กลุ่มชนนบีลู้ฏ (สำหรับเยาวชน) 
  จำนวนคนเข้าชม  13488

กลุ่มชนนบีลู้ฏ อลัยฮิสสลาม (สำหรับเยาวชน) 

 

อุมมุอั๊ฟว์  เรียบเรียง

 

     ท่านนบีลู้ฏ อลัยฮิสสลาม เป็นนบีผู้เชิญชวนชาวเมือง "สะดูม" สู่การให้เอกภาพต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ท่านเรียกร้องเชิญชวนให้กลุ่มชนของท่านเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺ  เชื่อฟังคำสั่งของพระองค์ เช่นเดียวกับนบีท่านอื่นๆ ที่มาก่อนหน้าท่าน 

 

     แต่กลุ่มชนของท่านกลับปฏิเสธดื้อดึง ไม่สำนึกในบุญคุณของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ที่ทรงให้พวกเขาอาศัยอยู่ในพื้นที่ๆ มีความอุดมสมบูรณ์  มีเรือกสวนไร่นา พืชพันธุ์ธัญญาหารมากมาย พวกเขากลับใช้ชีวิตอยู่ด้วยการหลอกลวงหักหลังพวกพ้อง ดักปล้นสะดมคนเดินทาง ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายฟุ่มเฟือย และเฉยเมยในการตักเตือนซึ่งกันและกัน ไม่กำชับกันให้ทำดี ไม่ห้ามปรามกันในสิ่งที่ผิด มิหนำซ้ำยังเห็นดีเห็นงามกับการทำอนาจารอย่างโจ่งแจ้ง อันเป็นพฤติกรรรมที่ไม่เคยมีปรากฏในประชาชาติใดก่อนหน้าพวกเขามาก่อนเลย

 

     ผู้ชายในหมู่พวกเขาไม่สนใจในสตรีเพศ แต่กลับไปรักใคร่ชอบพอผู้ชายด้วยกันเอง และทำสิ่งที่ฝ่าฝืนกฏเกณฑ์ที่อัลลอฮฺได้ทรงสร้างขึ้น นับเป็นสิ่งสกปรกโสมม และเป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจที่สุดที่เกิดขึ้นบนแผ่นดินนี้ !

 

     ท่านนบีลู้ฏ ยังคงอดทนเชิญชวนพวกเขาสู่สัจธรรมต่อไป  ไม่มีใครเลยสักคนเดียวที่ตอบรับคำเชิญชวนของท่าน นับวันพวกเขายิ่งมีพฤติกรรมที่ชั่วช้ามากยิ่งขึ้น แถมยังข่มขู่ สั่งห้ามท่านนบีไม่ให้ต้อนรับแขกผู้ชายต่างเมือง แต่พวกเขาขันอาสาที่จะต้อนรับเองทั้งหมดเพื่อหวังกระทำมิดีมิร้าย  อีกทั้งยังเย้ยหยันท่านนบีต่างๆ นานา กระทั่งพวกเขาพากันขับไล่ไสส่งท่านให้ออกไปจากหมู่บ้าน โดยพูดจาเสียดสีท่านว่า

 

"พวกเจ้าจงเอาครอบครัวของลู้ฏออกไปจากหมู่บ้านของพวกเจ้าเสียเถอะ

แท้จริง พวกเขาเป็นมนุษย์ผู้สะอาดบริสุทธิ์เสียจริง !" 

( อัลนัมล์ :56)

     ซ้ำร้ายพวกเขายังท้าทาย อยากเห็นการลงโทษจากพระเจ้าของนบีลู้ฏ หากท่านเป็นนบีของอัลลอฮฺจริงๆ  

     ท่านนบีลู้ฏ จึงขอดุอาอฺต่ออัลลอฮฺ ว่า :

رَبِّ انْصُرْنِي عَلَى الْقَوْمِ الْمُفْسِدِينَ”..

