ต้นเหตุที่ทำให้เกิดบิดอะฮ์(การเพิ่มเติม)ในศาสนาอิสลาม
จากหนังสือ "สารดาริสสลาม"โดย:อ.ดาวูด รอมาน
บิดอะฮ์ คือ การปฏิบัติเพิ่มเติมในหลักการศาสนาที่ไม่ได้นำมาจากคัมภีร์อัลกุรอานและซุนนะฮ์ท่านนะบีมุฮัมมัด และคิดว่าการปฏิบัติเช่นนั้นจะได้ผลบุญเท่านั้นเท่านี้โดยไม่มีปรากฏในหลักฐาน
การยึดถืออัลกุรอานและซุนนะฮ์ท่านนะบีมุฮัมมัด เป็นหนทางที่ปลอดภัยจากการทำบิดอะฮ์(การเพิ่มเติม) การหลงผิด
อัลลอฮ์ ซุบฮาน่าฮุว่าตะอาลา ได้ทรงตรัสไว้ว่า
"และแท้จริงนี้คือทางของข้าอันเที่ยงตรงพวกเจ้าจงปฏิบัติตามมันเถิด และอย่าปฏิบัติตามหลาย ๆ ทาง(*1*) เพราะมันจะทำให้พวกเจ้าแยกออกไปจากทางของพระองค์ นั่นแหละที่พระองค์ได้สั่งเสียมันไว้แก่พวกเจ้า เพื่อว่าพวกเจ้าจะยำเกรง "
(อัลอันอาม โองการที่153)
(1) คือทางอื่น ๆ ที่มนุษย์อุตริกำหนดขึ้นเอง ซึ่งมิใช่มาจากอัลลอฮ์และเราะซูล ของพระองค์
ท่านเราะซูล ได้อธิบายในโองการนี้ ดังที่รายงานโดยอิบนุมัสอูด ได้กล่าวว่า
ท่านเราะซูล ได้ขีดเส้นตรง 1 เส้น ให้พวกเราดู แล้วกล่าวว่า "นี่คือทางของอัลลอฮ์"
ต่อมาท่านได้ขีดเส้นอีกหลายเส้น ทางขวาบ้าง ทางซ้ายบ้าง และท่านก็กล่าวว่า "ทางเหล่านี้ทุกทางจะมีชัยฏอนคอยเรียกร้องสู่มัน"
ต่อมาท่านอ่านโองการที่มีใจความว่า
“นี่คือแนวทางของฉันที่เที่ยงตรง พวกท่านจงปฏิบัติตามมัน และพวกท่านจงอย่าปฏิบิตามทางเหล่านั้น เพราะจะทำให้พวกท่านแตกออกจากทางที่เที่ยงตรง ดังกล่าวนี้พระองค์ได้ทรงสั่งเสียพวกท่านเพื่อพวกท่านจะได้ยำเกรง”
บันทึกโดย อะหมัด, อิบนิฮิบาน, ฮากิม และท่านอื่นๆ
ดังนั้นผู้ใดที่หันหลังให้กับอัลกุรอานและซุนนะฮ์แล้ว แนวทางที่หลงผิดและบิดอะฮ์จะเข้ามาแทนที่
ต้นเหตุต่างๆ ที่ทำให้เกิดบิดอะฮ์ และการหลงผิด คือสิ่งต่อไปนี้
ความโง่เขลาการไม่ยอมศึกษาในหลักการของศาสนา การปฏิบัติตามอารมณ์ การติดยึดอยู่กับบรรดาความเห็น และตัวบุคคล การเลียนแบบต่างศาสนิก การปฏิบัติตามผู้รู้ที่ไม่ได้อยู่ในหลักศาสนา
(ก) ความโง่เขลาการไม่ยอมศึกษาในหลักการของศาสนา
เมื่อกาลเวลายิ่งผ่านพ้นนานวันเข้า ผู้คนยิ่งห่างไกลศาสนา ความรู้ก็ยิ่งน้อย ความโง่เขลาแพร่กระจาย ตามที่ท่านนะบี ได้บอกไว้ว่า
“และผู้ใดจากพวกท่านที่ยังมีชีวิตอยู่ เขาจะได้พบเห็นความขัดแย้งอย่างมากมาย”
(บันทึกโดย อบูดาวูด และตริมีซีร์)
และคำพูดของท่านนะบี ที่ว่า
“แท้จริงอัลลอฮ์จะไม่ทรงเก็บวิชาความรู้โดยการถอดมันอกจากบ่าว แต่พระองค์จะทรงเก็บวิชาความรู้ โดยการเก็บชีวิตบรรดาผู้รู้ จนไม่ให้มีผู้รู้หลงเหลืออยู่เลย ผู้คนจึงเอาคนโง่มาเป็นผู้นำ เมื่อพวกเขาถูกถามพวกเขาก็ตอบไปโดยไม่มีความรู้ พวกเขาก็หลงผิดและยังสร้างความหลงผิดด้วย”
จากหนังสือญามิอุบยานิลอิลมิวะฟัฎลุฮุ ของอิบนุอับดิลบัร
