พึงออกห่างจาก"ซินา"
อับดุลสลาม เพชรทองคำ
เหตุการณ์ที่สี่ของการมิอ์รอจญ์ของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ตามหลักฐานจากอัลหะดีษในบันทึกของอิมามอัลบัยฮะกีย์ อิมามอิบนิญะรีร อิมามอิบนิ อบีฮาติม เป็นเหตุการณ์ที่มีรายงานว่า
ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้เล่าว่า “ท่านได้ผ่านไปพบสำรับอาหาร 2 สำรับ ..
สำรับหนึ่งนั้นมีเนื้อที่น่ารับประทานวางอยู่ แต่กลับปรากฏว่า ไม่มีผู้ใดเข้าใกล้สำรับอาหารนั้นเลย ..
ส่วนอีกสำรับหนึ่งนั้นมีเนื้อที่เน่าเหม็นวางอยู่ แต่ผู้คนกลับรุมกันรับประทานเนื้อที่เน่าเหม็นจากสำรับอาหารนั้น...
ท่านนบีจึงได้กล่าวขึ้นว่า โอ้ท่านญิบรีล พวกเขา(ที่กำลังรับประทานเนื้อที่เน่าเหม็นอยู่นี้)เป็นใครกันหรือ ? ...
ท่านญิบรีลจึงกล่าวว่า พวกเขาก็คือ..คนกลุ่มหนึ่งจากประชาชาติของท่านที่ชอบทำสิ่งที่หะรอม (ทำสิ่งต้องห้าม ทำสิ่งที่ผิดต่อบทบัญญัติศาสนา) ในขณะเดียวกันก็กลับละทิ้งสิ่งที่หะลาล (ละทิ้งสิ่งที่บทบัญญัติศาสนาอนุมัติ ไม่ทำในสิ่งที่บทบัญญัติศาสนาสั่งใช้ให้ทำ)”
อัลหะดีษนี้กล่าวโดยรวมถึงผลหรือการตอบแทนที่คนทำสิ่งหะรอม ทำสิ่งที่ผิดบทบัญญัติศาสนา และละทิ้งสิ่งหะลาล ละทิ้งสิ่งที่บทบัญญัติศาสนาอนุมัติจะได้รับในโลกอาคิเราะฮฺ
อัลหะดีษอีกบทหนึ่ง ในบันทึกของอิมามอัลบัซซาร และอิมามอัลบัยฮะกีย์ ที่มีรายงานว่า
”ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้เล่าว่า .. ท่านได้ผ่านชนกลุ่มหนึ่งซึ่งเบื้องหน้าของเขามีหม้อหนึ่งเป็นหม้อที่สะอาดที่ภายในมีเนื้อที่สุกแล้ว และอีกหม้อหนึ่งเป็นหม้อที่ไม่สะอาดที่ภายในหม้อนั้นมีเนื้อที่ยังดิบอยู่ ...
แต่ปรากฏว่า ชนกลุ่มนั้นกลับไม่ยอมรับประทานเนื้อที่สุกแล้วที่อยู่ในหม้อที่สะอาด แต่กลับมารับประทานเนื้อที่ดิบๆที่อยู่ในหม้อที่ไม่สะอาด...
ท่านนบีจึงได้กล่าวว่า โอ้ ท่านญิบรีล พวกเขาเหล่านี้เป็นใครกันหรือ ? ...
ท่านญิบรีลตอบว่า พวกเขาเหล่านี้ก็คือ ส่วนหนึ่งจากประชาชาติของท่านซึ่งมีภรรยาที่ดี ที่หะลาล แต่พวกเขากลับไม่สนใจเธอ ละทิ้งเธอ แล้วไปหาหญิงที่ไม่ดี หญิงที่หะรอม ไปนอนค้างอ้างแรมกับหญิงที่หะรอมนั้นจนกระทั่งเช้า ...