 

โอ้ อัลลอฮฺ ขอพระองค์โปรดทรงช่วยเหลือข้าพระองค์ ให้ได้รับชัยชนะเหนือบรรดาผู้ก่อความเสื่อมเสียทั้งหลายด้วยเถิด 

 (อัลอังกะบูต : 30)

 

 

แผนการณ์และการช่วยเหลือจากอัลลอฮฺ 

 

     อัลลอฮฺ ตะอาลา จึงทรงตอบรับคำวิงวอนของท่าน ด้วยการส่งมลาอิกะฮฺ 3 ท่านมาเป็นอาคันตุกะผู้ทรงเกียรติ ทั้งสามท่านนั้นได้แก่ ท่านญิบรีล ท่านมีกาอีล และ ท่านอิสรอฟีล อลัยฮิมุสสลาม ทั้งสามเดินทางไปจนถึงแม่น้ำสะดูม ที่นั่นพวกเขาพบกับลูกสาวของท่านนบีลู้ฏกำลังตักน้ำจากแม่น้ำ 

 

     มลาอิกะฮฺที่จำแลงร่างมาเป็นชายหนุ่มรูปงามจึงถามลูกสาวท่านนบีว่า :"แม่หนู  ที่นี่มีบ้านพักบ้างไหม?" 

     "มีค่ะ แต่ได้โปรดรออยู่ตรงนี้ก่อนจนกว่าฉันจะกลับมา" เพราะนางรู้ดีว่า เมื่อใดที่แขกเดินเข้าไปในเมือง พวกเขาจะไม่ได้รับความปลอดภัยอย่างแน่นอน

      นางจึงรีบกลับไปบอกให้ท่านนบีลู้ฏผู้เป็นพ่อทราบ ท่านนบีออกมาต้อนรับพวกเขา และพยายามพูดจาบ่ายเบี่ยงให้พวกเขา เดินทางไปพักที่เมืองอื่น 

     โดยบอกพวกเขาว่า :  "ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ฉันไม่เคยรู้เคยเห็นเลยว่า จะมีแผ่นดินใด จะมีชาวเมืองที่สกปรกโสมมเหมือนชาวเมืองนี้อีกแล้ว"  

      แต่พวกเขาก็ยังคงมีท่าทีเช่นเดิม จนพวกเขาได้รับคำยืนยันจากท่านนบีถึงพฤติกรรมที่ชั่วช้าของชาวเมืองนี้ ถึงสี่ครั้งสี่คราด้วยกัน ซึ่งมลาอิกะฮฺได้รับบัญชาว่า อย่าเพิ่งรีบด่วนจัดการกับชาวเมือง จนกว่าจะได้รับคำยืนยันจากนบีของชาวเมืองนี้เสียก่อน

     ไม่มีใครรู้ข่าวการมาเยือนของชายแปลกหน้า นอกจากครอบครัวของท่านนบีลู้ฏเท่านั้น แต่ภรรยาของท่านกลับแอบนำข่าวไปบอกกับกลุ่มชนของนาง 

     นางบอกกับพวกเขาว่า ไม่เคยเห็นใครหน้าตาหล่อเหลาเหมือนพวกเขามาก่อนเลย!

     ทันทีที่ชาวเมืองรู้ข่าว ต่างพากันกรูไปที่บ้านของท่านนบีลู้ฏอย่างหื่นกระหาย ราวกับคนเสียสติ ทั้งตะโกนโหวกเหวก ทุบเคาะและดึงทึ้งประตูบ้าน ทำทุกวิธีที่จะเข้าไปในบ้านให้ได้ 

     ท่านนบีบอกกับพวกเขาว่า ท่านมีลูกสาว พวกเธอบริสุทธ์สำหรับพวกเขา อย่าทำให้ท่านขายหน้าอับอายแขกเลย

     แต่พวกเขากลับตอบท่านว่า ท่านนบีย่อมรู้เจตนาของพวกเขาดี คือต้องการแต่ผู้ชายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

     ท่านนบีจึงบอกว่า ท่านอยากมีพลกำลังหรือพวกพ้องที่สามารถจัดการกับพฤติกรรมที่ไร้ยางอายของชาวเมืองและปกป้องแขกของท่านได้ 

     ทันใดนั้นเอง มลาอิกะฮฺจึงได้บอกความจริงแก่ท่านว่า พวกเราคือมลาอิกะฮฺที่ถูกส่งมาเพื่อนำการลงโทษจากอัลลอฮฺมายังกลุ่มชนของท่าน ท่านอย่าได้วิตกกังวลเลยว่า จะเกิดอันตรายใดๆ กับเรา

