พิบัติภัยในอดีต
  จำนวนคนเข้าชม  33626

ตัวอย่างพิบัติภัยในอดีต ซึ่งปรากฏในคัมภีร์อัลกุรอาน

ที่มา:อะมะตุ้ลญะลิ้ล


          ย้อนถอยหลังกลับไปเมื่อคราวอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดของโลก คือในสมัยศาสดานูฮ (Noah) (หลังจากศาสดาอาดัม 10ช่วงบรรพบุรุษ หรือประมาณ 4,000 ปีก่อนคริสตกาล) ด้วยเหตุผลอันใดที่ทำให้ประชาชาติของท่านต้องจมอยู่ใต้ผืนน้ำ ที่ทะลักออกมาจากแผ่นดินและแผ่นฟ้า  ภายหลังการยืนหยัดอดทนของท่านในการเรียกร้องเชิญชวนผู้คนสู่การสักการะต่อพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวตลอดช่วงอายุ 950 ปี นับจากการแต่งตั้งเป็นศาสดา แต่มีผู้เชื่อฟังท่านเพียง 80 คน  

    

อ๊าด(A’ad)

          อ๊าด(A’ad) กลุ่มชนของท่านศาสดาฮู๊ด(Eber)  ภายหลังศาสดานูฮ(Noah) 7 ช่วงบรรพบุรุษ ประสบพบเจอสิ่งใด ทำนองเดียวกันเกิดอะไรขึ้นบ้างกับกลุ่มชนของท่านศาสดาซอและฮฺ(Shaloh)   ศาสดาลู๊ฏ(Lot) และศาสดาชุอัยบฺ(Jethro)  หลังจากที่พวกเขาปฏิเสธพระเจ้า ปฏิเสธการฟื้นคืนชีพและเยาะเย้ยถากถางศาสดาของพระองค์ ดังจะกล่าวในลำดับต่อไป 

รู้จัก A’ad             

          ชนชาติอาหรับในประวัติศาสตร์แบ่งออกเป็น 3 พวกใหญ่ๆ คือ อาหรับที่สูญพันธุ์ไปแล้ว ได้แก่พวกอ๊าดและษะมู๊ด กลุ่มที่ 2 คืออาหรับแท้ ได้แก่อาหรับเยเมนซึ่งกระจายอยู่ในตะวันออกกลาง และกลุ่มที่ 3 คืออาหรับผสม ได้แก่ลูกหลานศาสดาอิสมาอีล(Ishmael)บุตรศาสดาอิบรอฮีม(Abraham)  ซึ่งก็คือต้นบรรพบุรุษของศาสดามุฮัมหมัด

          กลุ่มชนอ๊าด คือกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในดินแดนหุบเขา “อะฮฺก็อฟ” ประเทศเยเมน และเป็นที่ทราบกันดีถึงความอุดมสมบูรณ์เจริญรุ่งเรืองของเมืองแห่งนี้ อ๊าดเป็นกลุ่มชนแรกหลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมโลกที่สักการะบูชาเจว็ด  พระเจ้าทรงประทานความโปรดปรานอย่างมากมายแก่พวกเขา ให้พวกเขามีร่างกายกำยำ สูงใหญ่ แข็งแกร่ง ไม่มีใครมีกำลังความสามารถทัดเทียม มีเคหะสถานป้อมปราการสูงตระหง่านมั่นคง มีลูกหลาน ปศุสัตว์ เรือกสวนและลำธารหลายแห่ง แต่พวกเขาก็ไม่สำนึกทำร้ายผู้คนอย่างทารุณ เหิมเกริมในความแข็งแกร่งของตน   ทั้งนี้เพราะพวกเขาไม่เชื่อว่าจะมีการฟื้นคืนชีพ หรือการตอบแทนชำระบัญชีใดๆ         

          ท่านศาสดาฮู๊ด(Eber) มาจากกลุ่มชนนี้ ทำหน้าที่ตักเตือนกลุ่มชนตามบัญชาแห่งพระเจ้าเช่นเดียวกับศาสดานูฮ แต่สิ่งที่พวกอ๊าดตอบสนองกลับมา คือ การยโสดื้อดึง กล่าวหาท่านว่างมงายเสียสติบ้าง โกหกบ้าง และท้าทายอยากเห็นการลงโทษว่าเป็นจริงตามที่ศาสดาสัญญาหรือไม่   

