อย่าเข้าใกล้ “ริบา-ดอกเบี้ย” 1
( อับดุลสลาม เพชรทองคำ )
เหตุการณ์ที่ห้าของการมิอ์รอจญ์ของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เป็นเหตุการณ์ที่มีรายงานอยู่ในอัลหะดีษในบันทึกของอิมามอัลบุคอรีย์ รายงานจากท่านซะมุเราะฮฺ อิบนิ ญุนดุบ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุได้เล่าว่า ท่านเราะซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้กล่าวความว่า
“.. เราได้มาถึงแม่น้ำสีแดงดั่งเลือด มีชายคนหนึ่งว่ายอยู่กลางแม่น้ำนั้น ส่วนที่ริมตลิ่ง หรือบนฝั่งแม่น้ำนั้น มีชายอีกคนหนึ่งเก็บก้อนหินมากองรวมกันไว้อย่างมากมาย ..เมื่อชายคนที่ว่ายน้ำอยู่กลางแม่น้ำนั้นต้องการจะว่ายน้ำขึ้นฝั่ง ..ชายคนที่อยู่บนฝั่งก็จะถ่างปากของชายที่ต้องการจะขึ้นจากฝั่ง แล้วก็หยิบก้อนหินแล้วปาก้อนหินใส่ในปากของชายที่พยายามจะขึ้นฝั่ง ชายคนนั้นก็จะว่ายน้ำกลับไปยังกลางแม่น้ำ ...และทุกๆครั้ง เมื่อเขาต้องการจะว่ายขึ้นฝั่งอีก ก็จะโดนถ่างปากแล้วถูกปาก้อนหินใส่ปากอีก ..เป็นเช่นนี้เรื่อย ๆไป ..
ฉันจึงได้ถามท่านญิบรีลว่า ชายคนนั้น(ที่ถูกถ่างปากและถูกปาก้อนหินใส่)เป็นใครกันหรือ ?
ท่านญิบรีลตอบว่า ..ชายคนนั้นคือคนที่กินริบา”
การที่ชายคนนั้นถูกลงโทษดังกล่าว มีคำอธิบายว่า เพราะพวกเขากล่าวว่า การค้าขายก็เหมือนกับการกินริบา ในอัลกุรอานซูเราะฮฺอัลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺ 275 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาได้ตรัสว่า
ذَٰلِكَ بِأَنَّهُمۡ قَالُوٓاْ إِنَّمَا ٱلۡبَيۡعُ مِثۡلُ ٱلرِّبَوٰاْۗ
“...ดังกล่าวนี้ก็เพราะว่า พวกเขา(ที่กินริบา)ได้กล่าวว่า แท้จริง การค้าขายก็เหมือนกับการกินริบานั่นเอง...”
คนที่กินริบานั้น เขาคิดทึกทักเอาเอง หาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง พวกเขาบอกว่า การค้าขายก็เหมือนริบานั่นแหละ พวกเขาบอกว่า การค้าขายมีกำไร ริบาหรือดอกเบี้ยก็คือกำไร มีลักษณะเหมือนๆกัน ไม่เห็นจะต่างกันตรงไหน ดังนั้น เมื่อค้าขายได้ก็ต้องกินริบาได้เหมือน ๆกัน ..ตรงนี้พวกมุชริกีนในสมัยท่านนบีพูด และคนในยุคต่อ ๆมา คนในยุคเราก็มีบางคนที่เขาพูดกัน ..
แต่ในอัลกุรอานซูเราะฮฺอัลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺ 275 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาได้ตรัสต่อจากความข้างต้นว่า
وَأَحَلَّ ٱللَّهُ ٱلۡبَيۡعَ وَحَرَّمَ ٱلرِّبَوٰاْۚ
“แต่ทว่า อัลลอฮฺทรงอนุมัติการค้าขาย และในขณะเดียวกัน ทรงห้ามเรื่องของริบา..”