     เมื่อประตูถูกเปิดออก ท่านญิบริ้ลได้ใช้ปีกของท่านฟาดไปที่ใบหน้าของกลุ่มชนเหล่านั้น จนทำให้นัยน์ตาของพวกเขาบอดสนิท บางรายงานระบุว่า ลูกตากระเด็นหลุดออกจากเบ้าไม่เหลือร่องรอยของดวงตาอยู่อีกเลย   พวกเขาต่างวิ่งหนีออกจากบ้านอย่างหวาดผวาในสภาพที่เหยียบกันเองอย่างทุลักทุเล 

     พร้อมส่งเสียงตะโกนช่วยด้วย ช่วยด้วย ในบ้านของลู้ฏมีพ่อมดร้ายกาจที่สุดในแผ่นดิน !”

     และยังขู่ท่านนบีด้วยความโกรธแค้นว่า  "ให้พรุ่งนี้ก่อนเถอะ แล้วเจ้าจะเจอดีแน่ !"

 

 

บทลงโทษของความผิดอันน่าบัดสี 

 

     มลาอิกะฮฺสั่งกับท่านนบีลู้ฏให้รีบนำครอบครัวเดินทางออกจากเมือง ในช่วงท้ายของเวลากลางคืน และกำชับว่าห้ามหันหลังกลับมามองเป็นอันขาด ท่านนบีพร้อมภรรยาและลูกสาวทั้งสองคน เดินทางออกจากเมืองตามคำสั่งของมลาอิกะฮฺ แต่ทันทีที่แสงอาทิตย์ปรากฏ กำหนดการณ์ของอัลลอฮฺก็มาถึง 

     อัลลอฮฺ ตะอาลา มีบัญชาให้ท่านญิบรีลใช้ปลายปลีกของท่าน สอดยกแผ่นดินที่มีบ้านเรือนที่อยู่อาศัยของชาวเมืองสะดูม ซึ่งมีพลเรือนอาศัยอยู่ประมาณ 40,000 คน ตลอดจนสัตว์นานาชนิดของพวกเขาขึ้นสูงเสียดฟ้า เสียงตะโกนกรีดร้องโหยหวนด้วยความหวาดหวั่นพรั่นสะพรึงดังก้องไปทั่วทุกสารทิศ กระทั่งมลาอิกะฮฺที่อยู่บนฟ้า  ได้ยินเสียงไก่ขันและเสียงสุนัขเห่าหอนด้วยความตกใจกลัว 

      ท่านญิบรีลได้พลิกแผ่นดินคว่ำลงมา กลับจากด้านบนเป็นด้านล่าง กลับด้านล่างขึ้นเป็นด้านบน จากสิ่งที่เคยอยู่เหนือปฐพี กลับจมลึกอยู่ใต้ธรณีในชั่วพริบตา

     จังหวะเดียวกันนั้นเอง  อัลลอฮฺ ตะอาลา ได้ให้มีเสียงกัมปนาทดังกึกก้อง พร้อมกับทรงส่งห่าฝนหินจากไฟนรกกระหน่ำใส่พวกเขาทันทีที่ร่วงหล่นลงมาอีกระลอก คนแรกที่หล่นลงมาคือหัวโจกของพวกเขานั่นเอง

     หินแต่ละก้อนถูกตราชื่อของชาวเมืองแต่ละคนไว้อย่างครบถ้วน โดยจะไม่ตกมาใส่ ผิดชื่อผิดคนเป็นอันขาด กระทั่งชาวเมืองสะดูมที่อยู่ต่างเมืองก็ถูกห่าฝนหินจากไฟนรกเล่นงานด้วยเช่นเดียวกัน

 

     เมื่อนาง "วาลิฮะฮฺ" ภรรยาของท่านนบีลู้ฏได้ยินเสียงกรีดร้องและเสียงอึกทึกครึกโครมดังขึ้น นางจึงหันหลังกลับไปมอง ทันใดนั้นเอง หินก็ตกลงมาคร่าชีวิตนางในทันที อันเป็นผลจากการที่นางปฎิเสธศรัทธา ทรยศสามี  ไม่เชื่อฟังสามี ไม่เชื่อฟังอัลลอฮฺ แต่กลับคอยเป็นหูเป็นตาส่งข่าวให้กับกลุ่มชนของเธอ แม้นางจะไม่ได้มีพฤติกรรมเหมือนพวกเขา แต่นางกลับเห็นดีเห็นงาม พึงพอใจและไม่คัดค้านการกระทำอันน่าบัดสีเหล่านั้น นางจึงมีจุดจบเช่นเดียวกับกลุ่มชนของนาง ถึงแม้ว่านางจะเป็นภรรยาของท่านนบีก็ตาม