และในทำนองเดียวกัน หญิงที่มีสามีที่ดี ที่หะลาล แต่กลับละทิ้งสามีที่หะลาลของเธอ ไปหาความสุขสำราญกับชายอื่นที่ไม่ใช่สามีของเธอ”
อัลหะดีษอีกบทหนึ่ง ในบันทึกของอิมามอัลบัยฮะกีย์ อิมามอิบนิ ญะรีร และอิมามอิบนิ อบีฮาติม รายงานจากท่านอบีสะอี๊ด อัลคุฎรีย์ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุว่า
“ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้เล่าว่า ..
ท่านได้ผ่านกลุ่มชนอีกกลุ่มหนึ่ง ท่านได้เห็นบรรดาหญิงที่แขวนตัวเองด้วยเต้านมของเธอ ...
ท่านนบีจึงได้กล่าวขึ้นว่า โอ้ ท่านญิบรีล หญิงเหล่านี้เป็นใครกันหรือ ? ...
ท่านญิบรีลจึงได้กล่าวว่า หญิงเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งจากประชาชาติของท่านที่ทำซินา”
เราจะเห็นว่า อัลหะดีษสองบทหลังที่ยกมานี้ กล่าวเจาะจงไปยังกลุ่มชนที่เราเรียกรวม ๆ กันว่า คนที่ทำซินา ซึ่งมันก็คือการที่ผู้คนละทิ้งสิ่งที่หะลาล ไม่ทำในสิ่งที่บทบัญญัติศาสนาอนุมัติ แต่กลับไปทำสิ่งที่หะรอม ทำสิ่งที่บทบัญญัติศาสนาสั่งห้าม ....แทนที่จะเลือกการแต่งงานที่เป็นเรื่องที่บทบัญญัติศาสนาสนับสนุนส่งเสริมให้ทำ ก็กลับไปเลือกการทำซินา หรือแต่งงานแล้วก็กลับไปยุ่งเกี่ยว ไปมีความสัมพันธ์กับคนอื่นที่ไม่ใช่คู่ครองของตัวเอง..ด้วยเหตุนี้ อัลหะดีษดังกล่าวจึงชี้ให้เราเห็นว่า การทำซินาเป็นการกระทำที่บทบัญญัติศาสนาสั่งห้าม ดังปรากฏหลักฐานในอัลกุรอานซูเราะฮฺอัลอิสรออ์ อายะฮฺที่ 32 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า
وَلَا تَقۡرَبُواْ ٱلزِّنَىٰٓۖ إِنَّهُۥ كَانَ فَٰحِشَةٗ وَسَآءَ سَبِيلٗا
“และพวกเจ้าอย่าได้เข้าใกล้การทำซินา(หรือการผิดประเวณี) ..แท้จริง มันเป็นสิ่งที่ชั่วช้าลามก และเป็นหนทางที่เลวร้าย”
อายะฮฺนี้ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงสั่งเราว่า อย่าได้เข้าใกล้การทำซินา นั่นหมายความว่า นอกจากจะห้ามเราทำซินาแล้ว ยังห้ามเราเข้าใกล้การทำซินาอีกด้วย ก็คือห้ามทุกสิ่ง ห้ามทุกวิถีทางที่จะนำเราไปสู่การทำซินา เราต้องปิดประตู ต้องหยุดทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นสาเหตุที่จะนำเราไปสู่การทำซินา ไม่ว่าจะเป็นวิธีการ หรือเป็นการกระทำอันเป็นการกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกทางเพศ อันจะนำไปสู่การทำความชั่วร้ายแรงนี้ ..
