่ใช่ผู้ศรัทธา(มุอฺมิน) ผู้ซึ่งด่าทอ ใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น ผู้ที่สาปแช่งมาก ผู้ที่หยาบคาย ผู้ที่ลามก

(บันทึกติรมิซีย์)

          แต่ไม่ว่าเราจะอยู่ในกลุ่มไหน หรือฝั่งไหน คงไม่ต้องการให้ใครมาด่าว่า หรือดูถูกเหยียดหยาม เนื่องด้วยความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน การดูถูกเหยียดหยาม หรือด่าทอ จะทำให้สังคมแตกแยก ไม่มีความสามัคคี ไม่มีความเคารพซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นการเคารพในด้านความคิดเห็น การเคารพผู้ใหญ่หรือการเอ็นดูผู้ที่อายุน้อยกว่า และนี่คือแผนการณ์ของชัยฏอนทั้งสิ้น ในการทำลายห่วงโช่ของสังคมให้แตกกระจาย , ทำลายครอบครัว หมดซึ่งความเคารพในพ่อแม่ , ทำลายชุมชนให้ทะเลาะเบาะแว้ง , ทำลายญาติ พี่น้องให้เหยียดหยามกัน , ทำลายเพื่อนฝูงให้ด่าทอและใส่ร้ายป้ายสีกัน , ลาเฮาละวะกูวะตะอิลลาบิลลาฮ์

     ท่านรอซูลลุลลอฮ์ กล่าวว่า :

الْمُسْلِمُ مَنْ سَلَمَ الْمُسْلِمُونَ مِنْ لِسَانِهِ وَيَدِهِ

มุสลิมที่แท้จริงคือ ผู้ที่มุสลิมทั้งหลายปลอดภัยจากลิ้น และมือของเขา

(บันทึกบุคอรีย์ และมุสลิม)

          กลิ่นของความเจริญที่แท้จริง คือ ?

          ความเจริญที่แท้จริง คืออนาคตที่จะเกิดขึ้นในโลกที่ตาไม่เคยเห็น หูไม่เคยได้ยิน และจิตใจที่ไม่เคยสัมผัส ซึ่งคือโลกอาคิเราะฮ์ อัลลอฮ์เท่านั้นคือผู้วางระบบระเบียบไว้

     ท่านนบีได้กล่าวไว้ ในฮะดิษ กุดซีย์ ระบุว่า อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสว่า 

ข้าได้เตรียมสิ่งที่ตาไม่เคยพบเห็น หูไม่เคยได้ยิน ใจไม่เคยจินตนาการ ไว้ให้บรรดาบ่าวของข้าที่เป็นคนดี

(รายงานโดย ท่านอิมาม อัลบุคอรีย์) 

          ฉะนั้น ความเจริญที่แท้จริง คือ การที่สังคมอยู่อย่างสงบสุข ไม่มีความหวาดกลัว ไม่มีการระแวดระวังถึงภยันตรายจากผู้คน ไม่มีการลักขโมย ไม่มีการประพฤติผิดศีลธรรมจรรยา ไม่มีการวิปริตผิดเพศ ไม่มีสิ่งมึนเมาและสิ่งเสพติด ไม่มีความยากจน ไม่มีการนินทา ไม่มีการโกหก พูดปด มนุษย์ทุกคนอยู่ในกฏระเบียบที่ดีงาม นี่สิความเจริญที่ทุกคนต้องการ

   

     ชัยคุลอิสลาม อิบนิ ตัยมียะฮฺ ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮฺ : ชัยฏอนที่เป็นญิน เมื่อมันพลาดท่าเสียที มันจะคอยยุแยงกระซิบกระซาบ แต่ชัยฏอนที่เป็นคน เมื่อมันเพลี่ยงพล้ำ มันจะพูดปด

 

           กลิ่นความเจริญ คือ กลิ่นแห่งความดีงาม และความเป็นธรรม ไม่เช่นนั้นแล้วกลิ่นที่ท่านได้ในตอนนี้ คือกลิ่นของดุนยาที่หมกหมมความโสมมมาอย่างยาวนาน และมันกำลังเปิดเผยตัวตนให้ออกมาแสดงอย่างหน้าด้านหน้าทนในสังคมมนุษย์ หาใช่ความเจริญไม่ ที่สังคมจะมีแต่สิ่งเสพติดและความมึนเมา มีแต่ความเกลียดชังซึ่งกันและกันในครอบครัว ในชุมชน ในสังคม มีแต่ความเย้ยหยัน พูดจาถากถางและดูหมิ่นดูแคลนในความคิด การแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์ และที่สุดของสังคมคืการผิดเพศ ผิดประเวณี ที่ออกมาแสดงอย่างไม่อายในบทบัญญัติ หลักการที่เที่ยงแท้ถูกปกปิดไว้เบื้อหลัง ผู้เชิดชูความโสมมของพวกผิดเพศกลับกลายเป็นสังคมมุสลิม ที่ต้องยอมรับอย่างไม่ละอาย

 

      อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงสร้างทุกสิ่งมาเป็นคู่ๆ พระองค์ได้ตรัสไว้

เราได้สร้างทุกสิ่งมาเป็นคู่ๆ เพื่อพวกเจ้าจะได้ไตร่ตรอง

(อัซซาริยาต 51 : 49)

 

     อิมาม อิบนิล กอยยิม ร่อฮิมะฮุลลอฮฺ กล่าวว่าความละอายนั้นเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ความเข้มแข็งของหัวใจขึ้นอยู่ความเข็งแกร่งของความละอาย เมื่อใดที่ความละอายลดน้อยลงมันก็จะทำให้หัวใจตายด้าน

 

     ท่านร่อซูลุลลอฮฺศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า 

اَلْحَيَاءُ وَاْلإِيْمَانُ قُرْنَاءِ جَمِيْعًا فَإِذَارُفِعَ أَحَدُهُمَا رُفِعَ اْلآخَرُ :

     “ความละอายและความศรัทธานั้น มีความสัมพันธ์กัน (เป็นเสมือนคู่หูของกันและกัน) เมื่อสิ่งใดถูกยกออกไปหรือถูกถอดถอนออกไป อีกสิ่งหนึ่งก็จะถูกถอดถอนออกไปด้วยเช่นกัน

 

           ความเจริญ คือความทันสมัย คืออนาคตที่คาดหวัง และยังมองไม่เห็น ฉะนั้นความเจริญที่แท้จริงจึงอยู่ในโลกอาคิเราะฮ์ และผู้วางบทบัญญัติของความจำเริญ และเจริญคือ อัลลอฮ์เท่านั้น  อีกทั้งผู้ที่จะเข้าอยู่ในสังคมที่เจริญได้คือ ผู้ที่กล่าวชะฮาดะฮ์ และปฏิบัติตามบทบัญญัติอัลอิสลาม ซึ่งไม่ได้ยากเย็นแสนเข็ญเลย แต่เนื่องด้วยมีผู้หนึ่งที่ต้องการเพื่อนไปอยู่ในนรกด้วย มันจึงต้องหลอกล่อมนุษย์ให้ติดกับดับในความโสมม.... ชัยฏอน เพียงต้องการทำหน้าที่ให้ดีที่สุดในความเลวร้ายที่มันสัญญาไว้กับอัลลอฮ์ 

          ในอัลกุรอานซูเราะฮฺอัลอะอ์รอฟ อายะฮฺที่ 17 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงเตือนเรา ทรงบอกว่า ชัยฏอนนั้น มันสัญญา มันบอกต่อพระองค์ว่า

ثُمَّ لَآتِيَنَّهُم مِّن بَيْنِ أَيْدِيهِمْ وَمِنْ خَلْفِهِمْ وَعَنْ أَيْمَانِهِمْ وَعَن شَمَائِلِهِمْ ۖ وَلَا تَجِدُ أَكْثَرَهُمْ شَاكِرِينَ

 

     และข้าพระองค์( อิบลีส )จะมายังพวกเขา( มนุษย์ ) จากเบื้องหน้าของพวกเขา และจากเบื้องหลังของพวกเขา

     และจากเบื้องขวาของพวกเขา และจากเบื้องซ้ายของพวกเขา

     และพระองค์จะไม่ทรงพบว่าส่วนมากของพวกเขานั้นเป็นผู้ขอบคุณ (นั่นก็คือ ส่วนใหญ่ของมนุษย์นั้นเป็นผู้ที่ไม่ขอบคุณต่อพระองค์)

 

           ฉะนั้นสังคมไหนต้องการความเจริญอย่างแท้จริง จะต้องกำจัดความเลวร้ายออกจากสังคม มิใช่สนับสนุนสิ่งที่พระองค์ได้ห้ามปรามไว้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งเล็กน้อย หรือมากมายก็ตาม ความเจริญจึงต้องเริ่มที่สังคมหรือชุมชน หรือหมู่บ้านของตนเอง จุดเล็กที่สุดต้องเริ่มจากครอบครัว ครอบครัวที่เจริญแล้ว จึงเป็นครอบครัวที่มีความสุขในวิถีแห่งอิสลาม 

          การสนับสนุนความเลวร้ายจากการปกปิด และบีบบังเพื่อไม่ให้มันโผล่ขึ้นมาบนดิน ดังเช่น สุรายาเสพติดที่ทำลายเยาวชน และฐานรากครอบครัวทุกหย่อมหญ้า , พวกผิดเพศรักร่วมเพศที่ทำลายการกำเนิดของมนุษย์ , เชื้อสายที่ผิดเพี้ยนนำมาซึ่งโรคภัยไข้เจ็บที่รักษาไม่หาย , การทำให้สังคมอ่อนแอทำให้ครอบครัวแตกร้าว จากการเห็นผู้มีคุณเป็นภาระที่หนักอึ้ง , เยาวชนเริ่มรักสบายหารายได้จากสิ่งฮะรอม , ดอกเบี้ยคือสิ่งจำเป็นเพื่อความก้าวหน้าของตำแหน่ง , อำนาจจะตกอยู่ในมือของคนเพียงไม่กี่คน ที่สามารถควบคุมระบบทั้งหลายอย่างเต็มรูปแบบ

