กลุ่มชนนบีลู้ฏ อลัยฮิสสลาม (สำหรับเยาวชน)
อุมมุอั๊ฟว์ เรียบเรียง
ท่านนบีลู้ฏ อลัยฮิสสลาม เป็นนบีผู้เชิญชวนชาวเมือง "สะดูม" สู่การให้เอกภาพต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ท่านเรียกร้องเชิญชวนให้กลุ่มชนของท่านเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ เชื่อฟังคำสั่งของพระองค์ เช่นเดียวกับนบีท่านอื่นๆ ที่มาก่อนหน้าท่าน
แต่กลุ่มชนของท่านกลับปฏิเสธดื้อดึง ไม่สำนึกในบุญคุณของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ที่ทรงให้พวกเขาอาศัยอยู่ในพื้นที่ๆ มีความอุดมสมบูรณ์ มีเรือกสวนไร่นา พืชพันธุ์ธัญญาหารมากมาย พวกเขากลับใช้ชีวิตอยู่ด้วยการหลอกลวงหักหลังพวกพ้อง ดักปล้นสะดมคนเดินทาง ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายฟุ่มเฟือย และเฉยเมยในการตักเตือนซึ่งกันและกัน ไม่กำชับกันให้ทำดี ไม่ห้ามปรามกันในสิ่งที่ผิด มิหนำซ้ำยังเห็นดีเห็นงามกับการทำอนาจารอย่างโจ่งแจ้ง อันเป็นพฤติกรรรมที่ไม่เคยมีปรากฏในประชาชาติใดก่อนหน้าพวกเขามาก่อนเลย
ผู้ชายในหมู่พวกเขาไม่สนใจในสตรีเพศ แต่กลับไปรักใคร่ชอบพอผู้ชายด้วยกันเอง และทำสิ่งที่ฝ่าฝืนกฏเกณฑ์ที่อัลลอฮฺได้ทรงสร้างขึ้น นับเป็นสิ่งสกปรกโสมม และเป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจที่สุดที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินนี้ !
ท่านนบีลู้ฏ ยังคงอดทนเชิญชวนพวกเขาสู่สัจธรรมต่อไป ไม่มีใครเลยสักคนเดียวที่ตอบรับคำเชิญชวนของท่าน นับวันพวกเขายิ่งมีพฤติกรรมที่ชั่วช้ามากยิ่งขึ้น แถมยังข่มขู่ สั่งห้ามท่านนบีไม่ให้ต้อนรับแขกผู้ชายต่างเมือง แต่พวกเขาขันอาสาที่จะต้อนรับเองทั้งหมดเพื่อหวังกระทำมิดีมิร้าย อีกทั้งยังเย้ยหยันท่านนบีต่างๆ นานา กระทั่งพวกเขาพากันขับไล่ไสส่งท่านให้ออกไปจากหมู่บ้าน โดยพูดจาเสียดสีท่านว่า
"พวกเจ้าจงเอาครอบครัวของลู้ฏออกไปจากหมู่บ้านของพวกเจ้าเสียเถอะ
แท้จริง พวกเขาเป็นมนุษย์ผู้สะอาดบริสุทธิ์เสียจริง !"
( อัลนัมล์ :56)
ซ้ำร้ายพวกเขายังท้าทาย อยากเห็นการลงโทษจากพระเจ้าของนบีลู้ฏ หากท่านเป็นนบีของอัลลอฮฺจริงๆ
ท่านนบีลู้ฏ จึงขอดุอาอฺต่ออัลลอฮฺ ว่า :
رَبِّ انْصُرْنِي عَلَى الْقَوْمِ الْمُفْسِدِينَ”..
