ท่านนบีซอและห์ อะลัยฮิสลาม
แปลและเรียบเรียงโดย : ฟาฏิน บรอฮีมี
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสไว้ในอัลกุรอานว่า :
“เราจะเล่าเรื่องราวที่ดียิ่งแก่เจ้า (มุฮัมมัด)”
(ยูซุฟ 12 : 3)
“เราจะเล่าเรื่องราวของพวกเขาแก่เจ้า (มุฮัมมัด) ตามความเป็นจริง”
(อัลกะฮฺฟิ 18 : 13)
เมื่อวันเวลาล่วงผ่าน ผู้คนหันกลับไปสู่การปฏิเสธศรัทธาอีกครั้งหนึ่ง ด้วยการกระซิบกระซาบของ มารร้ายชัยฏอน และในครั้งนี้อัลลอฮฺทรงส่งนบีซอและห์ อะลัยฮิสลาม มาเป็นผู้เรียกร้องเชิญชวนให้กลับคืนสู่การให้เอกภาพ (เตาฮีด) ต่ออัลลอฮฺอีกครั้งหนึ่ง
นบีซอและห์ อะลัยฮิสลาม เป็นชาวอาหรับ มีชื่อเต็มว่า ซอและห์ บุตร อุบัยด์ บุตร อะซิฟ สืบเชื้อสายมาจากท่านชาม บุตรท่านนบีนั๊วะห์ อะลัยฮิสลาม
ท่านนบีซอและห์เป็นหนึ่งในตระกูลษะมู๊ต มีบรรพบุรุษชื่อ ษะมู๊ต บุตร อาบิร บุตร อิรอม บุตร ชาม บุตร นั๊วะห์ อะลัยฮิสลาม ษะมู๊ต นั้นเป็นชาวอาหรับ ซึ่งชนอาหรับแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มด้วยกันคือ
1. อาหรับบาอิดะฮ์ เช่น ชาวอ๊าต ชาวษะมู๊ต อาหรับกลุ่มนี้สูญพันธ์ไปหมดสิ้นแล้ว
2. อาหรับอาริบะฮ์ เช่น ชาวญุรฮุม ชาวเกาะฮ์ฎอน แยกเผ่าพันธ์ออกเป็นอาหรับเยเมนกระจายกันอยู่ในตะวันออกกลาง ตั้งแต่โมรอคโคไปจนถึงอิรัก (ชาวอันซอรในนครมะดีนะฮ์จากเผ่าเอาซ์ และคอซรอจญ์ ก็สืบเชื้อสายมาจากอาหรับอาริบะฮ์เช่นเดียวกัน)
3. อาหรับมุสตะอ์ริบะฮ์ คือ อาหรับที่สืบเชื้อสายมาจากท่านนบีอิสมาอีล อะลัยฮิสลาม
ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะฮิวะซัลลัม เป็นอาหรับมุสตะอ์ริบะฮ์ เพราะท่านสืบเชื้อสายมาจากท่าน นบีอิสมาอีล อะลัยฮิสลาม เช่นเดียวกัน ปัจจุบันอาหรับมุสตะอ์ริบะฮ์อาศัยอยู่แถบตะวันออกกลางตั้งแต่ โมรอคโคจนถึงอิรัก ชาวษะมู๊ตอาศัยอยู่ในดินแดนที่เรียกว่า “อัลฮิจร์” เป็นพื้นที่ราบในหุบเขา อยู่ระหว่างปาเลสไตน์กับนครมะดีนะฮ์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย และอ่าวอะกอบะฮ์ ประเทศจอร์แดน ซึ่งรู้จักกันในนาม “มะดาอินซอและห์” ยังเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ฟัจญุนนาเกาะฮ์ หรือแหล่งของอูฐตัวเมีย” อีกด้วย
ชื่อเมื่องนี้เป็นชื่อซูเราะฮ์หนึ่งใน อัลกุรอานอันทรงเกียรติ ซึ่งได้เล่าเรื่องราวของนบีซอและห์ และพวกษะมู๊ต อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสในซูเราะฮ์อัลฮิจร์ อายะฮ์ที่ 80 - 84 ว่า :
“และแท้จริง ชาวอัลฮิจร์ได้ปฏิเสธศรัทธาต่อร่อซูลที่ถูกส่งมา และเรา (อัลลอฮฺ) ได้ให้สัญญาณต่าง ๆ ของเราแก่พวกเขา แล้วพวกเขาก็พากันผินหลังให้กับสัญญาณเหล่านั้น และพวกเขาได้สกัดภูเขาทำเป็นที่พักอาศัยอย่างปลอดภัย แล้วเสียงกัมปนาทก็ได้คร่าชีวิตพวกเขาในยามเช้า ฉะนั้น สิ่งที่พวกเขาแสวงหากันไว้ ก็มิได้ให้ประโยชน์ใด ๆ แก่พวกเขาได้เลย”
อัลฮิจร์ที่พวกษะมู๊ตอาศัยอยู่นี้ เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองมะดีนะฮ์ อัลมุเนาวะเราะฮ์ พวกษะมู๊ตเจาะภูเขาเป็นที่อยู่อาศัย และพวกเขายังได้สืบทอดจากพวกอ๊าตในเรื่องงานประดิษฐ์และงานฝีมือต่าง ๆ อีกด้วย อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสในซูเราะฮ์อัลฟัจร์ อายะฮฺที่ 9 ว่า :
“และพวกษะมู๊ต คือ ผู้สกัดหินจากหุบเขา”
และในซูเราะฮ์อัลอังกะบู๊ต อายะฮ์ที่ 38 ว่า :
“และพวกอ๊าต และพวกษะมู๊ต ก็ได้เป็นที่ประจักษ์แก่พวกเจ้าแล้ว จากที่อยู่อาศัยของพวกเขา และชัยฏอนได้ทำให้การงานของพวกเขาเป็นที่เพริศแพร้วแก่พวกเขา แล้วมันยังได้หันเหพวกเขาออกจากหนทาง ทั้ง ๆ ที่พวกเขาเป็นผู้มีสติปัญญาพิจารณา”