 

     ศ่อฮาบะห์ต่างไปร้องเรียนท่านอนัส บินมาลิก ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุเกี่ยวกับความอธรรมของฮัจญาจญ์ (ผู้มีอำนาจในยุคนั้น) ต่อ ท่านจึงได้สอนว่า

اصْبِرُوا؛ فإنَّه لا يَأْتي علَيْكُم زَمَانٌ إلَّا الذي بَعْدَهُ شَرٌّ منه، حتَّى تَلْقَوْا رَبَّكُمْ. سَمِعْتُهُ مِن نَبِيِّكُمْ صَلَّى اللهُ عليه وسلَّمَ.

رواه البخاري

     "อดทนเถอะ เพราะยุคต่อๆ ไปมันจะยิ่งเลวร้ายกว่านี้ จนกว่าพวกท่านจะได้กลับไปพบกับพระผู้อภิบาลของพวกท่าน

     สิ่งนี้ฉันได้ยินมาจากนบี ศ้อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ของพวกท่าน" 

(โดยอัลบุคอรีย์)

 

          กลิ่นของความเจริญที่ได้นั้น คือกลิ่นแห่งความวิบัติในสังคมมนุษย์อย่างไม่ต้องสงสัย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่อื่นใด และไม่ต้องโทษใคร แต่มันเกิดขึ้นจากการกระทำของคนรุ่นนี้ เพื่อสืบทอดและส่งผลให้แก่ชนรุ่นต่อไป ให้ได้รับผลแห่งการกระทำ บทลงโทษที่บอกกล่าวเรื่องราวในอัลกุรอาน กลายเป็นนิยายที่ไม่ยอมรับฟัง และคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ถ้ามองให้รอบตัว จะเห็นบทลงโทษในสถานที่ต่างๆ ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก นั่นก็เพราะการกระทำของกลุ่มชนนั้นๆ ทั้งสิ้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าลูกหลานเรา จะได้รับผลจากการกระทำของรุ่นนี้อย่างไร ! วัลอิยาซุบิลลาฮ์

 

          กลิ่นที่แน่นนอนที่สุดที่ทุกท่านต้องเดินไปตามกลิ่นนั้น คือ กลิ่นแห่งความตาย นั่นคือสิ่งแน่นอน ฉะนั้นการกระทำใดที่ทำไว้จะส่งผลต่อท่านอย่างแน่นอนในกุโบร เมื่ออยู่ในหลุมฝังศพแล้ว ท่านน่าจะเห็นลู่ทางแล้ว และได้รับกลิ่นของทางที่ท่านจะเดินไป ความเจริญ หรือความตกต่ำอย่างน่าละอาย ไม่มีใครจะชักนำไปได้เลย เพราะท่านจะเดินไปตามทางที่ถูกกำหนดจากการกระทำในดุนยานี้ทั้งสิ้น

 

     รายงานจากท่านฮุซัยฟะฮฺ บิน ยมาน ร่อฎิยัลลอฮุอันฮฺ ว่า : มีผู้ถามท่านร่อซู้ล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ถึงวันสิ้นโลก 

     ท่านร่อซู้ล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ตอบว่า :

<<علمها عند ربي لا يجليها لوقتها إلا هو ولكن سأخبركم بمشارطها وما يكون بين يديها :أن بين يديها فتنة وهرجا >>

      ความรู้เรื่องของวันสิ้นโลกนั้น อยู่ที่พระเจ้าของฉัน ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงวันเวลาที่วันสิ้นโลกจะเกิดขึ้น นอกจากพระองค์เท่านั้น

     หากแต่ฉัน จะบอกพวกท่านถึงสัญญาณต่างๆ ของวันสิ้นโลก และเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นก่อนหน้านั้น  แท้จริงแล้ว ก่อนหน้าวันสิ้นโลกจะเกิดฟิตนะฮฺและฮัรจ์ญฺขึ้น

     “โอ้ ร่อซูลุลลอฮฺ ฟิตนะฮฺนั้นเรารู้จักดี แต่ฮัรจ์ญฺ นั้นคืออะไรหรือครับ?”

ท่านตอบว่า : 

<<بلسان الحبشة القتل ويلقى بين الناس التناكر فلا يكاد أحد يعرف أحد>>

 เป็นภาษาฮะบาชะฮฺ หมายถึงการฆ่าก่ออาชญากรรม  ผู้คนต่างจ้องเป็นศัตรูกัน จนเกือบไม่รู้ว่าใครเป็นใคร

(บันทึกโดย อิมาม อะฮฺมัด)

 

     ขออัลลอฮ์ทรงคุ้มครองพี่น้องมุสลิมที่ศรัทธาอย่างแท้จริง ให้ได้รับทางแห่งความเจริญในโลกอาคิเราะฮ์ด้วยเถิด....อามีน