เรื่องราวของชนชาติซะบาอ์ในอัลกุรอาน
  จำนวนคนเข้าชม  3112

เรื่องราวของชนชาติซะบาอ์ในอัลกุรอาน

 

อับดุลสลาม เพชรทองคำ

 

          อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงมีคำสั่งใช้ให้เราป้องกันตัวของเรา และครอบครัวของเราไม่ให้กลายเป็นเชื้อเพลิงให้กับไฟนรกในวันกิยามะฮฺ...ดังนั้น การดำเนินชีวิตของเราในทุก ๆวัน เราจึงต้องมีความระมัดระวังตัวเราและครอบครัวของเราไม่ให้ต้องกลายเป็นเชื้อเพลิงให้กับไฟนรก 

 

          โดยการที่เราต้องพยายามศึกษาเรียนรู้ ทำความเข้าใจในบทบัญญัติศาสนาที่ถูกต้องของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ..เมื่อได้เรียนรู้แล้ว เข้าใจแล้วก็ให้ปฏิบัติในสิ่งที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงสั่งใช้ โดยพยายามทำให้มันสุดความสามารถของเรา และในขณะเดียวกัน เราก็ต้องออกห่างและละทิ้งจากสิ่งที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงห้ามโดยสิ้นเชิง พร้อมกันนั้นก็ต้องปฏิบัติอิบาดะฮฺทุกอย่างให้ตรงตามแบบฉบับของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม นั่นก็คือต้องไม่ทำบิดอะฮฺด้วย 

 

          ซึ่งเมื่อเราได้ปฏิบัติดังกล่าวแล้ว ดูแลตัวเราดังกล่าวแล้ว ก็ให้เราดูแลครอบครัวของเรา ดูแลคนในการปกครองของเราให้ปฏิบัติดังกล่าวด้วยเช่นกัน ...ซึ่งการกระทำดังกล่าวนี้แหละที่จะช่วยเราให้รอดพ้นจากการเป็นเชื้อเพลิงให้กับไฟนรกในวันกิยามะฮฺ

 

 

          อันเนื่องจาก อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาได้ทรงเล่าเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้นในอดีตไว้หลาย ๆเรื่องราวในอัลกุรอาน ทั้งนี้เพื่อให้เรื่องราวเหล่านั้นได้เป็น เมาอิเซาะฮฺ مَوۡعِظَةٗ ก็คือเป็นอุทาหรณ์ เป็นข้อคิด เป็นข้อเตือนใจให้เราได้ใช้สติปัญญาของเราคิดพิจารณา สำหรับให้เราได้นำเอาเรื่องราวเหล่านั้นมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา เพื่อให้เราได้ตระหนักว่า การดำเนินชีวิตของเราระหว่างการเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา กับการฝ่าฝืน การดื้อดึงต่อคำสั่งของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลานั้น ให้ผลลัพธ์ หรือให้การตอบแทนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงทั้งในโลกดุนยานี้และในโลกอาคิเราะฮฺ...

 

 

         สำหรับวันนี้ จะขอนำเสนอเรื่องจริงเล่าจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของคนที่ได้รับ ริสกีแบบอิสติดรอจญ์  الاستدراج ซึ่งเราได้เคยพูดไปแล้วว่า ริสกีแบบอิสติดรอจญ์เป็นริสกีที่น่ากลัว เพราะเป็นริสกีที่มามาควบคู่กับการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา 

 

          เป็นริสกีที่ผู้ที่ได้รับริสกีไม่สำนึกในบุญคุณของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เพราะเมื่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาได้ประทานริสกีต่าง ๆให้แก่พวกเขาอย่างดี แต่แทนที่พวกเขาจะขอบคุณพระองค์ และปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์ ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์ เชื่อฟังและปฎิบัติตามคำสั่งสอนของนบีของพระองค์..พวกเขากลับฝ่าฝืนดื้อดึงต่อบทบัญญัติของพระองค์ และมักจะดำรงการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติศาสนาของพระองค์ต่อไปเรื่อย ๆ ไม่มีทีท่าทีว่าจะสำนึกผิด 

 