ร่องรอยจากที่อยู่อาศัยของพวกเขายังคงมีให้เห็นอยู่จนถึงทุกวันนี้ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสเกี่ยวกับการขุดเจาะภูเขาเพื่อสร้างเป็นที่อยู่อาศัย และพละกำลังอันมากมายที่พระองค์ประทานให้แก่พวกเขา อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสในซูเราะฮ์อัลอะอ์ร็อฟ อายะฮ์ที่ 74 ว่า :
“และพวกท่านจงรำลึกถึงขณะที่พระองค์ได้ทรงให้พวกท่านเป็นผู้สืบช่วงต่อมาภายหลังจากพวกอ๊าต และได้ทรงให้พวกท่านตั้งหลักแหล่งอยู่ในแผ่นดินส่วนนั้น โดยยึดเอาจากที่ราบของมันเป็นวัง และสกัดภูเขาเป็นที่พักอาศัย
พวกท่านจงรำลึกถึงความกรุณาของอัลลอฮฺเถิด และจงอย่าก่อกวนด้วยการเป็นผู้บ่อนทำลายในแผ่นดินเลย”
แต่แล้วพวกษะมู๊ตก็ทำตัวไม่ต่างอะไรกับพวกอ๊าต และอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ก็ทรงเมตตากรุณาต่อพวกเขาอย่างมากมายด้วยเช่นกัน ดังที่ทรงได้เมตตาต่อพวกอ๊าต ทรงให้พวกเขามีพละกำลังมหาศาล โดยพวกเขาได้ขุดเจาะสกัดภูเขาเป็นที่อยู่อาศัย พวกเขาสร้างวังหลายแห่ง ซึ่งมีทั้งตาน้ำ สวนอินทผลัม ตลอดจนเรือกสวนต่าง ๆ พกวเขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่อุดมสมบูรณ์ ทรงให้พวกเขาเป็นผู้มีอิทธิพลในหน้าแผ่นดิน ทั้ง ๆ ที่พวกเขาตั้งภาคีต่อพระองค์ พระองค์ก็ยังทรงเมตตาให้โอกาสพวกเขาโดยไม่ทรงลงโทษในทันที เพื่อที่พวกเขาอาจจะคิดได้
แต่พวกเขากลับปฏิเสธความเมตตากรุณานี้ ดังนั้น อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา จึงทรงแต่งตั้งคนหนึ่งจากพวกเขาเอง คือ นบีซอและห์ อะลัยฮิสลาม เพื่อเรียกร้องเชิญชวนไปสู่การเตาฮีด ท่านเป็นผู้รู้ที่ชาญฉลาด เป็นที่ปรึกษาให้คำแนะนำอยู่เสมอ ท่านมาจากครอบครัวที่มีเกียรติ และพวกษะมู๊ตนั้นคาดหวังในตัวท่านเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อท่านเรียกร้องเชิญชวนพวกเขาไปสู่การศรัทธาและอิบาดะฮ์ต่ออัลลอฮฺองค์เดียว พวกเขากลับปฏิเสธ ดังปรากฏในซูเราะฮ์ฮูด อายะฮ์ที่ 61 - 62 ที่ว่า :
“และ (เราได้ส่ง) พี่น้องคนหนึ่งของพวกเขา คือ ซอและห์ไปยังพวกษะมู๊ด เขากล่าวว่า
โอ้ กลุ่มชนของฉัน พวกท่านจงเคารพอิบาดะฮ์อัลลอฮฺเถิด พวกท่านนั้น ไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากพระองค์เท่านั้น พระองค์คือผู้ทรงบังเกิดพวกท่านมาจากดิน และทรงให้พวกท่านอาศัยอยู่บนแผ่นดิน และทำการบูรณะฟื้นฟู
ดังนั้น พวกท่านจงขออภัยโทษต่อพระองค์ แล้วจงสารภาพผิดกลับเนื้อกลับตัวต่อพระองค์เถิด แท้จริง พระเจ้าของฉันนั้นทรงอยู่ใกล้ ทรงตอบรับคำวิงวอนเสมอ
พวกเขากล่าวว่า : โอ้ ซอและห์ แท้จริง ท่านนั้นเคยเป็นที่มุ่งหวังในหมู่พวกเรามาก่อน บัดนี้ท่านจะห้ามมิให้เราเคารพอิบาดะฮ์สิ่งที่บรรพบุรุษของเราเคยเคารพอิบาดะฮ์กระนั้นหรือ? และแท้จริง พวกเรามีความสงสัยอันก่อให้เกิดความคลางแคลงใจในสิ่งที่ท่านเรียกร้องเชิญชวน เราไปยังสิ่งนั้นเหลือเกิน”
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสในซูเราะฮ์อันนัมล์ อายะฮ์ที่ 45 - 46 ว่า :
“และแท้จริง เราได้ส่งพี่น้องคนหนึ่งของพวกเขา คือ ซอและห์ไปยังพวกษะมู๊ด โดยให้พวกเขาเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ แล้วพวกเขาก็ได้แบ่งออกเป็นสองฝ่าย แล้วก็โต้เถียงกัน
เขา (ซอและห์) กล่าวว่า : โอ้ หมู่ชนของฉัน ทำไมพวกท่านจึงรีบเร่งใฝ่หาความชั่วก่อนที่จะใฝ่หาความดีกันเล่า ?