          สัญญาของพระเจ้าย่อมเป็นจริงเสมอ

          พวกเขาประสบกับความแห้งแล้งกันดาร ฝนหยุดตกตลอด 3 ปี กระทั่งวันหนึ่งบนฟ้าปรากฏเมฆดำทะมึน พวกอ๊าดต่างดีอกดีใจนึกว่าเจว็ดของพวกเขาได้ให้การช่วยเหลือ หารู้ไม่ว่ามันคือเมฆที่นำการลงโทษจากพระเจ้ามาทำลายล้างพวกเขาอย่างที่ไม่เคยปรากฏ จากสภาพที่อากาศร้อนระอุกลับเปลี่ยนเป็นเย็นเยือกกระทันหัน พายุกระหน่ำความหนาวเหน็บโถมทับพวกเขาต่อเนื่อง 8 วัน 7 คืน แผ่นดินสะเทือนจากเสียงกัมปนาท ทุกอย่างสั่นสะท้าน  ที่กำบังพังทลาย เสื้อผ้าขาดวิ่น ผิวหนังฉีกขาดกระชากผู้คนประหนึ่งรากต้นอินทผาลัมที่ถูกถอน  เสมือนดั่งเศษขยะกระจัดกระจายเป็นผุยผง        

 

ษะมู๊ด (Thamud)

         กลุ่มชนของท่านศาสดาซอและหฺ (Shaloh)  ที่ปัจจุบันเหลือเพียงร่องรอยเคหะสถานร้างสกัดจากภูผา ก่อนหน้านี้พวกเขาพบเจอสิ่งใด?    

รู้จัก Thamud          

           ษะมู๊ดเป็นตระกูลอาหรับที่ยิ่งใหญ่ตระกูลหนึ่งเช่นเดียวกับอ๊าด อาศัยอยู่ในดินแดนที่เรียกว่า “อัล-ฮิจร์” อยู่ระหว่างปาเลสไตน์กับซาอุดิอารเบียทางทิศตะวันตก หรือในอาณาเขตประเทศจอร์แดนปัจจุบัน ซึ่งเป็นที่รู้จักในนาม “Madain Soleh” (เมืองศาสดาซอและฮฺ) พวกษะมู๊ดมีเมืองที่อุดมสมบูรณ์ มีการชลประทานคล่องตัว มีสวนผลไม้ที่ให้ผลดกเต็มต้น  มีเครื่องนุ่งห่มจากขนสัตว์ มีที่พำนักสกัดจากภูเขาใหญ่โตงดงามและมีอายุขัยยืนยาว(ชาวษะมู๊ดอายุยืนถึง300-1,000ปี)           

          ท่านศาสดาซอและห์ทำหน้าที่ประกาศบัญชาของพระผู้เป็นเจ้าเช่นเดียวกับศาสดาก่อนหน้าท่าน และเตือนให้รำลึกถึงเหตุการณ์ที่บรรพบุรษได้เคยประสบ แต่พวกษะมู๊ดกลับเยาะเย้ยและเรียกร้องหลักฐานการเป็นศาสนฑูตของพระเจ้า ด้วยการท้าทายท่านศาสดาให้นำอูฐท้องแก่ออกมาจากหินก้อนใหญ่ตรงหน้าพวกเขาเพื่อเป็นข้อต่อรองการศรัทธา      

          หลังจากท่านศาสดาทำการละหมาดและขอพรต่อพระเจ้า พระองค์ทรงตอบรับคำขอโดยทรงให้อูฐออกมาจากหินก้อนใหญ่ตามลักษณะที่พวกเขาต้องการ เพื่อเป็นอภินิหารและเป็นหลักฐานยืนยันความสัจจริงของท่าน เพราะการที่อูฐออกมาจากหินเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่ไม่อาจเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ท่านศาสดาได้ตกลงเงื่อนไขให้อูฐและชาวเมืองดื่มน้ำจากบ่อน้ำโดยสลับวันกัน ในวันที่เป็นสิทธิ์ดื่มน้ำของอูฐ ชาวเมืองและสัตว์เลี้ยงก็จะได้ดื่มนมอูฐอย่างพอเพียง แต่ในวันที่เป็นสิทธิ์ของชาวเมือง อูฐก็จะไม่ดื่มน้ำในวันนั้น ซึ่งท่านศาสดาได้เตือนย้ำอย่างแข็งขันห้ามชาวเมืองทำร้ายและขัดขวางการดื่มน้ำของอูฐ มิเช่นนั้นการลงโทษของพระองค์จะประสบกับพวกเขาอย่างแน่นอน   