“โอ้ อัลลอฮฺ ขอพระองค์โปรดทรงช่วยเหลือข้าพระองค์ ให้ได้รับชัยชนะเหนือบรรดาผู้ก่อความเสื่อมเสียทั้งหลายด้วยเถิด”
(อัลอังกะบูต : 30)
แผนการณ์และการช่วยเหลือจากอัลลอฮฺ
อัลลอฮฺ ตะอาลา จึงทรงตอบรับคำวิงวอนของท่าน ด้วยการส่งมลาอิกะฮฺ 3 ท่านมาเป็นอาคันตุกะผู้ทรงเกียรติ ทั้งสามท่านนั้นได้แก่ ท่านญิบรีล ท่านมีกาอีล และ ท่านอิสรอฟีล อลัยฮิมุสสลาม ทั้งสามเดินทางไปจนถึงแม่น้ำสะดูม ที่นั่นพวกเขาพบกับลูกสาวของท่านนบีลู้ฏกำลังตักน้ำจากแม่น้ำ
มลาอิกะฮฺที่จำแลงร่างมาเป็นชายหนุ่มรูปงามจึงถามลูกสาวท่านนบีว่า :"แม่หนู ที่นี่มีบ้านพักบ้างไหม?"
"มีค่ะ แต่ได้โปรดรออยู่ตรงนี้ก่อนจนกว่าฉันจะกลับมา" เพราะนางรู้ดีว่า เมื่อใดที่แขกเดินเข้าไปในเมือง พวกเขาจะไม่ได้รับความปลอดภัยอย่างแน่นอน
นางจึงรีบกลับไปบอกให้ท่านนบีลู้ฏผู้เป็นพ่อทราบ ท่านนบีออกมาต้อนรับพวกเขา และพยายามพูดจาบ่ายเบี่ยงให้พวกเขา เดินทางไปพักที่เมืองอื่น
โดยบอกพวกเขาว่า : "ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ฉันไม่เคยรู้เคยเห็นเลยว่า จะมีแผ่นดินใด จะมีชาวเมืองที่สกปรกโสมมเหมือนชาวเมืองนี้อีกแล้ว"
แต่พวกเขาก็ยังคงมีท่าทีเช่นเดิม จนพวกเขาได้รับคำยืนยันจากท่านนบีถึงพฤติกรรมที่ชั่วช้าของชาวเมืองนี้ ถึงสี่ครั้งสี่คราด้วยกัน ซึ่งมลาอิกะฮฺได้รับบัญชาว่า อย่าเพิ่งรีบด่วนจัดการกับชาวเมือง จนกว่าจะได้รับคำยืนยันจากนบีของชาวเมืองนี้เสียก่อน
ไม่มีใครรู้ข่าวการมาเยือนของชายแปลกหน้า นอกจากครอบครัวของท่านนบีลู้ฏเท่านั้น แต่ภรรยาของท่านกลับแอบนำข่าวไปบอกกับกลุ่มชนของนาง
นางบอกกับพวกเขาว่า ไม่เคยเห็นใครหน้าตาหล่อเหลาเหมือนพวกเขามาก่อนเลย!
ทันทีที่ชาวเมืองรู้ข่าว ต่างพากันกรูไปที่บ้านของท่านนบีลู้ฏอย่างหื่นกระหาย ราวกับคนเสียสติ ทั้งตะโกนโหวกเหวก ทุบเคาะและดึงทึ้งประตูบ้าน ทำทุกวิธีที่จะเข้าไปในบ้านให้ได้
ท่านนบีบอกกับพวกเขาว่า ท่านมีลูกสาว พวกเธอบริสุทธ์สำหรับพวกเขา อย่าทำให้ท่านขายหน้าอับอายแขกเลย
แต่พวกเขากลับตอบท่านว่า ท่านนบีย่อมรู้เจตนาของพวกเขาดี คือต้องการแต่ผู้ชายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ท่านนบีจึงบอกว่า ท่านอยากมีพลกำลังหรือพวกพ้องที่สามารถจัดการกับพฤติกรรมที่ไร้ยางอายของชาวเมืองและปกป้องแขกของท่านได้
ทันใดนั้นเอง มลาอิกะฮฺจึงได้บอกความจริงแก่ท่านว่า พวกเราคือมลาอิกะฮฺที่ถูกส่งมาเพื่อนำการลงโทษจากอัลลอฮฺมายังกลุ่มชนของท่าน ท่านอย่าได้วิตกกังวลเลยว่า จะเกิดอันตรายใดๆ กับเรา
เมื่อประตูถูกเปิดออก ท่านญิบริ้ลได้ใช้ปีกของท่านฟาดไปที่ใบหน้าของกลุ่มชนเหล่านั้น จนทำให้นัยน์ตาของพวกเขาบอดสนิท บางรายงานระบุว่า ลูกตากระเด็นหลุดออกจากเบ้าไม่เหลือร่องรอยของดวงตาอยู่อีกเลย พวกเขาต่างวิ่งหนีออกจากบ้านอย่างหวาดผวาในสภาพที่เหยียบกันเองอย่างทุลักทุเล
พร้อมส่งเสียงตะโกน “ช่วยด้วย ช่วยด้วย ในบ้านของลู้ฏมีพ่อมดร้ายกาจที่สุดในแผ่นดิน !”