ตรงนี้จึงมีความหมายอย่างชัดเจนว่า การค้าขายย่อมไม่เหมือนกับการกินริบาอย่างแน่นอน... ในวันกิยามะฮฺ คนที่กินริบานอกจากจะถูกลงโทษดังกล่าวแล้ว เขายังไม่สามารถทรงตัวได้ เมื่อยืนขึ้นก็ต้องล้มลง พยายามจะลุกขึ้นมา แต่ก็ต้องลุกขึ้นมาในสภาพเหมือนกับสภาพของผู้ที่ถูกชัยฎอนครอบงำ
ในอัลกุรอานซูเราะฮฺอัลบะเกาะเราะฮฺ ส่วนต้นของอายะฮฺที่ 275 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาได้ตรัสว่า
( ٱلَّذِينَ يَأۡكُلُونَ ٱلرِّبَوٰاْ لَا يَقُومُونَ إِلَّا كَمَا يَقُومُ ٱلَّذِي يَتَخَبَّطُهُ ٱلشَّيۡطَٰنُ مِنَ ٱلۡمَسِّۚ )
“บรรดาผู้กินริบานั้น พวกเขาจะไม่ทรงตัวขึ้น นอกจากจะทรงตัวในสภาพเหมือนกับผู้ที่ถูกชัยฏอนทำร้าย..”
มีคำอธิบายคำว่า لَا يَقُومُونَ ว่าหมายถึง ถูกให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาในสภาพที่ทรงตัวไม่ได้ ก็คือ ในวันกิยามะฮฺ บรรดาคนที่กินริบานั้น พวกเขาจะถูกให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาจากกุบูรของพวกเขา แล้วพอพวกเขาจะลุกขึ้นยืน พวกเขาก็ลุกแบบยืนตรง ๆไม่ได้ แต่พวกเขาจะลุกขึ้นมาในสภาพเหมือนคนที่ถูกชัยฏอนเข้าสิงร่างกาย พวกเขาจะทำอะไรที่ไม่ปกติ มีสภาพเหมือนคนที่ถูกทำร้าย มีสภาพเหมือนคนที่ถูกรัดถูกบีบคอ อยู่ในสภาพที่ทำอะไรน่าเกลียด อยู่ในสภาพที่ทุกข์ทรมาน ซึ่งเป็นสภาพที่ชาวอาหรับบอกว่าเป็นสภาพของคนบ้า คนไม่ปกติ
เรื่องของการกินริบานั้นถือเป็นเรื่องยิ่งใหญ่เรื่องหนึ่ง เพราะเป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดการล่วงเกินสิทธิอันชอบธรรมของผู้อื่น ทำให้เกิดการถูกกดขี่ เกิดความไม่ชอบธรรมขึ้นในสังคม เป็นเรื่องที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาสั่งให้เราออกห่าง อย่าฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของพระองค์ อย่าล่วงละเมิดคำสั่งของพระองค์ โดยพระองค์ทรงถือว่า คนที่ฝ่าฝืน คนที่ล่วงละเมิดโดยการยุ่งเกี่ยวกับริบา(ดอกเบี้ย)นั้น คือผู้ที่ประกาศทำสงครามกับพระองค์อันถือเป็นเรื่องที่ร้ายแรงยิ่ง
ในอัลกุรอานซูเราะฮฺอัลบะเกาะเราะฮฺ อายะฮฺที่ 278 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงมีคำสั่งว่า
يَٰٓأَيُّهَا ٱلَّذِينَ ءَامَنُواْ ٱتَّقُواْ ٱللَّهَ وَذَرُواْ مَا بَقِيَ مِنَ ٱلرِّبَوٰٓاْ إِن كُنتُم مُّؤۡمِنِينَ
“โอ้บรรดาผู้ศรัทธา (พวกเจ้า)จงยำเกรงอัลลอฮฺเถิด และจงงด (จงเลิก)การกินริบาที่เหลืออยู่เสีย หากพวกเจ้าเป็นผู้ศรัทธา”