         ด้วยเหตุนี้ เมื่อถึงวันหนึ่งที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงกำหนด พระองค์ก็จะทรงลงโทษเขาในทันทีทันใดลงโทษโดยไม่ให้เขาได้ทันตั้งตัว ซึ่งจะทำให้เขาสูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง และในท้ายที่สุด มันจะนำมาซึ่งความหายนะแก่เขาทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮฺ

 

 

         สำหรับเรื่องจริงในอัลกุรอานที่จะนำมาเล่าในวันนี้ ปรากฏอยู่ในซูเราะฮฺซะบาอ์ อายะฮฺที่ 15 – 19 เป็นเรื่องที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงเล่าถึงเมืองซะบาอ์และผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้ ..ซึ่งเมืองซะบาอ์นี้เป็นเมือง ๆหนึ่งอยู่ในประเทศยะมันหรือเยเมน อยู่ห่างจากเมืองศอนอาอ์ในประเทศซาอุดิอารเบีย ประมาณ 3 ไมล์ 

 

         ซึ่งแต่เดิมชื่อซะบาอ์นี้ เป็นชื่อของคน ๆหนึ่ง ตามที่ปรากฏหลักฐานอยู่ในอัลหะดีษท่านนบี ครั้นพอคนที่ชื่อซะบาอ์นี้มีลูกหลาน ขยายเผ่าพันธุ์ออกไปก็ได้รวมตัวกันเป็นชุมชนใหญ่ในเมืองหนึ่ง จนเมืองนั้นถูกขนานนามว่า เมืองซะบาอ์

 

          เรามาดูอัลหะดีษในเรื่องที่เกี่ยวกับชื่อนี้สักนิดเป็นอัลหะดีษเศาะหิหฺ ในบันทึกของอิมามอัตติรมีซีย์ และอิมามอะบูดาวูด รายงานมาจากท่านฟัรวะฮฺอัลมุรอดีย์ เราะฏิยัลลอฮุอันฮุ الْمُرَادِيُّ مِسِّيكٍ بْنِ فَرْوَةَ عَنْ

 

         (อัลหะดีษนี้ยาวนิดหนึ่ง กล่าวในเรื่องอื่น ๆด้วย แต่เราจะคัดเอาเฉพาะที่เกี่ยวกับชื่อซะบาอ์นี้ )...ซึ่งท่านฟัรวะฮฺได้รายงานไว้ ส่วนหนึ่งของอัลหะดีษนี้ ท่านฟัรวะฮฺได้กล่าวความว่าและสิ่งที่ถูกประทานลงมา..ได้ถูกประทานลงมาใน(ซูเราะฮฺ)ซะบาอ์ 

 

     ชายคนหนึ่งจึงได้กล่าวขึ้นความว่าโอ้ ท่านเราะซูลุลลอฮฺ ..ซะบาอ์คืออะไร ? คือแผ่นดินหรือผู้หญิงครับ ? 

 

     ท่านเราะซูลุลลอฮฺ จึงได้ตอบความว่า "ไม่ใช่ทั้งแผ่นดินและผู้หญิง ..แต่ซะบาอ์คือ ชายคนหนึ่งที่มีบุตรเป็นชาวอาหรับสิบคน หกคนของพวกเขาไปตั้งรกรากอยู่ที่ยะมัน อีกสี่คนไปตั้งรกรากอยู่ที่ชาม 

 

         นั่นก็คือที่มาของชื่อซะบาอ์ซึ่งปรากฏในส่วนหนึ่งของอัลหะดีษ และปรากฏเป็นชื่อซูเราะฮฺหนึ่งอยู่ในอัลกุรอาน และปรากฏชื่ออยู่ในเนื้อหาของซูเราะฮฺนี้ด้วย

 

         สำหรับประวัติศาสตร์ของเมืองซะบาอ์นั้น ปรากฎหลักฐานทางประวัติศาสตร์ด้วยว่าเป็นเมืองที่ได้รับการยอมรับว่ามีความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีเป็นอย่างมากในยุคสมัยนั้น ชาวซะบาอ์ได้สร้างเขื่อนขนาดใหญ่ขึ้นมา และได้มีการสร้างระบบชลประทาน เพื่อเก็บกักน้ำสำหรับนำมาใช้อุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน และสำหรับนำมาใช้ในเรื่องเกษตรกรรมด้วย ทำให้แผ่นดินของเมืองซะบาอ์มีแต่ความอุดมสมบูรณ์ ...นี่ก็คือ ความเมตตา ความโปรดปรานที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงมอบให้แก่ชาวเมืองซะบาอ์