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ทรงสั่งให้เราป้องกันตัวเราไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับทุกสิ่งที่จะนำเราไปสู่การทำซินาในทุกรูปแบบ
เรามาดูอัลหะดีษ มุตตะฟะกุนอะลัยฮฺ (คืออัลหะดีษในบันทึกของอิมามอัลบุคอรีย์และอิมามมุสลิม) ..สำนวนอัลหะดีษนี้เป็นของท่านอิมามมุสลิม รายงานจากท่านอบีหุรอยเราะฮฺ เราะฏิยัลลอฮุอันฮุ รายงานว่า ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวถึงการทำซินาด้วยกับอวัยวะต่างๆว่า
: «كُتِبَ عَلَى ابنِ آدَمَ نَصِيبُـهُ مِنَ الزِّنَى، مُدْرِكٌ ذَلِكَ لَا مَـحَالَةَ، فَالعَيْنَانِ زِنَاهُـمَا النَّظَرُ، وَالأُذُنَانِ زِنَاهُـمَا الاسْتِـمَاعُ، وَاللِّسَانُ زِنَاهُ الكَلامُ، وَاليَدُ زِنَاهَا البَطْشُ، وَالرِّجْلُ زِنَاهَا الخُطَا، وَالقَلْبُ يَـهْوَى وَيَتَـمَنَّى، وَيُصَدِّقُ ذَلِكَ الفَرْجُ وَيُكَذِّبُـهُ». متفق عليه
"ส่วนหนึ่งจากการทำซินาที่ถูกกำหนดแก่ลูกหลานอาดัมที่จะต้องเกิดขึ้นโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
นั่นก็ได้แก่ (การทำซินา)ด้วยกับสองตา คือทำซินาด้วยการมอง... ด้วยกับสองหู คือทำซินาด้วยการฟัง ...
ด้วยกับลิ้น คือทำซินาด้วยการพูด ... ด้วยกับมือ คือทำซินาด้วยกับการสัมผัสลูบไล้ ...
ด้วยกับเท้า คือทำซินาด้วยกับการก้าวย่าง ...ด้วยกับหัวใจ คือทำซินาด้วยกับการวาดฝันและการสร้างจินตนาการ ...
แต่ส่วนที่จะเกิดขึ้นหรือไม่นั้นอยู่ที่อวัยวะเพศ”
อัลหะดีษนี้ ชี้ให้เราเห็นถึงการทำซินาด้วยกับอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นดวงตาทั้งสอง ไม่ว่าจะเป็นหู เป็นลิ้นก็คือปาก เป็นมือ เป็นเท้า เป็นหัวใจ ซึ่งอวัยวะร่างกายทั้งหมดนี้มันเป็นสาเหตุที่จะชักนำเราไปสู่การทำซินาทางอวัยวะเพศ ดังนั้น หากเราสามารถหักห้ามตัวเราจากการทำซินาทางอวัยวะร่างกายทั้งหมดได้ เราก็จะรอดพ้นจากการทำซินาทางอวัยวะเพศได้ อินชาอัลลอฮฺ ..
ซึ่งอิสลามถือว่า การทำซินาทางอวัยวะเพศนั้นมันเป็น كَانَ فَٰحِشَةٗ وَسَآءَ سَبِيلٗا มันเป็นอาชญากรรมร้ายแรงที่น่ารังเกียจ เป็นสิ่งที่ชั่วช้าลามก และนำไปสู่หนทางที่เลวร้าย ทั้งนี้ก็เพราะ การทำซินานั้น มันเป็นการเปิดประตูแห่งฟิตนะฮฺ นำความเสื่อมเสียมาสู่ตัวเองและครอบครัว นำมาซึ่งการทำลายจริยธรรมอันดีงามในสังคม
เพราะหากมนุษย์อยู่อย่างไม่มีขอบเขตก็จะมีสภาพไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย ทำให้ครอบครัวแตกแยก นำไปสู่การมีทายาทหรือการมีลูกที่ไม่รู้เชื้อสาย เพราะไม่ทราบว่าเป็นลูกใคร ...การทำซินายังนำมาซึ่งโรคภัยไข้เจ็บ เช่น เป็นกามโรค และที่ร้ายแรงที่สุด ก็คือ อาจจะนำมาซึ่งการฆ่าชีวิตมนุษย์อันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงสั่งห้าม พระองค์ทรงห้ามฆ่าชีวิตมนุษย์ทุกชีวิต เว้นแต่โดยวิธีที่เที่ยงธรรมเท่านั้น