ทำไมพวกท่านจึงไม่ขออภัยโทษต่ออัลลอฮฺ เพื่อพวกท่านจะได้รับความเมตตากรุณากันเล่า ?”
นบีซอและห์ เรียกร้องเชิญชวนเขา ตักเตือนพวกเขา ไม่ต่างกับที่นบีฮูตเคยทำมา แล้วพวกษะมู๊ดก็ปฏิเสธดังเช่นที่พวกอ๊าตปฏิเสธ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสในซูเราะฮ์อัลเกาะมัร อายะฮ์ที่ 23 - 26 ว่า :
“พวกษะมู๊ดได้ปฏิเสธผู้ตักเตือน (ร่อซูลของพวกเขา) ดังนั้น พวกเขาจึงกล่าวว่า : คนธรรมดา ๆ คนหนึ่งจากพวกเรานี้นะหรือที่จะให้เราปฏิบัติตามเขา ?
ถ้าเช่นนั้น แน่นอน เราย่อมอยู่ในการหลงผิด และเสียสติ ไปแล้ว สารนั้นถูกส่งมาให้แก่เขาแต่เพียงผู้เดียว ท่ามกลางพวกเราที่อยู่กันหลายคนกระนั้นหรือ ?
เปล่าเลย เขาเป็นจอมโกหกโอหังอวดดีต่างหาก พรุ่งนี้พวกเขาจะได้รู้ว่าใครเป็นจอมโอหังอวดดีกันแน่”
และในซูเราะฮ์อัลนัมล์ อายะฮ์ที่ 47 ว่า :
“พวกเขากล่าวว่า : พวกเราได้ประสบกับโชคร้ายเพราะท่าน (ซอและห์) และผู้ที่ร่วมกับท่าน
เขา (ซอและห์) กล่าวว่า : โชคร้ายของพวกท่านอยู่ที่อัลลอฮฺต่างหาก ยิ่งไปกว่านั้น พวกท่านเป็นหมู่ชนที่ถูกทดสอบ (ลงโทษ) อีกด้วย”
และในซูเราะฮ์ฮูด อายะฮ์ที่ 63 ระบุว่า :
“เขา (ซอและห์) กล่าวว่า : โอ้ กลุ่มชนของฉัน พวกท่านเห็นแล้วมิใช่หรือว่า หากฉันมีหลักฐานอันชัดแจ้งจากพระเจ้าของฉัน และพระองค์ได้ประทานความเมตตากรุณาจากพระองค์ให้แก่ฉัน
ดังนั้น ผู้ใดเล่าจะช่วยฉันให้รอดพ้นจากอัลลอฮฺได้ (หมายถึงให้พ้นจากการลงโทษของพระองค์) หากฉันฝ่าฝืนพระองค์
ดังนั้น พวกท่านจะไม่เพิ่มสิ่งใดให้แก่ฉันเลยนอกจากการขาดทุนเท่านั้น”
พวกษะมู๊ดพูดคุยกันว่า ไม่ใช่ทุกหลักฐานที่เป็นที่ประจักษ์จะถูกยอมรับ แต่พวกเขาจะเป็นผู้เลือกหลักฐานนั้นเอง โดยพวกเขากล่าวว่า : “เรามีก้อนหินใหญ่มาก ๆ ก้อนหนึ่ง เราอยากให้มันแตกออก แล้วมีอูฐออกมาจากก้อนหินนั้น”
แล้วพวกเขาก็เริ่มพรรณนาสิ่งที่พวกเขาจินตนาการกันเองอย่างเห็นเป็นเรื่องขำขัน
คนหนึ่งจากพวกเขากล่าวว่า : “มันต้องเป็นอูฐตัวเมียท้องสิบเดือน”
อีกคนเสริมว่า “แล้วก็ต้องเป็นสีแดง”
อีกคนก็บอกว่า “..ต้องมีขนดกหนาด้วย”
คนหนึ่งเพิ่มว่า “มันจะต้องเป็นอูฐตัวเมียที่ตัวใหญ่โตมโหฬารมากที่สุดเท่าที่เคยมีในชีวิตของเราเลย”
และคนหนึ่งก็เสริมขึ้นว่า “...มันต้องตัวใหญ่ถึงขั้นที่เมื่อดื่มน้ำมันต้องดื่มน้ำในบ่อวันหนึ่งแล้วเราก็ค่อยใช้น้ำจากบ่อนั้นในอีกวันหนึ่ง...”