 

     ในอัลกุรอานซูเราะฮฺซะบาอ์อายะฮฺที่ 15 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาได้ทรงเล่าว่า

 

لَقَدۡ كَانَ لِسَبَإٖ فِي مَسۡكَنِهِمۡ ءَايَةٞۖ جَنَّتَانِ عَن يَمِينٖ وَشِمَالٖۖ كُلُواْ مِن رِّزۡقِ رَبِّكُمۡ وَٱشۡكُرُواْ لَهُۥۚ بَلۡدَةٞ طَيِّبَةٞ وَرَبٌّ غَفُورٞ 15

 

     .“แน่นอน สำหรับชาวซะบาอ์นั้นมีสัญญาณหนึ่ง (อันเป็นสัญญาณที่แสดงถึงเดชานุภาพของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา)เกี่ยวกับดินแดนที่อยู่อาศัยของพวกเขา นั่นคือสวนสองแห่งทางด้านขวาและทางซ้าย

     (ดังนั้น)พวกเจ้าจงบริโภคจากปัจจัยยังชีพของพระเจ้าของพวกเจ้า และจงขอบคุณต่อพระองค์ ในดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ และพระเจ้าผู้ทรงอภัย

 

          นั่นก็คือ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ผู้ทรงเดชานุภาพ พระองค์ทรงประทานดินแดนที่มีความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ชาวเมืองซะบาอ์โดยพระองค์ได้ประทานความโปรดปรานให้พวกเขาได้รับสวนสองแห่งทั้งทางด้านขวาและด้านซ้าย..

 

         ซึ่งท่านเกาะตะดะฮฺได้กล่าวถึงความอุดมสมบูรณ์ของสวนไว้ว่า เป็นสวนที่เต็มไปด้วยต้นไม้ที่ร่มรื่น และออกดอกออกผลอย่างมากมาย มากมาย ขนาดที่ว่า เมื่อสตรีที่มีกระจาดทูนอยู่บนศีรษะ เดินผ่านไปทางไหนก็ตาม ผลไม้ที่อยู่บนต้นมันจะร่วงหล่นมาเต็มกระจาด โดยที่ไม่ต้องไปสอย หรือเอื้อมมือไปเก็บแต่อย่างใด อันเนื่องมาจากการที่มันมีจำนวนมากมายเหลือคณานับและสุกงอมจึงร่วงหล่นมาเอง ..

 

          ซึ่งนี่ก็คือความโปรดปราน ความเมตตาที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาได้ประทานให้แก่ชาวเมืองซะบาอ์ ..พระองค์ทรงบอกให้พวกเขาบริโภคจากสิ่งที่พระองค์ทรงมอบให้แก่พวกเขา ก็คือให้ใช้จ่าย ให้หาประโยชน์จากความอุดมสมบูรณ์มากมายที่พระองค์ทรงมอบให้ เพื่อใช้ในการดำรงชีวิต และจงขอบคุณพระองค์ ที่ได้ประทานผืนแผ่นดินอันอันอุดมสมบูรณ์ ด้วยการรำลึกถึงพระองค์ ขอบคุณพระองค์ด้วยการเชื่อฟังและปฎิบัติตามคำสั่งของพระองค์ อีกทั้งต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งสอนของนบีของพระองค์ด้วย และพระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงอภัยโทษ

 

     อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงเล่าต่อไปในอายะฮฺที่ 16 ว่า

 

فَأَعۡرَضُواْ فَأَرۡسَلۡنَا عَلَيۡهِمۡ سَيۡلَ ٱلۡعَرِمِ وَبَدَّلۡنَٰهُم بِجَنَّتَيۡهِمۡ جَنَّتَيۡنِ ذَوَاتَيۡ أُكُلٍ خَمۡطٖ وَأَثۡلٖ وَشَيۡءٖ مِّن سِدۡرٖ قَلِيلٖ 16

 

 