การทำซินานำมาซึ่งการฆ่าชีวิตมนุษย์เพราะการทำซินาอาจทำให้เกิดก้อนเลือดก้อนเนื้อ หรือเกิดทารกที่ไม่พึงประสงค์ หลังจากนั้นก็อาจจะเกิดการทำลายก้อนเลือดก้อนเนื้อนั้น อาจจะมีการทำลายทารกก่อนที่จะคลอดออกมา นั่นก็เป็นการฆ่าชีวิตมนุษย์ .. หรือหลังจากคลอดแล้วก็ตาม หากปล่อยให้ทารกมีชีวิตต่อไป ก็อาจจะไม่ได้ดูแลเลี้ยงดูอย่างดี ทำให้เด็กมีชีวิตอยู่อย่างเลวร้าย เป็นภาระของสังคม ซึ่งมันก็คือการฆ่าชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่ง
ดังนั้น อิสลามจึงให้เราปกป้อง ให้เราป้องกันตัวเราจากการกระทำอันนำเราไปสู่การทำซินาอันน่ารังเกียจนี้ โดยการป้องกันตัวเองจากการมอง ตัวอย่างเช่น
ไม่มองสิ่งที่หะรอม ไม่มองไปยังเพศตรงข้ามโดยไม่จำเป็น ไม่มองไปยังเพศตรงข้ามด้วยความชอบ ความเสน่หา ไม่มองไปยังเอาเราะฮฺของผู้อื่น ไม่มองไปยังภาพโป๊ภาพเปลือย หรือไม่มองทุกสิ่งทุกอย่างในทำนองนี้
เมื่อป้องกันตัวเองจากการมองแล้ว ยังต้องป้องกันตัวเองจากการฟังด้วย ไม่ฟังเรื่องลามก ไม่ฟังเสียงเพศตรงข้ามด้วยความเสน่หา เป็นต้น
ป้องกันตัวเองจากการพูด ไม่พูดจาแทะโลม ไม่พูดกับเพศตรงข้ามโดยไม่จำเป็น ถ้าจำเป็นต้องพูดด้วยก็ต้องพูดด้วยสำเนียงปกติ ธรรมดา ไม่ดัดเสียงให้ไพเราะอ่อนหวาน เพื่อให้เขามาชอบพอหรือหลงใหลตนเอง
ป้องกันตัวเองจากมือของเรา ไม่ไปสัมผัสเพศตรงข้าม ไม่ไปค้นหาสื่อต่างๆ เพื่อจะมองจะดูสิ่งหะรอม เป็นต้น
ป้องกันตัวเองจากเท้าของเรา ต้องไม่ย่างก้าวไปในสถานที่อโคจรต่าง ๆ หรือก้าวย่างไปทำสิ่งผิด ๆ
ป้องกันหัวใจของเรา ต้องไม่วาดฝัน ไม่ฝันหวาน ไม่สร้างจินตนาการอย่างนั้นอย่างนี้
ดังนั้น เมื่อเราสามารถป้องกันตัวเราให้ออกห่างจากการทำซินาทางอวัยวะร่างกายทั้งหมดได้ นั่นก็คือ การป้องกันตัวของเราให้ออกห่างจากการทำซินาทางอวัยวะเพศนั่นเอง
สำหรับในเรื่องของการทำซินานั้น อุละมาอ์ได้จัดเรื่องของการทำซินาไว้ 2 ประเภท ก็คือ ซินาเล็ก กับซินาใหญ่
ซินาเล็ก ก็คือ การที่เราไปจับมือถือแขน ไปสัมผัสลูบคล้ำกับเพศตรงข้ามกับคนที่เราไม่ได้แต่งงานด้วย การกระทำดังกล่าวถือเป็นความผิด เป็นบาป แต่ไม่มีบทบัญญัติการลงโทษตามชะรีอะฮฺ หรือตามกฎหมายอิสลามกำหนดไว้ แต่เป็นการกระทำที่มันจะเป็นสาเหตุที่นำไปสู่การทำซินาใหญ่ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องระวัง ต้องหลีกเลี่ยง ต้องออกห่าง
ส่วนซินาใหญ่ ก็คือ การที่อวัยวะเพศของชายได้ล่วงล้ำเข้าไปในอวัยวะเพศของหญิงที่ไม่ได้แต่งงานกัน ไม่ว่าจะมีการหลั่งอสุจิหรือไม่ และไม่ว่าจะมีการตื่นตัวของอวัยวะเพศชายหรือไม่ก็ตาม ก็ถือว่า การทำซินาทางอวัยวะเพศได้เกิดขึ้นแล้ว .. ซึ่งดังกล่าวนี้ถือเป็นความผิด เป็นบาปใหญ่ซึ่งมีบทบัญญัติการลงโทษไว้ ต้องได้รับโทษทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮฺ ...ซึ่งส่วนหนึ่งจากการถูกลงโทษในอาคิเราะฮฺก็คือ จากอัลหะดีษข้างต้นนี้ และยังมีการลงโทษอื่นๆอีก ...