และยังขู่ท่านนบีด้วยความโกรธแค้นว่า "ให้พรุ่งนี้ก่อนเถอะ แล้วเจ้าจะเจอดีแน่ !"
บทลงโทษของความผิดอันน่าบัดสี
มลาอิกะฮฺสั่งกับท่านนบีลู้ฏให้รีบนำครอบครัวเดินทางออกจากเมือง ในช่วงท้ายของเวลากลางคืน และกำชับว่าห้ามหันหลังกลับมามองเป็นอันขาด ท่านนบีพร้อมภรรยาและลูกสาวทั้งสองคน เดินทางออกจากเมืองตามคำสั่งของมลาอิกะฮฺ แต่ทันทีที่แสงอาทิตย์ปรากฏ กำหนดการณ์ของอัลลอฮฺก็มาถึง
อัลลอฮฺ ตะอาลา มีบัญชาให้ท่านญิบรีลใช้ปลายปลีกของท่าน สอดยกแผ่นดินที่มีบ้านเรือนที่อยู่อาศัยของชาวเมืองสะดูม ซึ่งมีพลเรือนอาศัยอยู่ประมาณ 40,000 คน ตลอดจนสัตว์นานาชนิดของพวกเขาขึ้นสูงเสียดฟ้า เสียงตะโกนกรีดร้องโหยหวนด้วยความหวาดหวั่นพรั่นสะพรึงดังก้องไปทั่วทุกสารทิศ กระทั่งมลาอิกะฮฺที่อยู่บนฟ้า ได้ยินเสียงไก่ขันและเสียงสุนัขเห่าหอนด้วยความตกใจกลัว
ท่านญิบรีลได้พลิกแผ่นดินคว่ำลงมา กลับจากด้านบนเป็นด้านล่าง กลับด้านล่างขึ้นเป็นด้านบน จากสิ่งที่เคยอยู่เหนือปฐพี กลับจมลึกอยู่ใต้ธรณีในชั่วพริบตา
จังหวะเดียวกันนั้นเอง อัลลอฮฺ ตะอาลา ได้ให้มีเสียงกัมปนาทดังกึกก้อง พร้อมกับทรงส่งห่าฝนหินจากไฟนรกกระหน่ำใส่พวกเขาทันทีที่ร่วงหล่นลงมาอีกระลอก คนแรกที่หล่นลงมาคือหัวโจกของพวกเขานั่นเอง
หินแต่ละก้อนถูกตราชื่อของชาวเมืองแต่ละคนไว้อย่างครบถ้วน โดยจะไม่ตกมาใส่ ผิดชื่อผิดคนเป็นอันขาด กระทั่งชาวเมืองสะดูมที่อยู่ต่างเมืองก็ถูกห่าฝนหินจากไฟนรกเล่นงานด้วยเช่นเดียวกัน
เมื่อนาง "วาลิฮะฮฺ" ภรรยาของท่านนบีลู้ฏได้ยินเสียงกรีดร้องและเสียงอึกทึกครึกโครมดังขึ้น นางจึงหันหลังกลับไปมอง ทันใดนั้นเอง หินก็ตกลงมาคร่าชีวิตนางในทันที อันเป็นผลจากการที่นางปฎิเสธศรัทธา ทรยศสามี ไม่เชื่อฟังสามี ไม่เชื่อฟังอัลลอฮฺ แต่กลับคอยเป็นหูเป็นตาส่งข่าวให้กับกลุ่มชนของเธอ แม้นางจะไม่ได้มีพฤติกรรมเหมือนพวกเขา แต่นางกลับเห็นดีเห็นงาม พึงพอใจและไม่คัดค้านการกระทำอันน่าบัดสีเหล่านั้น นางจึงมีจุดจบเช่นเดียวกับกลุ่มชนของนาง ถึงแม้ว่านางจะเป็นภรรยาของท่านนบีก็ตาม
แผ่นดินต้องคำสาป.. ร่อยรอยของความต่ำช้า