     ”แต่พวกเขาได้ผินหลัง ด้วยเหตุนี้ เราจึงปล่อยน้ำจากเขื่อนให้ท่วมพวกเขา ...และเราได้เปลี่ยนให้พวกเขาสวนสองแห่งของพวกเขา แทนสวนอีกสองแห่ง ให้เป็นผลไม้ขมและต้นไม้พุ่ม และต้นพุทราบ้างเล็กน้อย

 

          นั่นก็หมายความว่า เมื่ออัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาประทานความโปรดปรานให้แก่พวกเขาอย่างมากมายแค่ไหนก็ตาม แทนที่พวกเขาจะสำนึกในพระคุณ สำนึกในความโปรดปรานที่พระองค์ทรงมอบให้แก่พวกเขา พร้อมทั้งเชื่อฟังและปฎิบัติตามคำสั่งของพระองค์ ...

 

          แต่พวกเขากลับ فَأَعۡرَضُواْ ผินหลัง พวกเขากลับดื้อดึง ฝ่าฝืนต่อคำสั่งของพระองค์ ด้วยสาเหตุนี้แหละ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาจึงทรงลงโทษพวกเขา ด้วยเหตุการณ์ที่เรียกว่า سَيۡلَ ٱلۡعَرِمِ .......

     คำว่า ٱلۡعَرِمِ อัลอะริม หมายถึง เขื่อน ...

     คำว่า سَيۡلَ ٱلۡعَرِمِ ไซลัลอะริม หมายถึง อุทกภัยหรือน้ำท่วมที่เกิดจากเขื่อนแตก หรือ เกิดจากการพังทลายของเขื่อน ทำให้มวลน้ำมหาศาลจากเขื่อนแตกนั้นจึงได้ไหลท่วมสวนอันอุดมสมบูรณ์ของพวกเขา 

 

          ด้วยเหตุนี้ ชาวซะบาอ์จึงได้สูญเสียผืนแผ่นดินอันอุดมสมบูรณ์ไปทั้งหมด และครั้นต่อมา สวนของพวกเขาก็ได้กลายเป็นสวนที่มีแต่ผลไม้ที่มีรสขม กลายเป็นต้นไม้ต้นเล็ก ๆ ไม่มีคุณค่าอะไรมากมายเหมือนดังเช่นแต่ก่อน...

 

          สำหรับในเรื่องนี้ก็มีนักโบราณคดีชาวคริสเตียนได้ให้การยอมรับว่า เหตุการณ์เขื่อนแตกนี้ได้เกิดขึ้นจริงตามที่ถูกระบุไว้ในอัลกุรอาน ..เขื่อนดังกล่าวมีอยู่จริง การล่มสลายของเมืองที่เกิดจากการพังทลายของเขื่อนมีหลักฐานว่าเป็นเรื่องจริง หลังจากนั้นผืนแผ่นดินแห่งนั้นก็กลายเป็นทะเลทราย

 

     ในอายะฮฺที่ 17 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงเล่าต่อว่า

 

ذَٰلِكَ جَزَيۡنَٰهُم بِمَا كَفَرُواْۖ وَهَلۡ نُجَٰزِيٓ إِلَّا ٱلۡكَفُورَ

 

     “ดังกล่าวนี้แหละ เราได้ตอบแทนพวกเขา เนื่องจากพวกเขาเนรคุณ และเราไม่ได้ลงโทษผู้ใด (ด้วยการลงโทษอย่างรุนแรงเช่นนี้) นอกจากพวกเนรคุณเท่านั้น

 

         อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงลงโทษชาวซะบาอ์นี้ ก็เพราะการกระทำของพวกเขาที่เนรคุณต่อพระองค์ ซึ่งท่านมุญาฮิดกล่าวว่า จะไม่มีการลงโทษใด ๆทั้งสิ้น นอกจากการลงโทษผู้ที่เนรคุณต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา 

 

          สำหรับมุอ์มินแล้ว หากพวกเขาทำความผิด พวกเขาจะสำนึกตัวได้ พวกเขาก็จะขออภัยโทษต่อพระองค์ และปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น เมื่อเป็นอย่างนี้ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาก็จะทรงอภัยโทษให้แก่พวกเขา และทรงลบล้างความผิดให้แก่พวกเขา