ไม่มีใครที่จะต่อต้านบิดอะฮ์ได้ นอกจากวิชาความรู้และบรรดาผู้รู้เท่านั้น และเมื่อขาดวิชาความรู้และบรรดาผู้รู้ ก็เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้แก่บิดอะฮ์ ที่จะเปิดเผยและครอบงำ ดังนั้นต้องมีการตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา
(ข) ปฏิบัติตามอารมณ์และความต้องการ
ผู้ใดที่หันหลังให้อัลกุรอานและซุนนะฮ์ เขาก็จะหันหน้าสู่การปฏิบัติตามอารมณ์ของเขา
อัลลอฮ์ ซุบฮาน่าฮุว่าตะอาลา ได้ทรงตรัสไว้ว่า
"หากพวกเขาไม่ยอมสนองตอบเจ้า (*1*) ก็พึงรู้เถิดว่า แท้จริงพวกเขาปฏิบัติตามอารมณ์ต่ำของพวกเขาเท่านั้น (*2*) และผู้ใดเล่าจะหลงผิดยิ่งไปกว่าผู้ปฏิบัติตามอารมณ์ต่ำของเขา โดยปราศจากแนวทางที่ถูกต้องจากอัลลอฮ์ แท้จริงอัลลอฮ์จะไม่ทรงชี้แนะทางที่ถูกต้องแก่กลุ่มชนผู้อธรรม"
(อัลเกาะศอด โองการที่ 50)
(1) คือตอบสนองสิ่งที่เจ้าขอร้องจากพวกเขา ให้นำคัมภีร์อื่นจากทั้งสองมา
(2) โดยปราศจากหลักฐานและข้อยืนยัน
อัลลอฮ์ ซุบฮาน่าฮุว่าตะอาลา ตรัสไว้ความว่า
"เจ้าเคยเห็นผู้ที่ยึดถือเอาอารมณ์ต่ำของเขาเป็นพระเจ้าของเขาบ้างไหม ? และอัลลอฮฺจะทรงให้เขาหลงทางด้วยการรอบรู้ (ของพระองค์) และทรงผนึกการการฟังของเขาและหัวใจของเขาและทรงทำให้มีสิ่งบดบังดวงตาของเขา ดังนั้นผู้ใดเล่าจะชี้แนะแก่เขาหลังจากอัลลอฮฺ พวกเจ้ามิได้ใคร่ครวญกันดอกหรือ ? (*1*) "
(อัลยาซิยะฮ์ โองการที่ 23)
(1) อัศศอวีย์ได้อธิบายอายะฮฺนี้ว่า อัลลอฮฺ ตะอาลาทรงกล่าวถึงลักษณะของพวกฟุรฟาร 4 ประการ คือ 1. เคารพบูชาอารมณ์ใฝ่ต่ำ 2. การหลงทางของพวกเขา โดยที่พวกเขารู้ 3. ประทับตราบนหู และหัวใจของพวกเขา 4. ทำให้สิ่งบดบังบนดวงตาของพวกเขาทั้งหมดนี้เป็นการคู่ควรแก่การหลงทางแสงสว่างหรือการชี้นำที่ดีไม่อาจที่จะเข้าไปถึงพวกเขาได้ อนึ่งคำว่า “อะลาอิลมิน” นั้น นักตัฟซีรมีความเห็นเป็นสองความหมาย คือ ด้วยความรอบรู้ของอัลลอฮฺ” หรือ “ด้วยความรู้ของผู้หลงทางเอง”
(ค) การยึดติดกับบรรดาความเห็นและตัวบุคคล
การติดยึดความเห็นและตัวบุคคล เป็นสิ่งขวางกั้นระหว่างบุคคลหนึ่งกับการปฏิบัติตามหลักการและยอมรับความจริง โดยมีความเกรงกลัวในตัวบุคคลและปฏิบัติตามทั้งที่รู้ว่าผิดหลักการทางศาสนา การเกรงใจผู้ที่เป็นผู้ใหญ่กว่า เช่น ครูอาจารย์ ญาติพี่น้อง และปฏิติตามบรรพบุรุษที่ได้ทำมา
อัลลอฮ์ ซุบฮาน่าฮุว่าตะอาลา ตรัสไว้ความว่า
"และเมื่อได้ถูกกล่าวแก่พวกเขาว่าจงปฏิบัติตามสิ่งที่อัลลอฮ์ได้ทรงประทานลงมาเถิดพวกเขาก็กล่าวว่า มิได้ เราจะแฏิบัติสิ่งที่เราได้พบบรรดาบรรพบุรุษของเราเคยปฏิบัติมาเท่านั้นและแม้ได้ปรากฏว่า บรรพบุรุษของพวกเขาไม่เข้าใจสิ่งใด และทั้งไม่ได้รับแนวทางอันถูกต้องก็ตามกระนั้นหรือ?(*1*)"
(อัลบะเกาะเราะฮ์ โองการที่ 170 )
(1) อัลลอฮ์ทรงถามว่า แม้ว่าบรรพบุรุษของพวกเขาไม่รู้เรื่องอะไรและอยู่ในทางที่ผิดก็จะปฏิบัติกระนั้นหรือ?