ตรงนี้มีคำอธิบายในรายงานของท่านอิบนุ ญะรีรว่า ในสมัยญาฮิลียะฮฺ หรือสมัยก่อนอัลอิสลามนั้น ..อัลอับบาส อิบนุ อับดุลมุฎฎอลิบ กับอัมร์ อิบนิ อุมัยร์ ซึ่งอยู่ที่ษะกีฟ ได้ตกลงร่วมหุ้นส่วนกัน โดยให้เงินกู้ยืมแก่ชายคนหนึ่งจากตระกูลอัลมุฆีเราะฮฺแห่งเผ่ามัคซูม โดยกินริบา..ครั้นเมื่ออัลอิสลามได้กำเนิดขึ้นมา พวกเขาต่างก็เข้ารับอัลอิสลาม แต่พวกเขาก็ยังมีทรัพย์สินที่เป็นริบาค้างจ่ายกันอยู่อีกมาก แล้วทางฝ่ายของตระกูลแห่งเผ่าษะกีฟก็ขอสิ่งที่ยังค้างคากันอยู่คืนจากพวกอัลมุฆีเราะฮฺ ซึ่งพวกอัลมุฆีเราะฮฺก็ได้กล่าวว่า ขณะนี้ เราเข้ารับอิสลามแล้ว ดังนั้น เราจะไม่จ่ายริบาแก่พวกท่าน
การที่พวกอัลมุฆีเราะฮฺประกาศไม่จ่ายริบานั้น ไม่ใช่เพราะพวกเขาเห็นเป็นโอกาสว่า ไม่ต้องจ่ายคืนริบาแล้ว แต่เพราะพวกเขาเห็นว่า อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงสั่งห้ามไว้ และการสั่งห้ามกินริบานั้น ไม่ได้หมายถึงคนที่กินริบาที่เป็นเจ้าหนี้ฝ่ายเดียว แต่มันหมายรวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกินริบาทั้งหมด
อัลหะดีษในบันทึกของอิมามมุสลิม รายงานจากท่านญาบิร เราะฎิยัลลอฮุอันฮุเล่าว่า ท่านเราะซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวว่า
لَعَنَ رَسُولُ الله صَلَّى اللهُ عَلَيهِ وَسَلَّم آكِلَ الرِّبَا، وَمُوْكِلَـهُ وَكَاتِبَـهُ، وَشَاهِدَيْـهِ، وَقَالَ: هُـمْ سَوَاءٌ..
"ท่านเราะซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ได้ประณามผู้ที่กินริบา ผู้ที่ให้กินริบา ผู้บันทึก และผู้เป็นพยานทั้งสองฝ่าย ..
และท่านนบีกล่าวว่า พวกเขาอยู่ในฐานะที่เท่าเทียมกัน(ในบาป) (ก็คือ มีความผิด ได้รับบาปเช่นเดียวกัน เหมือนกันทั้งหมด)"
ด้วยเหตุนี้ เมื่อพวกอัลมุฆีเราะฮฺไม่ยอมจ่ายริบา ..ข้าหลวงประจำเมืองมักกะฮฺจึงได้ทำหนังสือไปถึงท่านเราะซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เพื่อแจ้งให้ทราบถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ดังนั้น อายะฮฺนี้จึงได้ถูกประทานลงมา เพื่อให้พวกเขาได้ยุติการกินริบาที่ยังเหลือค้างอยู่ทั้งหมด ซึ่งถ้าหากเขาเป็นผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาอย่างแท้จริง พวกเขาก็จะสามารถเลิกจากการกินริบาได้ทั้งหมด
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงมีคำสั่งให้บ่าวของพระองค์มีความยำเกรงต่อพระองค์ โดยปฏิบัติในสิ่งที่พระองค์ทรงมีคำสั่งใช้ให้เขาทำ และในขณะเดียวกัน เขาก็ต้องออกห่าง ไม่ทำในสิ่งที่พระองค์ทรงมีคำสั่งห้ามด้วย โดยระมัดระวังตัวในการดำเนินชีวิตในทุก ๆย่างก้าว ..และใครที่ปรารถนาจะเป็นผู้ศรัทธา เขาก็จงออกห่างจากการกินริบา..
นี่คือคำสั่งของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาในอายะฮฺที่ 279 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า
فَإِن لَّمۡ تَفۡعَلُواْ فَأۡذَنُواْ بِحَرۡبٖ مِّنَ ٱللَّهِ وَرَسُولِهِۦۖ
“แต่ถ้าพวกเจ้าไม่ปฏิบัติตาม (ยังคงกินริบาอยู่ ) พึงทราบไว้ ซึ่งสงครามจากอัลลอฮฺและศาสนฑูตของพระองค์...”