 

 

สำหรับอีกเหตุการณ์หนึ่งของชาวซะบาอ์ ปรากฎอยู่ในอายะฮฺที่ 18 – 19 อัลลอฮฺซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า

 

وَجَعَلۡنَا بَيۡنَهُمۡ وَبَيۡنَ ٱلۡقُرَى ٱلَّتِي بَٰرَكۡنَا فِيهَا قُرٗى ظَٰهِرَةٗ وَقَدَّرۡنَا فِيهَا ٱلسَّيۡرَۖ سِيرُواْ فِيهَا لَيَالِيَ وَأَيَّامًا ءَامِنِينَ 18

 

 

     ระหว่างพวกเขาและระหว่างหัวเมืองต่าง ๆ ซึ่งเราได้ให้ความจำเริญในนั้น เราได้ให้มีขึ้นซึ่งหัวเมืองที่เด่นชัด และเราได้กำหนดการเดินทางไว้ในนั้น พวกเจ้าจงเดินทางไปตามนั้นเถิด ทั้งกลางวันและกลางคืนอย่างปลอดภัย

 

         คำว่า เรา ในอายะฮฺนี้ ก็คืออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาได้ทรงทำให้หมู่บ้านติดต่อกันไปเป็นหัวเมืองที่เด่นชัด ตั้งแต่เมืองซะบาอ์ของเยเมน ไปจนกระทั่งถึงหัวเมืองต่าง ๆในประเทศชาม นั่นก็คือให้เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่บรรดาผู้เดินทาง ซึ่งพระองค์ได้ทรงกำหนดการเดินทางระหว่างหมู่บ้านหนึ่งไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง คือให้พวกเขาสามารถที่จะกำหนดระยะเวลา กำหนดระยะทางการเดินทางไว้ล่วงหน้าได้ ว่าจะหยุดตรงไหน จะพักที่ใด 

 

          ช่วงกลางวันจะพักตรงไหน ช่วงกลางคืนจะพักตรงไหนซึ่งพวกเขาสามารถเดินทางระหว่างหมู่บ้านนั้นได้ตามความพอใจทั้งในยามกลางวันและยามค่ำคืนได้อย่างปลอดภัย โดยพระองค์ทรงไม่ให้มีอันตรายใด ๆเกิดขึ้นแก่พวกเขา อีกทั้งพวกเขายังไม่ต้องขนเสบียงไปด้วยเพราะมีความอุดมสมบูรณ์ มีอาหารการกินอย่างดีตลอดเส้นทาง ก็คือ พระองค์ได้ประทานความสะดวก ความสบายในการเดินทางระยะไกลให้แก่พวกเขาทุกอย่าง แต่พวกเขากลับไม่ชอบความสะดวกสบายนั้น และไม่สำนึกในความเมตตานั้น

 

فَقَالُواْ رَبَّنَا بَٰعِدۡ بَيۡنَ أَسۡفَارِنَا وَظَلَمُوٓاْ أَنفُسَهُمۡ فَجَعَلۡنَٰهُمۡ أَحَادِيثَ وَمَزَّقۡنَٰهُمۡ كُلَّ مُمَزَّقٍۚ إِنَّ فِي ذَٰلِكَ لَأٓيَٰتٖ لِّكُلِّ صَبَّارٖ شَكُورٖ

 

     แล้วพวกเขาได้พูดว่าโอ้พระเจ้าของเรา! ขอพระองค์ได้ทรงทำให้การเดินทางของเรายืดยาวขึ้น 

     (นั่นแหละ)พวกเขาได้อธรรมต่อตัวพวกเขาเอง ดังนั้น เราจึงได้ทำให้พวกเขาเป็นเรื่องเล่าขานติดต่อกันมา และเราได้ทำให้พวกเขาแตกสลายกระจัดกระจายกันออกไป แท้จริงในการนี้ย่อมเป็นสัญญาณมากหลายอย่างแน่นอนแก่ทุกคนผู้อดทน ผู้กตัญญู

 

          อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงประทานความสะดวกสบายในการเดินทางระยะไกลให้แก่พวกเขาทุกอย่าง แต่กลับกลายเป็นว่า พวกเขาเบื่อหน่ายต่อความสะดวกความสุขความสบายที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงมอบให้แก่พวกเขา พวกเขาอยากจะได้รับความยากลำบากบ้าง