ดังนั้น นบีซอและห์จึงตอบพวกเขาไปว่า หากพวกท่านไม่ศรัทธา ก็จงไปรวบรวมผู้คนมาแล้วพวกเขาก็รวบรวมผู้คน และวันที่นัดหมายกันไว้ก็มาถึง นบีซอและห์ได้วิงวอนขอต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทันใดนั้น แผ่นดินก็ไหว แล้วก้อนหินใหญ่ก็แตกออกต่อหน้าต่อตาพวกเขา อูฐตัวเมียตัวใหญ่โตมโหฬารที่ไม่เคยมีมาก่อนในหน้าประวัติศาสตร์ก็ปรากฏออกมาจากหินก้อนนั้น ปริมาณน้ำที่มันใช้เวลาดื่มในแต่ละครั้งนั้นเป็นวัน ซึ่งเพียงพอสำหรับคนทั้งหมู่บ้าน มันตั้งท้องและมีลักษณะตรงตามที่พวกเขาได้พรรณนาไว้ทุกประการ
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสไว้ในซูเราะฮ์ฮูด อายะฮ์ที่ 64 ว่า :
“และโอ้ กลุ่มชนของฉัน นี่คืออูฐตัวเมียของอัลลอฮฺ เป็นสัญญาณหนึ่งสำหรับพวกท่าน ดังนั้น พวกท่านจงปล่อยมันให้หากินในแผ่นดินของอัลลอฮฺ และอย่าได้แตะต้องมันด้วยการทำร้ายใด ๆ มิเช่นนั้นแล้ว การลงโทษอันรวดเร็วฉับพลันจะคร่าชีวิตของพวกท่านได้”
นี่คืออูฐของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา มันไม่ได้เกิดมาจากอูฐตัวใด อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงสร้างมันขึ้นมาโดยไม่ต้องมีพ่อแม่ แต่หลักฐานอันชัดแจ้งนี้มีเงื่อนไขอยู่ โดยพวกษะมู๊ดไม่มีสิทธิ์ใช้น้ำจากบ่อน้ำในวันที่อูฐตัวนี้ดื่มน้ำ และพวกเขาถูกห้ามไม่ให้แตะต้องหรือทำอันตรายใด ๆ ต่อมันเป็นอันขาด อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสไว้ในซูเราะฮ์อัซซุอะร็ออ์ อายะฮ์ที่ 155 - 156 ว่า :
“เขา (ซอและห์) กล่าวว่า : นี่คืออูฐตัวเมีย มันต้องได้ดื่มน้ำวันหนึ่ง และ (อูฐของ) พวกท่านได้ดื่มน้ำ วันหนึ่ง (สลับกัน) ดังเป็นที่ทราบกัน และพวกท่านอย่าได้แตะต้องมันด้วยการทำร้ายใด ๆ มิเช่นนั้น การลงโทษในวันอันยิ่งใหญ่จะคร่าชีวิตของพวกท่าน”
และในซูเราะฮ์อัลเกาะมัร อายะฮ์ที่ 27 - 28 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสว่า :
“แท้จริง เรา (อัลลอฮฺ) จะส่งอูฐตัวเมียตัวหนึ่งมา เพื่อเป็นการทดสอบพวกเขา ดังนั้น (ซอและห์) จงคอยเฝ้าดูพวกเขา และจงอดทนเถิด และจงบอกกับพวกเขาว่า น้ำนั้น ถูกแบ่งส่วนในระหว่างพวกเขา ทุก ๆ ส่วนของน้ำดื่มนั้นถูกจัดเอาไว้แล้ว”
หลักฐานอันชัดแจ้งนี้ได้ประจักษ์ชัดแก่สายตาทุกคน แต่กลับมีเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นที่ศรัทธาต่อนบี ซอและห์ ขณะที่ส่วนมากก็ยังคงหลงอยู่กับการปฏิเสธศรัทธาต่อไป อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสใน ซูเราะฮ์อัลฮิจร์ อายะฮ์ที่ 81 ที่ว่า :
“และเรา (อัลลอฮฺ) ได้ให้สัญญาณต่าง ๆ ของเราแก่พวกเขา แต่แล้วพวกเขาก็พากันผินหลังให้สัญญาณเหล่านั้น”
และในซูเราะฮ์อัลอิสรออ์ อายะฮ์ที่ 59 อัลลอฮฺตรัสว่า :
“และเรา (อัลลอฮฺ) ได้ให้อูฐตัวเมียเป็นที่ประจักษ์แจ้งแก่พวกษะมู๊ด แต่พวกเขาได้ทำร้ายมัน และเรามิได้ส่งสัญญาณต่าง ๆ มาเพื่ออื่นใด นอกจากเพื่อเป็นการเตือนสำทับเท่านั้น”