นี่เป็นคำตอบของนักอนุรักษ์นิยมตัวบุคคล และความคิดเห็นที่ยังคงมีอยู่ในยุคปัจจุบันนี้ อันได้แก่พวกซูฟี , พวกบูชาหลุมฝังศพ เมื่อถูกเรียกร้องให้ปฏิบัติตามอัลกุรอานและซุนนะฮ์ พวกเขาจะอ้างแนวความคิดของพวกเขาและอ้าง พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ตลอดจนยกบรรพบุรุษของพวกเขาเป็นหลักฐาน
(ง) การเลียนแบบคนต่างศาสนิก (กุฟฟาร)
กุฟฟาร หรือ กาฟิร คือ ผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้า (อัลลอฮ์) ไม่เชื่อเรื่องการมีอยู่ของพระเจ้า ไม่เชื่อและไม่เคารพบรรดาศาสนฑูตของอัลลอฮ์ และไม่ปฏิบัติตามหลักการที่พระผู้เป็นเจ้าทรงบอกผ่านมาทางศาสนฑูตของพระองค์ ซ้ำยังทำการเคารพบูชารูปปั้นต่างๆ ที่มนุษย์ทำขึ้น และสมมุติสิ่งต่างๆว่าเป็นเทพเจ้า จึงเรียกพวกเหล่านี้อีกอย่างว่า ผู้ปฏิเสธ (คนต่างศาสนิก)
การลอกเลียนแบบคนต่างศาสนิก(กุฟฟาร)นั้น เป็นต้นเหตุที่ร้ายแรงประการหนึ่งที่ทำให้เกิดการบิดอะฮ์ ดังเหตุการณ์ต่อไปนี้
ท่านอบีวากี๊ด อัลลัยซีย์ กล่าวว่า เราได้ออกไปกับท่านเราะซูลลุลลอฮ์ ยังตำบลฮุนัยน์ขณะนั้นพวกเรายังใหม่อยู่จากการเปลี่ยนแปลง จากกุฟฟารมาเป็นมุสลิม พวกมุชริกมีต้นพุทธาเพื่อพำนักอยู่ที่นั่น และจะนำอาวุธไปแขวนที่นั่นเพื่อความเป็นสิริมงคล พวกเขาจึงกล่าวว่า
“โอ้ท่านเราะซูลลุลลอฮ์ จงทำต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ให้พวกเราสักต้นหนึ่ง”
ท่านเราะซูล จึงกล่าวว่า
“อัลลอฮุฮักบัร นี่มันเป็นการเลียนแบบนี่ ขอสาบานต่อผู้ที่ชีวิตของฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ พวกท่านพูดเหมือนกับที่ บนูอิสรออีลพูดกับนะบีมูซาที่ว่า ท่านจงทำพระเจ้าหนึ่งองค์ให้กับพวกเรา เหมือนกับที่พวกเขามีบรรดาพระเจ้า มูซากล่าวว่า แท้จริงพวกเจ้าเป็นพวกที่โง่เขลา แน่นอนพวกท่านกำลังเลียนแบบผู้ที่อยู่ก่อนหน้าพวกท่าน”
บันทึกโดย ตริมีซีย์ , อะหมัด, อิบนุอาบีอาซิม, อิบนุฮิบบาน, ฏอบรอนี และบัยฮากี
