ไม่ โค่น ล้ม ผู้ นำ
แปลเรียบเรียง.....อาบีดีณ โยธาสมุทร
บิ้สมิ้ลลาฮิ้รร่อฮฺมานิ้รร่อฮีม
“เป็นอะกีดะฮฺของอะฮฺลุ้ซซุนนะฮฺ วั้ลญะมาอะฮฺ ...พวกเขาจะไม่ถอนมือออกจากการเชื่อฟัง แต่จะภักดีต่อบรรดาผู้นำ และจะขอดุอาอฺให้แก่พวกเขาให้ได้รับความสำเร็จ ให้ได้รับการชี้นำสู่ทางที่ถูกต้องและให้ได้รับสิ่งดีๆ พวกเขาจะไม่ออกมาต่อต้านและโค่นล้มบรรดาผู้นำ จะไม่ถอนมือออกจากการเชื่อฟังพวกเขา ตราบใดที่ผู้นำเหล่านั้นไม่ได้สั่งใช้ในเรื่องที่เป็นการฝ่าฝืนอัลลอฮฺ ส่วนถ้าเมื่อไหร่พวกผู้นำมาสั่งในเรื่องที่เป็นการฝ่าฝืนต่ออัลลอฮฺ เมื่อนั้นก็ไม่ต้องไปเชื่อฟังในสิ่งที่เป็นการฝ่าฝืนที่ว่า (เพราะ การเชื่อฟังนั้นถูกจำกัดไว้ใช้กับเรื่องที่เป็นสิ่งที่ดีๆเท่านั้น)”
(อั้ลบุคอรีย์และมุสลิม)
จึงถือเป็นหน้าที่สำหรับผู้ศรัทธาที่จะต้องรู้จักแนวทางที่บรรดาสะลัฟศอและฮฺได้ดำเนินกันไว้และจะต้องดำรงตนให้ตรงอยู่ในแนวทางสายนั้นด้วย จะต้องทำการขอดุอาอฺให้แก่บรรดาผู้นำให้ได้รับความสำเร็จ ให้ได้รับการชี้นำสู่ทางที่ถูกต้อง...และจะต้องเป็นคนที่คอยช่วยเหลือผู้นำในเรื่องที่เป็นสิ่งที่ดีๆ ในขณะเดียวกันก็ช่วยเหลือพวกเขาในการละทิ้งเรื่องที่มันไม่ดีๆด้วย...ทั้งนี้ เนื่องจากในการทำเช่นนี้ มันเป็นสิ่งที่ประมวลไว้ด้วยความสมัครสมานสามัคคี, การช่วยเหลือเกื้อหนุนกันใน คุณธรรมและความยำเกรง, การบรรเทาเรื่องร้ายๆให้มันน้อยลงและการเพิ่มพูนเรื่องดีๆให้มันมีมากขึ้น
แม้แต่ในกรณีที่ผู้นำเป็นกาเฟรก็ตาม ก็ให้เชื่อฟังในเรื่องที่เป็นความดี ไม่ให้เชื่อฟังในเรื่องที่ไม่ดี ถ้าหากผู้คนโดนทดสอบด้วยการให้มีผู้ปกครองที่เป็นกาเฟรมาปกครอง ซึ่งพวกเขาเองก็ไม่มีความสามารถตามช่องทางที่ศาสนาได้วางไว้ที่จะเข้ามาทำการแต่งตั้งผู้นำคนอื่นแทนที่ผู้นำคนนี้ได้ ก็ให้พวกเขาจงเชื่อฟังคนๆ นี้ในเรื่องที่เป็นความดี ไม่ใช่เรื่องที่เป็นความไม่ดี
และจะอนุญาตให้พวกเขาออกมาล้มล้างผู้นำคนนี้ได้ก็ต่อเมื่อพวกเขามีศักยภาพที่จะถอดถอนผู้นำคนที่ว่าออกไปได้โดยไม่ก่อให้เกิดภยันตรายและความเสื่อมเสียที่มันหนักกว่า ส่วนในกรณีที่พวกเขาเกรงว่ามันจะก่อให้เกิดอันตรายที่มันใหญ่หลวงกว่าเดิมก็ไม่อนุญาต แต่ให้พวกเขาทำการอดทนกันต่อไปจนกว่าอัลลอฮฺจะประทานทางออกมาให้
เมื่อไหร่ที่ผู้นำ นำเรื่องที่เป็นการปฏิเสธศรัทธาอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งมา ก็ให้ไปตักเตือนไปชี้แจงความถูกต้องแก่เขาให้กระจ่าง ไปเตือนเขาให้ระวังอันตรายของการปฏิเสธศรัทธาและการตั้งภาคีต่อพระเจ้า บอกเขาให้รู้ว่าเรื่องพวกนี้มันจะส่งผลทำให้อำนาจของเขาจะต้องสูญสิ้นไป...โดยมุ่งหวังว่าเขาจะยุติจากเรื่องที่เป็นการปฏิเสธศรัทธานั้นเสีย
ซึ่งถ้าบอกไปเรียบร้อยแล้ว แล้วอัลลอฮฺฮิดายะฮฺให้เขา แล้วเขาก็ยอมตอบรับแต่โดยดี ก็อั้ลฮัมดุลิ้ลลอฮฺ ส่วนถ้าเขาไม่เอา ก็ให้ดูและพิจารณา ถ้าดูแล้วพบว่าพวกตนมีศักยภาพที่จะถอดถอนผู้นำคนนี้และแต่งตั้งผู้นำคนอื่นมาแทนที่ได้ก็ให้ทำ แต่ถ้าไม่มีศักยภาพที่จะทำได้ ก็ให้พวกเขาอดทนกันไว้ จนกว่าอัลลอฮฺจะประทานทางออกมาให้