อูฐตัวเมียนี้อาศัยอยู่ร่วมกับผู้คน โดยที่พวกเขาก็เห็นอยู่กับตาว่ามันเดินอยู่ท่ามกลางพวกเขา และมันก็อยู่กับพวกเขาเป็นระยะเวลาหนึ่งจนกระทั่งออกลูกซึ่งก็เหมือนกับมันทุกประการ ดังกล่าวนี้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า นี่ไม่ใช่ไสยศาสตร์ และถึงแม้ว่าพวกเขาไม่สามารถใช้น้ำจากบ่อในวันที่มันดื่มน้ำได้ แต่พวกเขาก็สามารถรีดนมจากมันได้ ซึ่งปริมาณน้ำนมในแต่ละครั้งที่พวกเขารีดนั้น เพียงพอต่อคนทั้งหมู่บ้าน
และนี่นับเป็นความเมตตากรุณาจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ต่อพวกษะมู๊ด หากพวกเขาไม่ปฏิเสธศรัทธาแต่ทว่าพวกเขากลับปฏิเสธศรัทธา บรรดาหัวหน้าของพวกเขาได้รวมตัวและปรึกษาหารือกัน
โดยพวกเขากล่าวว่า : “หากปล่อยเรื่องนี้ไว้อย่างนี้ ผู้คนจะต้องหันไปเชื่อฟังซอและห์เป็นแน่แท้ และอูฐตัวนี้ก็เป็นตัวสร้างความเดือดร้อนให้แก่เรา โดยที่เราถูกห้ามไม่ให้ใช้น้ำ ต้องมารอมันดื่มน้ำถึงหนึ่งวันเต็ม แล้วอีกอย่างคือตัวมันก็ใหญ่เกะกะ ดังนั้น เราต้องกำจัดมันเสีย”
พวกเขาตกลงกันเลือกชายคนหนึ่งทำหน้าที่ฆ่าอูฐ บรรดานักประวัติศาสตาร์เห็นพ้องกันว่าชายคนนั้นคือ กุต๊าร อิบนิ ชาลิฟ อิบน ญุนดะอ์
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสในซูเราะฮ์อัซซัมซ์ อายะฮ์ที่ 12 ว่า :
“เมื่อคนเลวทรามที่สุดพวกเขาได้รับรุดไป (ฆ่าอูฐตัวเมียนั้น)”
ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวถึงกุต๊าร บุตร ชาลิฟ ว่า : “เขาคือคนที่เลวทรามที่สุดในคนยุคแรก...”
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสในซูเราะฮ์ อัลเกาะมัร อายะฮ์ที่ 29 - 30 ว่า :
“พวกเขาได้ร้องเรียกเพื่อนของพวกเขา เขาได้จับมันฆ่า (ด้วยดาบอย่างทารุณ) ดังนั้น การลงโทษของเรา (อัลลอฮฺ) และการตักเตือนของเรานั้นเป็นเช่นใดบ้าง?”
กุด๊ารนั่งอยู่กับพรรคพวกของเขาในวงเหล้า ซึ่งทั้งหมดมีเก้าคน พวกเขาหารือกันเรื่องการฆ่าอูฐ และในที่สุดก็ได้ข้อตกลงกันว่า พวกเขาจะช่วยกุด๊าร และรวบรวมผู้คนมามีส่วนร่วมด้วย และทุกคนก็มีส่วนร่วมในเรื่องนี้ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสในซูเราะฮ์อัลนัมล์ อายะฮ์ที่ 48 ว่า :
“และในเมืองนั้น (อัลฮิจร์) มีเก้าคนที่เป็นผู้บ่อนทำลายในแผ่นดิน และพวกเขามิได้เป็นผู้ที่ฟื้นฟูแก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นมาเลย”
และในทันทีที่พวกเขาทั้งเก้าตรงไปยังที่ที่อูฐตัวเมีย และจับตามองมัน ขณะมันจะลงจากภูเขาเพื่อมาดื่มน้ำและกลับขึ้นไปใหม่เป็นแบบนี้อยู่เป็นประจำ... พวกเขาก็รอคอย และเมื่อได้เวลากุด๊ารก็สั่งพรรคพวกเขาให้บุกเข้าโจมตีอูฐตัวเมียนั้น ขณะที่พวกนั้นเข้าประชิดอูฐ พวกเขาก็เกิดความหวาดกลัวจึงหนีไป กุด๊ารหัวเราะกับเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างไม่เกรงกลัว เขาพุ่งตรงไปยังอูฐและใช้ดาบฟันเข้าที่ขาของมัน จนขาของมันหักแล้วฆ่าอูฐในที่สุด อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสในซูเราะฮ์ อัซซัมซ์ อายะฮ์ที่ 14 - 15 ว่า :