ในฮะดิษ บทนี้ชี้ว่า การลอกเลียนแบบพวกกุฟฟารเป็นแรงกระตุ้นให้บูอิสรออิลขอร้องด้วยคำขอร้องที่น่าเกลียด นั่นคือขอให้นะบีมูซาทำพระเจ้าให้พวกเขาเพื่อการกราบไหว้ และยังเป็นแรงกระตุ้นของเหล่าศอฮะบะฮ์ของนะบีมุฮัมมัด ขอร้องต่อท่านนะบี ให้ทำต้นไม่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอความเป็นสิริมงคลจากต้นไม้นั้น ซึ่งมันเป็นสิ่งเดียวกัน
และในปัจจุบันนี้ก็เช่นเดียวกัน บรรดามุสลิมส่วนมากได้ลอกเลียนแบบผู้ปฏิเสธศรัทธา(กุฟฟาร)ในการทำบิดอะฮ์ ทำชิริก เช่น การจัดงานเฉลิมฉลองวันเกิด วันครบรอบสัปดาห์ เดือน ปี เพื่อกำหนดการทำอิบาดะฮ์(การเคารพ)ในวันเวลาดังกล่าว เป็นต้น
(จ) การปฏิบัติตามผู้รู้ที่ไม่ได้อยู่ในหลักการศาสนา(บิดเบือน)
สังคมมุสลิมมีผู้รู้และผู้ที่ศึกษาหาความรู้ตามแหล่งความรู้ต่างๆ ซึ่งบางแห่งมีการบิดเบือนหลักฐาน และหลักการทางศาสนาเพื่อประโยชน์ส่วนตน หรือกลุ่มของตน หรือพวกพ้อง ทำให้มุสลิมที่ไม่ได้ศึกษาหาความรู้เชื่อตามในสิ่งที่พวกเขาพูด โดยบางอย่างที่สอนและถ่ายทอดมานั้นเป็นการบิดเบือนและปกปิดข้อมูลที่แท้จริงทางศาสนา หรือการกระทำบางอย่างเข้าขั้นชิริก ทำให้ตกศาสนาโดยไม่รู้ตัว
จาก อบีนะเยี๊ยะฮ์ อัลอิรบาดุ อิบนุซารียะห์ กล่าวว่า
ท่านนะบีมุฮัมมัด เตือนพวกเราจนทำให้พวกเราเกรงกลัวจนน้ำตาไหลเหมือนกับการเตือนเป็นครั้งสุดท้ายของท่าน และบรรดาศอฮาบะฮ์จึงกล่าวว่าท่านจงเตือนพวกเราเถิด
ท่านนะบี กล่าวว่า "ขอให้พวกท่านยำเกรงต่ออัลลอฮ์ และให้เชื่อฟังแม้ทาสผิวดำจะขึ้นเป็นผู้นำ ใครที่มีอายุยืนจะเห็นความแตกแยกอย่างมากมาย
และให้พวกท่านจงยึดมั่นในซุนนะฮ์ของฉัน และซุนนะฮ์ของบรรดาคอลีฟะฮ์ ให้ยึดโดยกัดมันด้วยฟัน และอย่าไปตามในสิ่งที่ไม่ใช่ในแนวทางของฉัน และของบรรดาคอลีฟะฮ์
และพวกท่านจงระวังเรื่องต่างๆที่อุตริขึ้นมาใหม่ เพราะแท้จริงทุกเรื่องที่อุตริขึ้นมาใหม่(ในศาสนา)ถือว่าเป็นบิดอะฮ์ และบิดอะฮ์ทุกอย่างนั้นเป็นฏ่อลาละฮ์(สิ่งที่งมงาย) และฏ่อลาละฮ์ทุกอย่างจะอยู่ในนรก"
บันทึกโดย ตริมีซีย์ และอาบูดาวูด
ดังนั้นมุสลิมทุกคนต้องศึกษาหาความรู้ด้วยตนเองเพื่อความเข้าใจในการปฏิบัติตามหลักการศาสนา และไม่ยึดติดกับผู้รู้คนใดคนหนึ่ง ควรต้องศึกษาหาความรู้จากผู้รู้หลายๆท่าน และใช้สติปัญญาในการค้นหาคำตอบเพื่อให้อยู่ในแนวทางที่ถูกต้องและเที่ยงตรง ด้วยตัวของท่านเอง