อย่าได้เอาตัวเข้าไปเผชิญต่อการเสียเลือดเสียเนื้อโดยเปล่าประโยชน์ การแตกแยกมันเป็นเป็นเรื่องใหญ่นัก ให้อดทนกันอยู่ในความเป็นปึกแผ่น... เพราะการที่พวกเขาสามัคคีกันอยู่บนสัจธรรม อดทนกันอยู่ในเส้นทางของการเชิญชวนสู่สัจธรรม -แม้ว่าผู้นำของพวกเขาจะเรียกร้องไปสู่การปฏิเสธศรัทธาก็ตามที-นั้น มันดีกับพวกเขามากกว่าการออกมาเผชิญกับการกระจัดกระจาย การโดนสังหาร การเสียเลือดเนื้อและการสูญหายไปของสัจธรรมที่มีอยู่ที่พวกเขา
ซึ่งเข้ากับกฏทางบทบัญญัติอิสลามที่บอกไว้ให้ขวนขวายสิ่งที่เป็นผลดีเอาไว้และให้พยายามเติมเต็มให้มันมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น และให้เลิกและเพิกถอนจากสิ่งที่มันเป็นผลเสียและพยายามลดหลั่นให้เหลือน้อยลง
ด้วยเหตุนี้ จึงจำเป็นที่จะต้องเอาใจใส่ต่อเรื่องของผลดี และต้องพิจารณาผลดีผลเสียดูด้วย ถ้าเมื่อไหร่ที่การลุกขึ้นมาโค่นล้มผู้นำคนนั้นมันไม่ให้ผลลัพธ์อะไรเลยจากความพินาศ ,การที่มุสลิมโดนเข่นฆ่าและการทำให้สัจธรรมต้องสูญหายไปมากกว่า เมื่อนั้นก็ไม่อนุญาตให้ออกมา จนกว่าจะมีอะไรที่จะมาช่วยในการขจัดเรื่องที่ไม่ดีให้มันหมดไป มาช่วยทำให้เรื่องไม่ดีมันลดน้อยลงและเพิ่มพูนสิ่งดีๆให้มีมากขึ้นได้ ซึ่งมันจะเกิดขึ้นได้ด้วยการแต่งตั่งกลุ่มชนแห่งสัจธรรมให้เข้ามาทำหน้าที่นั่นเอง
ดังที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซั้ลลัม ได้กล่าวไว้ว่า “ยกเว้นในกรณีที่ พวกคุณได้เห็นการปฏิเสธศรัทธาอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง โดยที่พวกคุณเองก็มีหลักฐานที่ชัดเจนจากอัลลอฮฺในเรื่องนั้นด้วยเท่านั้น”
(มุตตะฟะกุนอลัยฮฺ)
โดยจะเห็นได้ว่า ท่านให้อนุญาตแก่พวกเขาให้ออกมาโค่นล้มได้ เป็นการให้อนุญาต ไม่ได้หมายความว่า สั่งให้ต้องลุกขึ้นมาทำ แต่ความหมายคือ เพียงอนุญาตเท่านั้น อนุญาตให้มาทำการโค่นล้มได้เพื่อให้ความเท็จมันหมดไป ตามแต่กรณีและตามแต่ความเหมาะสม”
อิหม่าม อับดุลอะซี้ซ บิน บ้าซ -ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮฺ-
التعليقات البازية على شرح الطحاوية، ص898-900.
ทั้งหมดนี้ เป็นเพราะอะฮฺลุ้ซซุนนะฮฺ ยกให้เกียรติของพระเจ้าอยู่เหนือเกียรติของใครทุกคน และจัดให้เรื่องที่เป็นสิทธิ์ของพระเจ้า เป็นเรื่องที่สำคัญกว่าสิทธิ์ของใครหน้าไหนทุกหน้า ตามหลักคิดที่ว่า “อั้ตเตาฮีด เอาวะลัน” เตาฮีด ซึ่งเป็น สิทธิ์ของพระเจ้าต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง
เมื่อทราบแบบนี้ ก็ลองหันกลับมามองดู พวกที่อ้างว่าเป็นซุนนะฮฺบางคนที่ออกมากู่ร้องในช่วงสถานการณ์แบบปัจจุบันนี้ดูซิครับ ว่า ที่พวกเขาเข้ามากู่ร้องกันอยู่นี้ มันเป็นการกู่ร้องเพื่อพิทักษ์สิทธิ์ของอัลลอฮฺ พระเจ้าแห่งทุกสิ่ง หรือจริงๆแล้วมันเป็นเพียงการเอาเรื่องของพระเจ้ามาอ้าง เพียงเพื่ออยากจะปกป้องดุนยาของตัวเฉยๆ แค่นั้นกันแน่!!?
و الله الهادي
وصلى الله على محمد وآله وصحبه أجمعين