แผ่นดินของชาวเมืองสะดูม (Sodom) อยู่ ณ บริเวณที่เป็นทะเลสาป Dead Sea ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างประเทศจอร์แดนกับปาเลสไตน์ ในปัจจุบัน หลังจากที่อัลลอฮฺทรงพลิกคว่ำพื้นที่แห่งนั้น ทะเลก็ส่งกลิ่นเหม็นเน่า และไม่สามารถใช้ประโยชน์อะไรจากทะเลและพื้นดินบริเวณโดยรอบได้อีกตลอดไป อันเนื่องจากความสกปรกโสมม น่ารังเกียจจากพฤติกรรมของผู้ที่เคยอาศัยอยู่บนแผ่นดินนั้น
เรื่องราวของชาวเมืองสะดูมปรากฏอยู่ในอัลกุรอานมากมายหลายที่ด้วยกัน
เช่นในซูเราะฮฺ ฮู้ด 69-83 , ซูเราะฮฺ อัลฮิจญฺร์ 51-77,
ซูเราะฮฺ อัชชุอะรออฺ 160-175, ซูเราะฮฺ อัลนัมล์ 54-58,
ซูเราะฮฺ อัศศ้อฟฟ้าต133-138, ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต 31-37 และซูเราะฮฺ อัลก่อมัร 33-40
ทั้งนี้เพื่อให้มนุษย์ได้ใคร่ครวญเป็นบทเรียน และตระหนักถึงการลงโทษอันหนักหน่วงที่พวกเขาเคยได้รับ
“และเราได้ทิ้งในมัน(หมู่บ้านของท่านนบีลู้ฏ)ให้เป็นสัญญาณหนึ่ง แก่บรรดาผู้หวาดกลัวต่อการลงโทษอันเจ็บแสบ”
(อัซซาริยาต : 35)
ภาพในอดีตไม่ได้ห่างไกลเกินไปที่เราจะเทียบเคียงกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน ทะเลสาบแห่งความตายเป็นสัญญาณเตือนให้รำลึกถึงบทลงโทษจากการไม่ดำรงตนบนคุณธรรมและศีลธรรมอันดีงาม ไม่เชื่อฟังบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า ละเมิดขอบเขตของพระองค์ และผินหลังให้กับคำตักเตือนของนบีของพระองค์
ดังนั้นใครก็ตามที่เลียนแบบพฤติกรรมของชนกลุ่มนี้เขาก็คือพวกเดียวกัน ถึงแม้จะไม่ได้ละม้ายคล้ายกันในทุกแง่มุมก็ตาม และใครก็ตามที่เห็นดีเห็นงาม ชื่นชอบ ชื่นชมคนพวกนี้ เขาก็ไม่ต่างอะไรกับภรรยานบีลู้ฏเลย
แม้ต้นแบบแห่งความบัดสีจะกลายเป็นซากศพใต้ปฐพีมาหลายร้อยศตวรรษ แต่มรดกแห่งพฤติกรรมอันต่ำทรามและสกปรกโสมม จะยังคงอยู่คู่มนุษยชาติตลอดไปทุกยุคทุกสมัย แม้กระทั่งในปัจจุบัน !
กวีอาหรับกล่าวไว้ว่า
“แม้ไม่ใช่เฉกเช่น กลุ่มชนลู้ฏ ... แต่ชาวเมืองลู้ฏ กับเราท่านทั้งหลายแล้ว ไม่ห่างไกลกันนักเลย”
อ้างอิง : กิศ่อศุล อัมบิยาอฺ โดย อิมาม อิบนิกะษีร (ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮฺ) 146-165