         พวกเขาจึงได้ขอดุอาอ์ต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ขอให้พระองค์ทรงให้หมู่บ้านที่พระองค์ทรงย่นระยะทางให้อยู่ใกล้ ๆ นี้ ได้อยู่ห่างไกลออกไป เพื่อพวกเขาจะได้เดินทางไปท่ามกลางทะเลทราย และได้มีการจัดเตรียมสัมภาระสำหรับการเดินทาง ...นี่คือดุอาอ์ที่พวกเขาขอ...

 

         ทันใดนั้นเอง อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงตอบรับดุอาอ์ของเขาในทันที โดยการทำลายหมู่บ้านของพวกเขา และทำให้มันเป็นหมู่บ้านร้าง ไร้ผู้คน ไร้สิ่งมีชีวิต ได้รับความพินาศ ได้รับความหายนะในที่สุด เป็นการลงโทษต่อพวกเขาที่ไม่สำนึกในความเมตตา ความโปรดปรานที่พระองค์ทรงมีต่อพวกเขา

 

 

         นั่นก็คือ เรื่องจริงเล่าจากอัลกุรอานอีกสองเรื่องราวที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงเล่าไว้ในซูเราะฮฺซะบาอ์ อายะฮฺที่ 15 – 19 ... ซึ่งถือเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของผู้ที่ได้รับริสกีแบบอิสติดรอจญ์ ... ซึ่งเป็นริสกีที่ผู้ที่ได้รับริสกีไม่สำนึกในบุญคุณของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ไม่ขอบคุณต่อพระองค์ ไม่เชื่อฟังและไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์ พระองค์จึงทรงลงโทษเขาโดยให้เขาไม่ทันได้ตั้งตัว ทำให้เขาต้องประสบกับความพินาศในทันทีทันใด 

 

         เป็นเรื่องราวที่เป็นข้อคิด ข้อเตือนใจเรา ให้เราได้สำนึกในความเมตตาของพระองค์ ดังนั้น เราพึงระมัดระวังตัวเองในเรื่องเหล่านี้ อย่าเป็นผู้ที่ไม่สำนึกในความโปรดปรานของพระองค์ ไม่ขอบคุณต่อพระองค์ เพราะการกระทำดังกล่าวจะเป็นสาเหตุทำให้ริสกีของเราต้องสูญสิ้นไป และทำให้ชีวิตของเราต้องประสบกับความพินาศ

 

 

         สุดท้ายนี้ ขออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาโปรดให้เราเป็นผู้ที่สำนึกในบุญคุณของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาอย่างดี เป็นผู้ที่รู้จักที่จะขอบคุณต่อพระองค์ด้วยหัวใจ ด้วยคำพูดและด้วยการกระทำ ..การกระทำที่เป็นการเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์โดยไม่บิดพลิ้วใด ๆเลย ..

         เราต้องไม่ตั้งใจที่จะฝ่าฝืน แต่หากฝ่าฝืนด้วยความอ่อนแอ หลงไปกับอารมณ์ใคร่ใฝ่ต่ำของตัวเอง หรือหลงไปกับการล่อลวงของชัยฏอน เราก็ต้องรู้จักสำนึกผิด พร้อมทั้งขออภัยโทษ ขออิสติฆฟาร ขอเตาบะฮฺตัวต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาโดยทันที 

          ต้องตั้งใจที่จะไม่ฝ่าฝืน หากพลาดพลั้งฝ่าฝืนอีกก็ต้องอิสติฆฟาร เตาบะฮฺตัวอยู่อย่างนี้เรื่อย ๆไป เพราะแท้จริงแล้ว การอิสติฆฟาร และการเตาบะฮฺตัวจะต้องเป็นสิ่งที่ควบคู่อยู่กับชีวิตของเราตลอดไป เพราะมันเป็นหนทางหนึ่งที่ทำให้เราเป็นผู้ที่สำนึกในบุญคุณของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา

 

 

 

( นะศิหะฮฺมัสญิดดารุลอิหฺซาน บางอ้อ )