นั่นก็หมายความว่า เมื่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงมีคำสั่งห้ามกินริบา แต่ปรากฎว่า หากพวกเขายังไม่ยอมละเลิกจากเรื่องของริบา นั่นแสดงว่า พวกเขากำลังสู้หรือต่อสู้กับอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาและเราะซูลของพระองค์ ถือว่าพวกเขากำลังทำสงครามกับอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เพราะแสดงว่าพวกเขาเหยียดหยามต่อคำสั่งของพระองค์
ซึ่งท่านอิบนิ อับบาส เราะฎิยัลลอฮุอันฮุได้มีรายงานตรงนี้ที่ว่า فَأۡذَنُواْ بِحَرۡبٖ ว่า พวกเจ้าจงมั่นใจเถิดว่า การที่พวกเจ้ากินริบานั้นเป็นการทำสงครามกับอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาและเราะซูลของพระองค์อย่างแน่นอน ..นอกจากนี้ ท่านอิบนิ อับบาส ยังรายงานไว้อีกด้วยว่า ในวันกิยามะฮฺ จะมีเสียงกล่าวกับผู้กินริบาว่า จงจับอาวุธของเจ้าออกรบเถิด อันเป็นการเน้นย้ำถึงความร้ายแรงของการกินริบา
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสต่อไปอีกว่า
وَإِن تُبۡتُمۡ فَلَكُمۡ رُءُوسُ أَمۡوَٰلِكُمۡ لَا تَظۡلِمُونَ وَلَا تُظۡلَمُونَ
“และหากเจ้าสำนึกผิด กลับเนื้อกลับตัวกลับใจแล้ว สำหรับเจ้าก็ได้ต้นทุนแห่งทรัพย์ของพวกเจ้าคืน โดยที่พวกเจ้าจะไม่เป็นผู้ที่อธรรม(ใครต่อใคร ด้วยการไปเอาส่วนเกินของพวกเขา) และ(พวกเจ้า)ก็จะไม่ถูกอธรรมแต่อย่างใด (เพราะพวกเจ้าก็จะได้รับเงินต้นทุนคืนเท่าที่พวกเจ้าได้ให้พวกเขาไป ให้ไปเท่าไรก็ได้กลับคืนมาเท่านั้น ไม่ขาดไม่เกิน) ”
เมื่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงมีคำสั่งเช่นนี้ ปรากฏว่า พวกเขา(ทั้งอัลอับบาส อิบนุ อับดุลมุฏฏอลิบและอัมร์ อิบนิ อุมัยร์ )ได้กล่าวว่า เราขอกลับตัวกลับใจสู่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา( สำหรับสิ่งที่พวกเขาได้ทำผ่านมา ก็คือ การที่พวกเขาให้กู้ยืมเงินโดยกินริบานั้น พวกเขาได้ทำการเตาบะฮฺตัวต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ) ในส่วนสำหรับริบาที่ยังค้าง ยังไม่ได้รับมันคืน พวกเขาก็ได้งดมัน และยกเลิกริบาทั้งหมด
นั่นก็คือ ลักษณะของผู้ยำเกรงอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาอย่างแท้จริง เพราะเมื่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงมีคำสั่งใดลงมา พวกเขาก็ปฏิบัติตามโดยทันที ..ขอเน้นย้ำว่า โดยทันที
อัลหะดีษในบันทึกของอิมามอัตติรฺมีซีย์ هَذَا حَدِيثٌ حَسَنٌ صَحِيحٌ รายงานจากท่านอัมร์ อิบนิลอะฮฺวัศ เล่าว่า ท่านเราะซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้กล่าวว่า
أَلَا وَإِنَّ كُلَّ رِبًا فِي الجَاهِلِيَّةِ مَوْضُوعٌ، لَكُمْ رُءُوسُ أَمْوَالِكُمْ لَا تَظْلِمُونَ [ص:274] وَلَا تُظْلَمُونَ غَيْرَ رِبَا العَبَّاسِ بْنِ عَبْدِ المُطَّلِبِ فَإِنَّهُ مَوْضُوعٌ كُلُّهُ
“พึงทราบเถิดว่า แท้จริงริบาทุกอย่างในสมัยญาฮิลียะฮฺนั้น ได้ถูกวางไว้ (ก็คือถูกห้ามในอิสลาม )..
และสำหรับพวกท่านก็คือเงินต้นของพวกท่าน(ที่พวกท่านให้พวกเขายืมไป)โดยไม่อธรรม (ก็คือไม่ไปเอาริบา ไม่ไปเอาส่วนเกินซึ่งจะทำให้คนอื่นเดือดร้อน )
และ(พวกเขา)ก็ไม่ถูกอธรรมด้วย (เพราะพวกเขาก็จะได้รับส่วนที่เป็นเงินต้น ซึ่งเป็นสิทธิอันชอบธรรมที่พวกเขาจะต้องได้รับอย่างครบถ้วน) ...
และริบาแรกที่ถูกวางเอาไว้ (ได้ถูกห้ามไว้) ก็คือ ริบาของอัลอับบาส อิบนิ อับดุลมุฏเฏาะลิบจะถูกวาง (ก็คือถูกห้าม)ทั้งหมดเลย”
( นะศีหะฮฺ มัสญิดดารุลอิหฺซาน บางอ้อ )