“แต่แล้วพวกเขา (ษะมู๊ด) ไม่เชื่อเขา (ซอและห์) แล้วพวกเขาก็ได้ฆ่ามัน ดังนั้น พระเจ้าของพวกเขาจึงได้ทำลายล้างพวกเขาเนื่องจากเพราะความผิดของพวกเขา แล้วพระองค์ก็ทรงลงโทษพวกเขาอย่างถ้วนหน้ากัน และพระองค์มิทรงหวาดหวั่นต่อบั้นปลายของพวกมัน”
และในซูเราะฮ์อัลอะอ์ร็อฟ อายะฮ์ที่ 77 ว่า :
“และพวกเขาก็ได้ฆ่าอูฐตัวเมียนั้น และได้ละเมิดคำสั่งพระเจ้าของพวกเขา และได้กล่าวว่า :
โอ้ ซอและฮ์ จงนำสิ่งที่ท่านได้สัญญาแก่พวกเขาไว้มาให้แก่พวกเราเถิด (หมายถึงการลงโทษอันเจ็บปวด) หากท่านอยู่ในหมู่ที่ถูกส่งมาเป็นร่อซูล”
กุด๊ารเข้าทำร้ายอูฐอย่างไร้ความปราณี มันร้องครวญครางเสียงดังสามครั้ง แล้วพวกเขาก็ฆ่ามัน หลังจากนั้น ชาวบ้านก็พากันมาตัดแบ่งเอาเนื้อของมันไปกิน ดังนั้น ทุก ๆ คนจึงมีส่วนร่วมในอาชญากรรมนี้อย่างถ้วนหน้า นอกจากบรรดามุมินผู้ศรัทธาที่ปฏิเสธและรับไม่ได้อย่างยิ่งกับการกระทำดังกล่าว
จากนั้น พวกษะมู๊ดก็ได้ท้าทายนบีซอและห์ เมื่อท่านรู้ข่าว ท่านก็รีบรุดไปที่อูฐ เมื่อท่านได้พบว่ามันถูกเชือด และส่วนต่าง ๆ ของมันกำลังถูกแจกจ่ายให้กับผู้คนที่มารวมตัวกัน และพวกเขาก็กินมัน ท่านจึงร้องเรียกพวกเขา โดยอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสไว้ในซูเราะฮ์ฮูด อายะฮ์ที่ 65 ว่า :
“แล้วเมื่อพวกเขาได้ฆ่ามัน ดังนั้น เขา (ซอและห์) จึงกล่าวว่า : พวกท่านจงสนุกสนานให้เปรมปรีในบ้านของพวกท่านกันสามวัน นั่นคือ สัญญาที่ไม่มีการโกหก”
ผู้คนต่างก็มารวมตัวกัน และพูดคุยกันแต่เรื่องที่นบีซอและห์ได้ประกาศไว้ว่า ให้รออีกสามวัน และในที่สุดพวกเขาก็ตกลงกันว่า “เราจะต้องฆ่าซอและห์ไปพร้อมกับเจ้าอูฐนี้เสีย” แล้วพวกเขาก็รวมหัวกันวางแผนร้ายเพื่อจะฆ่านบีซอและห์
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสในซูเราะฮ์อันนัมล์ อายะฮ์ที่ 49 ว่า :
“พวกเขากล่าวว่า : จงมาร่วมกันสาบานด้วยพระนามของอัลลอฮฺว่า แน่นอน พวกเราเตรียมที่จะทำร้ายเขา (ซอและห์) และครอบครัวของเขาในเวลากลางคืน แล้วเราก็จะกล่าวแก่ทายาท (วะลีย์) ของเขาว่า เราไม่รู้ ไม่เห็นความพินาศของครอบครัวของเขา และแท้จริง เรานั้นเป็นผู้ที่พูดจริง”
และในทันที พวกเขาทั้งเก้าคนที่เคยร่วมกันฆ่าอูฐตัวเมียก็เตรียมพร้อมที่จะฆ่านบีซอและห์ พวกเขาก็ตรงไปยังบ้านของท่านเพื่อหวังจะพังมันพร้อมกับฆ่าท่านและคนที่อยู่กับท่าน อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสในซูเราะฮ์อันนัมล์ อายะฮ์ที่ 50 - 51 ว่า :
“และพวกเขาได้วางแผน และเรา (อัลลอฮฺ) ก็ได้วางแผนโดยที่พวกเขาไม่ทันใดรู้สึกตัว ดังนั้น จงคอยดูเถิดว่า ผลสุดท้ายแห่งแผนการของพวกเขานั้นจะเป็นเช่นใด ?