          แต่แล้วพวกเขาก็บิดพริ้วสัญญาละเมิดคำสั่งของพระเจ้ารวมหัวกันฆ่าอูฐอันเป็นสัญญาณของพระองค์ เพียง 3 วันให้หลังสัญญาของพระองค์ย่อมไม่หลอกลวง ทันทีที่ดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า เสียงกัมปนาทดังกึกก้อง แผ่นดินไหวสะท้าน คร่าชีวิตผู้ปฏิเสธในสภาพคุกเข่าล้มตายคาบ้านของพวกเขาเอง การลงโทษครั้งนี้ทำให้เผ่าพันธ์ษะมู๊ด 5,000 ครอบครัวสาบสูญสิ้น ประหนึ่งว่าไม่เคยมีสิ่งมีชีวิตใดอาศัยอยู่ ณ แผ่นดินนี้มาก่อน  เหลือรอดแต่ผู้ศรัทธาเพียง 120 คน กับซากปรักหักพังของความรุ่งโรจน์ในอดีต ณ แผ่นดินที่ถูกลงทัณฑ์นี้        

 

          ทำนองเดียวกันกับหลายๆ ประชาชาติถัดมาจากอ๊าดและษะมู๊ด ที่พระผู้เป็นเจ้าได้ตอบแทนการก่อความเสียหายของพวกเขาบนแผ่นดินของพระองค์ด้วยสัญญาณต่างๆ มากมาย เช่น ชาวเมืองสะดูม(Sodom) ณ บริเวณที่เป็นทะเลสาป Dead Sea ระหว่างจอร์แดนกับปาเลสไตน์ ชาวเมืองแห่งนี้นับเป็นต้นฉบับกามวิตถารระหว่างชายด้วยกัน ดำเนินชีวิตอยู่ด้วยการหลอกลวงหักหลัง ปล้นสดมภ์และเฉยเมยในการตักเตือนซึ่งกัน ฯลฯ ไม่มีแม้สักคนเดียวที่เชื่อฟังการห้ามปรามตักเตือนของศาสดาลู๊ฏ(Lot) (หลานศาสดาอิบรอฮีม“อับราฮัม”) มิหนำซ้ำพวกเขายังรวมหัวขับไล่ ท้าทายการลงทัณฑ์ของพระเจ้าเหมือนกับที่บรรพบุรุษก่อนหน้าพวกเขาเคยท้าทายมาแล้ว พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงตอบแทนพฤติกรรมชั่วช้าของพวกเขาด้วยการพลิกแผ่นดิน และกระหน่ำซ้ำด้วยฝนหินจากเบื้องบน และทิ้งแผ่นดินนี้ให้เป็นอุทาหรณ์แก่ผู้สัญจรจวบจนปัจุบัน                                

 

          พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงตอบแทนการเนรคุณของประชาชาติรุ่นก่อนๆ เพื่อเป็นตัวอย่างแก่มนุษยชาติทั้งหมด  พระองค์ทรงลงโทษชาวเมืองมัดยัน (midian) กลุ่มชนของศาสดาชุอัยบฺ (Jethro) ด้วยเปลวเพลิงจากเมฆครึ้ม เสียงกัมปนาท และแผ่นดินไหว ลงโทษฟิรเอาน์(Pharaoh)และพลพรรค ด้วยการจมอยู่ใต้ท้องทะเล กอรูนและพวกพ้องด้วยการถูกธรณีสูบ ฯลฯ     ดังกล่าวเป็นเพียงส่วนหนึ่งจากหน้าประวัติศาสตร์โลกที่พระผู้เป็นเจ้าได้จัดการกับกลุ่มชนผู้ ดื้อดึงฝ่าฝืนและก่อความเดือดร้อนเสียหายในแผ่นดิน ซึ่งพระองค์ทรงยืนยันว่า

"การลงโทษของพระองค์จะไม่เกิดขึ้นอย่างอธรรมเป็นอันขาด และพระเจ้าของเจ้ามิได้เป็นผู้ทำลายเมืองทั้งหลาย

จนกว่าพระองค์จะทรงแต่งตั้งรอซูล ขึ้นในเมืองหลวงนั้น โดยสาธยายโองการทั้งหลายของเราแก่พวกเขา