 

 

แผ่นดินต้องคำสาป.. ร่อยรอยของความต่ำช้า 

 

     แผ่นดินของชาวเมืองสะดูม (Sodom) อยู่ ณ บริเวณที่เป็นทะเลสาป Dead Sea ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างประเทศจอร์แดนกับปาเลสไตน์ ในปัจจุบัน หลังจากที่อัลลอฮฺทรงพลิกคว่ำพื้นที่แห่งนั้น ทะเลก็ส่งกลิ่นเหม็นเน่า และไม่สามารถใช้ประโยชน์อะไรจากทะเลและพื้นดินบริเวณโดยรอบได้อีกตลอดไป อันเนื่องจากความสกปรกโสมม น่ารังเกียจจากพฤติกรรมของผู้ที่เคยอาศัยอยู่บนแผ่นดินนั้น

เรื่องราวของชาวเมืองสะดูมปรากฏอยู่ในอัลกุรอานมากมายหลายที่ด้วยกัน

เช่นในซูเราะฮฺ ฮู้ด 69-83 , ซูเราะฮฺ อัลฮิจญฺร์  51-77,

 ซูเราะฮฺ อัชชุอะรออฺ 160-175, ซูเราะฮฺ อัลนัมล์ 54-58,

ซูเราะฮฺ อัศศ้อฟฟ้าต133-138, ซูเราะฮฺ อัซซาริยาต 31-37  และซูเราะฮฺ อัลก่อมัร 33-40 

     ทั้งนี้เพื่อให้มนุษย์ได้ใคร่ครวญเป็นบทเรียน และตระหนักถึงการลงโทษอันหนักหน่วงที่พวกเขาเคยได้รับ

 

และเราได้ทิ้งในมัน(หมู่บ้านของท่านนบีลู้ฏ)ให้เป็นสัญญาณหนึ่ง แก่บรรดาผู้หวาดกลัวต่อการลงโทษอันเจ็บแสบ 

(อัซซาริยาต : 35)

 

      ภาพในอดีตไม่ได้ห่างไกลเกินไปที่เราจะเทียบเคียงกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน   ทะเลสาบแห่งความตายเป็นสัญญาณเตือนให้รำลึกถึงบทลงโทษจากการไม่ดำรงตนบนคุณธรรมและศีลธรรมอันดีงาม ไม่เชื่อฟังบัญชาของพระผู้เป็นเจ้า ละเมิดขอบเขตของพระองค์ และผินหลังให้กับคำตักเตือนของนบีของพระองค์

 

     ดังนั้นใครก็ตามที่เลียนแบบพฤติกรรมของชนกลุ่มนี้เขาก็คือพวกเดียวกัน ถึงแม้จะไม่ได้ละม้ายคล้ายกันในทุกแง่มุมก็ตาม และใครก็ตามที่เห็นดีเห็นงาม ชื่นชอบ ชื่นชมคนพวกนี้ เขาก็ไม่ต่างอะไรกับภรรยานบีลู้ฏเลย

 

      แม้ต้นแบบแห่งความบัดสีจะกลายเป็นซากศพใต้ปฐพีมาหลายร้อยศตวรรษ แต่มรดกแห่งพฤติกรรมอันต่ำทรามและสกปรกโสมม จะยังคงอยู่คู่มนุษยชาติตลอดไปทุกยุคทุกสมัย แม้กระทั่งในปัจจุบัน  !

 

     กวีอาหรับกล่าวไว้ว่า 

แม้ไม่ใช่เฉกเช่น กลุ่มชนลู้ฏ ... แต่ชาวเมืองลู้ฏ กับเราท่านทั้งหลายแล้ว ไม่ห่างไกลกันนักเลย

 

 

 

อ้างอิง : กิศ่อศุล อัมบิยาอฺ โดย อิมาม อิบนิกะษีร (ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮฺ) 146-165

https://shorturl.asia/9OZSj