กล่าวคือ เรา (อัลลอฮฺ) ได้ทำลายล้างพวกเขา และกลุ่มชนของพวกเขาทั้งหมดทุกคน”
กลุ่มแรกที่อัลลอฮฺทรงทำลายล้างก็คือ กลุ่มของกุด๊ารและพวกพ้องของเขาทั้งเก้าคน โดยที่ทรงให้เกิดแผ่นดินไหว และทรงให้มีก้อนหินตกลงมาคร่าชีวิตพวกเขา หลังจากนั้น การลงโทษจากอัลลอฮฺก็ได้เริ่มต้นขึ้นโดยในคืนเดียวกันนั้นเองนบีซอและห์และบรรดาผู้ศรัทธาที่อยู่กับท่านได้อพยพออกไปจากเมืองอัลฮิจร์
ในเช้าวันต่อมา คือวันที่หนึ่งจากสามวันที่นบีซอและห์ได้เตือนไว้ เมื่อพวกษะมู๊ดได้ตื่นขึ้น พวกเขาก็ต้องพบกับเรื่องน่าประหลาด ทุกคนในหมู่บ้านมีใบหน้าเป็นสีเหลืองกันหมด พวกเขาเริ่มร้องไห้กับสิ่งที่พบเจอ และนี่คือสัญญาณแรกก่อนที่การลงโทษจะมาถึงในวันที่สองใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง และในวันที่สามซึ่งเป็นวันสุดท้าย ใบหน้าของพวกเขาทุกคนเปลี่ยนเป็นสีดำ พวกเขาร้องให้กันระงม และตีโพยตีพายกับ สิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาเริ่มขุดหลุมศพของตัวเอง มันจบแล้ว
พวกเขาเพิ่งจะรู้ตัวว่านี่คือความจริงที่หนีไม่พ้น และแล้วการลงโทษก็มาถึง มันไม่ใช่การลงโทษด้วยเพียงสิ่งเดียวจบ ดังที่เกิดขึ้นกับพวกอ๊าตโดยลงพายุอันหนาวเหน็บ หรือโดยน้ำท่วมอย่างกับกลุ่มชนของนบีนั๊วะห์ แต่มันคือการลงโทษที่หลากหลาย ทั้งนี้ก็เนื่องจากว่า พวกเขาได้ร้องให้มีหลักฐานอันชัดแจ้งมายังพวกเขา มิหนำซ้ำยังเป็นหลักฐานที่พวกเขาเป็นผู้ตั้งเงื่อนไขต่าง ๆ เองเสียด้วย แต่เมื่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงให้หลักฐานประจักษ์ชัดอยู่ตรงหน้าแล้ว พวกเขากลับปฏิเสธ
ดังนั้น สิ่งแรกจากความหายนะที่พวกเขาต้องพบเจอ ก็คือ การเกิดแผ่นดินไหว โดยแผ่นดินได้แตกออกและสั่นไหวอย่างรุนแรง ทำให้พวกษะมู๊ดไม่สามารถยืนอยู่ได้ จนต้องล้มลงไปกองอยู่กับพื้น แล้วหลังจากนั้นอัลลอฮฺทรงให้ฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมาบนพวกเขา และปิดท้ายด้วยเสียงกัมปนาทที่สร้างความพินาศให้กับพวกเขา อย่างถ้วนหน้า
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสไว้ในซูเราะฮ์อัลอะอ์ร็อฟ อายะฮ์ที่ 91 ว่า :
“และเสียงกัมปนาท (คือเสียงฟ้าผ่าและเสียงแผ่นดินไหว ก็ได้คร่าชีวิตพวกเขา) ดังนั้น พวกเขาจึงกลายเป็นผู้นอนพังพาบตายในบ้านของพวกเขา (ในสภาพที่คว่ำหน้าลงกับพื้น)”
และตรัสในซูเราะฮ์อัซซาริยาต อายะฮ์ที่ 43 - 45 ว่า :
“และจงรำลึกถึงเรื่องของพวกษะมู๊ด เมื่อมีผู้กล่าวแก่พวกเขาว่า พวกท่านจงสนุกร่าเริงกันไปชั่วขณะหนึ่งเถิด แต่แล้วพวกเขาได้ท้าทายด้วยความยโสโอหังต่อพระบัญชา (การลงโทษ) แห่งพระเจ้าของพวกเขา
ดังนั้น เสียงกัมปนาทก็ได้คร่าชีวิตพวกเขาขณะที่พวกเขาจ้องมองดูกันอยู่ แล้วพวกเขาก็ไม่สามารถจะลุกขึ้นยืนได้ และพวกเขาก็ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เลย”
และอัลลอฮฺตรัสไว้ในซูเราะฮ์ฮูด อายะฮ์ที่ 67 - 68 ว่า :
“และเสียงกัมปนาทได้คร่าชีวิตบรรดาผู้อธรรม แล้วพวกเขาได้กลายเป็นผู้นอนพังพาบตายในบ้านของพวกเขาเอง ประหนึ่งว่า พวกเขามิได้เคยมีชีวิตอยู่ใน (เมือง) นั้นมาก่อน
พึงทราบเถิดว่า แท้จริง พวกษะมู๊ดนั้นปฏิเสธศรัทธาต่อพระเจ้าของพวกเขา พึงทราบเถิดว่า ความเมตตากรุณาของอัลลอฮฺนั้นห่างไกลจากพวกษะมู๊ด”
และในซูเราะฮ์อัลเกาะมัร อายะฮ์ที่ 13 ว่า :