และเรามิได้เป็นผู้ทำลายเมืองทั้งหลายเว้นแต่ชาวเมืองนั้นเป็นผู้อธรรม"

[อัล-กุรอาน28:59] 

" และเรามิได้อธรรมต่อพวกเขา แต่ว่าพวกเขาอธรรมต่อตัวของพวกเขาเอง "

 [อัล-กุรอาน11:101]

 

บทเรียนจากอดีต ถึง ปัจจุบัน 
 

          ภาพในอดีตไม่ได้ห่างไกลเกินไปที่เราจะเทียบเคียงกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน   ยุคที่ผู้คนหลงอยู่กับอำนาจของวัตถุจนจิตใจขึ้นสนิม ศีลธรรมคุณธรรมกลายเป็นเรื่องแปลกและล้าสมัย การกอบโกยเพื่อประโยชน์ของตนโดยไม่คำนึงถึงความชอบธรรมกลายเป็นความเคยชิน ความยุติธรรมเหลือเพียงแต่ชื่อ พิบัติภัยจึงส่อเค้าอยู่รำไร ตราบใดที่ความสำนึกต่อการกระทำยังไม่สามารถทะลายสนิมที่เกาะกุมหัวใจมนุษย์       

 

          ท่านศาสดามุฮัมหมัดศาสดาท่านสุดท้ายของอิสลาม ได้แจ้งให้เราทราบล่วงหน้าถึงยุคสมัยแห่งความสับสนวุ่นวายนี้ 

ท่านกล่าวไว้ว่า  ยุคสุดท้ายของประชาชาตินี้จะเกิดธรณีสูบ แผ่นดินถล่ม และแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง” 

ท่านหญิงอาอีชะฮฺ ถามขึ้นว่า พวกเราจะล่มจมทั้งๆที่ยังมีคนดีๆอยู่ด้วยกระนั้นหรือ?"

ท่านศาสดาตอบว่า “ใช่แล้ว เมื่อความชั่วปรากฏขึ้นเต็มไปหมด”

(วจนะศาสดา บันทึกโดยอิหม่ามติรมีซียฺ) 

ท่านศาสดายังได้กล่าวไว้ในทำนองเดียวกันว่า “ในประชาชาตินี้จะถูกลงโทษด้วยการถูกธรณีสูบ ถูกสาป และถูกฟ้าผ่า”

ชายคนหนึ่งถามขึ้นว่า "ท่านศาสนฑูตของอัลลอฮ เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นเมื่อใดกัน?"

ท่านศาสดาตอบว่า “ เมื่อมีหญิงบริการ เครื่องดนตรี และการดื่มสุราเสพสิ่งมึนเมาปรากฏเป็นที่แพร่หลาย”    

(บันทึกโดยติรมีซียฺ อิบนิอบิดดุนยา อะฮฺมัดและอัฏฏ๊อบรอนียฺ) 

 

          นี่เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งจากคำเตือนของศาสดาเมื่อกว่า 1,400 ปีมาแล้ว เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นภายหลังจากสมัยของท่าน ดังกล่าวนี้ไม่ใช่คำทำนาย ไม่ใช่การพยากรณ์ แต่เป็นข้อเท็จจริงที่สำหรับผู้เป็นมุสลิมแล้วต้องเชื่อมั่นว่าทุกสิ่งที่มาจากท่านศาสดาคือความจริง ซึ่งในปัจจุบันหลากหลายเหตุการณ์ได้ปรากฏให้เห็นตรงตามที่ท่านกล่าวเตือนไว้ทุกประการ    


 ความส่งท้าย           

         แม้เวลาจะล่วงผ่านมาหลายสิบศตวรรษ แต่หากเราใช้สติปัญญาใคร่ครวญ เราจะเห็นว่าความเสียหายต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนหน้าแผ่นดินล้วนมีสาเหตุมาจากสิ่งที่เกิดขึ้นโดยน้ำมือมนุษย์ทั้งสิ้น ไม่เพียงแค่ภาวะทางกายภาพเท่านั้นที่ทำให้แผ่นดินเจ็บป่วย แต่พฤติกรรมของเจ้าของหัวใจที่มีสนิมเกาะกุมก็เป็นการเพิ่มน้ำหนักเป็นเท่าทวีคูณแก่การแบกรับของแผ่นดินเช่นกัน  