สำหรับโทษในดุนยาตามกฎหมายอิสลามจะมี 3 ลักษณะ
1. หากคนที่ทำซินาเป็นคนโสด จะต้องถูกโบยหรือถูกเฆี่ยนด้วยแส้ 100 ครั้ง
2. เมื่อถูกโบยหรือถูกเฆี่ยนด้วยแส้แล้ว ก็จะถูกเนรเทศออกนอกพื้นที่เป็นเวลาหนึ่งปี
3. หากคนที่ทำซินาเป็นคนที่แต่งงานแล้ว ก็จะถูกขว้างด้วยก้อนหินจนกระทั่งเสียชีวิต
ซึ่งแต่ละประเภทของการลงโทษนี้จะมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน โดยจะเกี่ยวข้องกับสถานภาพของผู้ที่ทำซินาเอง ว่ามีสถานภาพเช่นไร เช่น เคยแต่งงานมาแล้วหรือยัง หรือยังเป็นโสดอยู่ ทั้งนี้โดยมีหลักฐานยืนยันถึงการลงโทษทั้งสามลักษณะนี้ ทั้งหลักฐานจากอัลกุรอานและหลักฐานจากอัลหะดีษ (ซึ่งเราจะไม่นำมากล่าว ณ ที่นี้ เพราะจะใช้เวลาเกินไป )
สำหรับวิธีการที่จะทำให้เราห่างไกลจากการทำซินานอกเหนือจากการให้เราห่างไกลจากการทำซินาทางอวัยวะร่างกายต่าง ๆ แล้ว ก็คือการส่งเสริมสนับสนุนในเรื่องของการแต่งงาน แต่ถ้ายังไม่สามารถที่จะแต่งงานได้ก็ให้เราถือศีลอด
อัลหะดีษ ในบันทึกของอิมามมุสลิม อิมามอันนะซาอีย์ อิมามอะหมัด รายงานจากท่านอิบนุ มัสอู๊ด เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ รายงานว่า ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมกล่าวว่า
يَامَعْشَرَالشَّبَابِ مَنِ اسْتَطَاعَ مِنْكُمُ الْبَاءَةَ فَلْيَتَزَوَّجْ فَإِنَّهُ أَغَضُّ لِلْبَصَرِ وَأَحْصَنُ لِلْفَرْجِ وَمَنْ لَمْ يَسْتَطِعْ فَعَلَيْهِ بِالصَّوْمِ فَإِنَّهُ لَهُ وِجَاءٌ
"โอ้บรรดาชายหนุ่ม บุคคลใดในหมู่พวกท่านที่มีความสามารถที่จะมีครอบครัวได้ ดังนั้นจงแต่งงานเถิด
เพราะการแต่งงานนั้นมันจะช่วยลดสายตาลงต่ำ และรักษาอวัยวะเพศ(ไม่ให้ไปทำซินา) ....
แต่ถ้าใครไม่มีความสามารถในการแต่งงานก็จงถือศีลอด เพราะการถือศีลอดนั้นมันเป็นโล่(ป้องกันการทำซินา)"
นั่นก็คือ เรื่องราวเพียงบางส่วนที่เกี่ยวกับเรื่องของซินา อันเป็นเรื่องที่อิสลามถือว่าเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรง เกิดผลลัพท์ที่เลวร้าย และท้ายสุด นำไปสู่การถูกลงโทษตามที่ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้แจ้งไว้
สุดท้ายนี้ ขออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงคุ้มครองเราทุกคนให้พ้นจากการทำความผิดบาปในเรื่องเหล่านี้ด้วย
( นะศีหะหฺ มัสญิดดารุลอิหฺซาน บางอ้อ )