“แท้จริง เราได้ส่งเสียงกัมปนาทเพียงครั้งเดียวมายังพวกเขา แล้วพวกเขาก็กลายเป็นเช่นเศษไม้แห้ง”
และนี่คือจุดจบของษะมู๊ด อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงทำลายล้างพวกเขาทั้งหมด ยกเว้น นบีซอและห์และบรรดาผู้ศรัทธา
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสในซูเราะฮ์ฮู๊ด อายะฮ์ที่ 66 ว่า :
“ครั้นเมื่อพระบัญชา (การลงโทษ) ของเรามาถึง เราได้ช่วยซอและห์และบรรดาผู้ศรัทธาพร้อมกันเขาให้รอดพ้น ด้วยความเมตตากรุณาจากเรา และให้รอดพ้นจากความอัปยศในวันนั้น แท้จริง พระเจ้าของเจ้า (มุฮัมมัด) นั้นเป็นผู้ทรงพลัง เป็นผู้ทรงเดชานุภาพ”
มีผู้ที่รอดพ้นจากการลงโทษครั้งนั้นเพียง 120 คน ซึ่งเป็นผู้ศรัทธาต่อท่านนบีซอและห์ อะลัยฮิสสลาม ส่วนที่ผู้ฝ่าฝืนที่พินาศสาบสูญไปจนหมดสิ้นนั้นมีจำนวนถึง 5,000 ครอบครัว
และร่องรอยของพวกษะมู๊ดยังคงหลงเหลืออยู่จนถึงทุกวันนี้ ใครที่ผ่านไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของมะดีนะฮ์ จะสามารถเห็นบ้านช่องหรือที่พักอาศัยของษะมู๊ดได้ ที่มะดาอินซอและห์ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสในซูเราะฮ์อันนัมล์ อายะฮ์ที่ 52 ว่า :
“ดังนั้น นั่นคือบ้านช่องของพวกเขาก็ว่างเปล่า ทั้งนี้ เพราะพวกเขาก่ออธรรม แท้จริงในการนี้ย่อมเป็นสัญญาณหนึ่งอย่างแน่นอน สำหรับกลุ่มชนที่รู้ ที่เข้าใจ”
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงให้บ้านเรือนของพวกเขายังคงอยู่เพื่อที่ผู้คนจะได้เห็นกัน และหมดความสงสัยต่อความจริงนี้
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ตรัสในซูเราะฮ์อัลอะอ์ร็อฟ อายะฮ์ที่ 79 ว่า :
“แล้วเขา (ซอและห์) ก็หันออกไปจากพวกนั้น และกล่าวว่า : โอ้ ประชาชาติของฉัน แท้จริงฉันได้ประกาศสาส์นแห่งพระเจ้าของฉันแก่พวกท่านแล้ว และฉันก็ได้ชี้แจงแนะนำแก่พวกท่านแล้วด้วย แต่ทว่าพวกท่านไม่ชอบบรรดาผู้ที่ตักเตือนชี้แจงแนะนำ”
ท่านนบีซอและห์ อะลัยฮิสลาม และบรรดาผู้ศรัทธาได้อพยพไปยังปาเลสไตน์ แล้วอาศัยอยู่ที่เมือง อัลรอมละห์ และท่านก็สิ้นชีวิตที่นั่น
ในระหว่างทางที่ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ออกไปทำสงครามที่ตะบู๊ก ท่านได้ผ่านมะดาอินซอและห์ ซอฮาบะฮ์บางท่านได้นำน้ำจากบ่อต่าง ๆ ของที่นี่ซึ่งชาวษะมู๊ดเคยใช้มานวดแป้ง และตั้งเตาเพื่อปรุงอาหาร ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้สั่งให้เทน้ำในหม้อทิ้ง และให้ทิ้งอาหารทุกอย่างที่ทำจากน้ำนี้ และสั่งให้ทุบทำลายภาชนะที่ใช้ตักน้ำดังกล่าวด้วย
ในฮะดิษซอฮี้ฮ์รายงานโดย ท่านอับดุลลอฮฺ อิบนิ อุมัร ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุ ซึ่งบันทึกโดย อิมามอะหมัด ว่า ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม กล่าวว่า :
“พวกท่านอย่าได้เข้าไปยังกลุ่มชนที่ถูกลงโทษนี้ นอกจากในสภาพของผู้ที่ร้องไห้ หากพวกท่านไม่ได้อยู่ในสภาพที่ร้องไห้ ก็จงอย่าเข้าไปหาพวกเขา เพื่อพวกเจ้าจะได้ไม่ประสบกับสิ่งที่พวกเขาเคยประสบ”
ฉะนั้น ใครก็ตามที่ได้ผ่านไปที่มะดาอินซอและห์ ก็ให้สำรวมตนและรำลึกถึงเดชานุภาพของอัลลอฮฺและพลังอำนาจอันเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของพระองค์ต่อกลุ่มชนผู้ฝ่าฝืนเหล่านั้นเถิด
ที่มา : วารสารสายสัมพันธ์ มีนาคม - เมษายน 2560