          กระแสสังคมสามารถฉุดผู้คนให้เติบโตขึ้นได้ฉันใด กระแสสังคมก็ฉุดผู้คนให้ตกต่ำลงได้ฉันนั้น จะมีประโยชน์อันใดหากเรามุ่งพัฒนาศักยภาพจักรกลเพื่อตอบสนองความโลภ เพื่อส่งเสริมมนุษย์ให้หน้ามืดตามัวบูชาวัตถุ ขณะที่ศักยภาพของบุคคลกลับยิ่งจมดิ่ง ขาดการปฏิรูปฟื้นฟู  ภาวะที่โลกกำลังประสบอยู่ทุกวันนี้ ไม่เพียงพออีกหรือที่จะเตือนให้ปัญญาชนได้ตระหนักถึงการกระทำของตัวเอง หรือต้องรอจนกว่าจะเปิดประตูออกมาพบมหันตภัยลูกใหญ่อยู่ตรงหน้า หรือต้องให้ฟ้าเปลี่ยนสีและแผ่นดินสีเปลี่ยนเสียก่อนจึงจะสำนึก !

"พวกเขามิได้ท่องเที่ยวไปตามแผ่นดินดอกหรือ แล้วพิจารณาดูว่า บั้นปลายของประชาชาติในยุคก่อนหน้าพวกเขาเป็นเช่นใด"  

[อัล-กุรอาน30:9]

 

แผ่นดินเปลี่ยนสี 1 <<<<< Click here

 

 

 


เอกสารอ้างอิง     

เชคอาลี อีซา.2529.”การเตือนของอัลลอฮ”.

วารสารสายสัมพันธ์21(พฤศจิกายน):7  “------------“.2537.

“ตามแนวทางแห่งอัลกุรอาน บท ฮู๊ด”.วารสารสายสัมพันธ์ 29(มีนาคม-เมษายน):17. “------------“.2537.

”ตามแนวทางแห่งอัลกุรอาน บท ฮู๊ด”.วารสารสายสัมพันธ์ 29(พฤษภาคม-มิถุนายน):19                   

ยูซุฟ บิน อับดุลลอฮ.ม.ป.ป.สัญญาวันสิ้นโลก.แปลโดย อับดุลฆอนีย์ บุญมาเลิศ.กรุงเทพฯ:ม.ป.พ.  

สมาคมนักเรียนเก่าอาหรับประเทศไทย.พระมหาคัมภีร์อัลกุรอานพร้อมคำแปลเป็นภาษไทย. มะดีนะฮฺ:ศูนย์กษัตริย์ฟะฮัดเพื่อการพิมพ์อัลกุรอาน.

อุมัร รัตนวิทย์.2551.คุฏบะฮฺวันศุกร์มัสยิดบางกอกบทอัรรูม.กรุงเทพฯ:ม.ป.พ.                

อัสอัด วงษ์สันต์.2528. “ท่านนบีฮู๊ด อะลัยฮิสสลาม”วารสารสายสัมพันธ์20 (ตุลาคม):64.                                      

เหตุการณ์พายุหมุนนาร์กิส พ.ศ. 2551. (2551) .วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. [ออนไลน์].เข้าถึงได้จาก: http://th.wikipedia.org/wiki/ .16 มิถุนายน 2551,(วันที่เข้าถึง30กรกฏาคม 2551)        

สรุปข่าวต่างประเทศประจำสัปดาห์ 19-25 ก.ค.2551 .(2551,26 กรกฏาคม). ผู้จัดการออนไลน์.สืบค้นเมื่อ 30 กรกฏาคม 2551 ,จาก:

http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9510000087862                  

 แผ่นดินไหวขนาด5.4ริคเตอร์ที่แคลิฟอร์เนียสหรัฐฯ. (2551,30 กรกฏาคม),คมชัดลึก.สืบค้นเมื่อ 30 กรกฏาคม 2551 ,จาก:

 http://www.komchadluek.net/2008/07/30/x_for_g001_213673.                  

Ibn Kaseer.n.d.The prophets’ stories =Kasas Ambiyaa.Beirut-Lebanon:Dar al-argom bin abi argom.        

The tafsirs.2008.[online]Available:http://altafsir.com/Tafasir.asp?tMadhNo=0&tTafsirNo=.Retrieved August 3,2008.