ความเชื่อเรื่องการมีอยู่จริงของพระผู้สร้าง #2
อาบีดีณ โยธาสมุทร....แปลเรียบเรียง
2. ข้อมูลที่อยู่ในรูปของข้อมูลตั้งต้นซึ่งเป็นฐานที่ส่งต่อไปสู่การยอมรับในการมีอยู่จริงของพระเจ้าอย่างปฏิเสธไม่ได้อีกทอดหนึ่ง
2.1 ข้อมูลที่เป็นหลักคิดตั้งต้นซึ่งเป็นฐานที่ส่งต่อไปสู่การยอมรับในการมีอยู่จริงของพระเจ้าอย่างปฏิเสธไม่ได้อีกทอดหนึ่ง
โดยรูปแบบในการที่ข้อมูลที่เป็นหลักคิดว่าที่นี้ได้ให้การยืนยันเกี่ยวกับเรื่องการมีอยู่จริงของพระเจ้าไว้นั้นมีดังนี้
ก.
๑. ข้อมูลเหล่านี้เป็นที่ยอมรับและเป็นที่เชื่อถือกันในความเป็นจริง โดยไม่ต้องอาศัยข้อมูลภายนอกอื่นใดมายืนยันในความเป็นจริงของมัน
๒. ข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลที่เป็นฐานและเป็นเครื่องตัดสินสำหรับข้อมูลกลุ่มอื่นๆ ถ้าขาดข้อมูลในกลุ่มนี้ไป ข้อมูลกลุ่มอื่นๆก็หมดหนทางที่จะเป็นที่รับรู้ได้
ข.
ข้อมูลเหล่านี้เป็นที่ยอมรับโดยทั่วกันว่าเป็นข้อมูลที่เป็นสัญชาติญาณที่มีอยู่ในตัวของคนเรามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการการเรียนรู้ใดๆ
ผลลัพธ์ คือ ข้อมูลเหล่านี้ต้องเป็นข้อมูลที่มีการบรรจุไว้ในสัญชาตญาณของคนเราโดยเจตนาจากผู้ที่มีความรู้และเชี่ยวชาญ มีความสามารถและมีเหตุผลที่ลึกซึ่งและเหมาะสมอย่างปฏิเสธไม่ได้ ซึ่งผู้นี้ก็คือ พระเจ้านั่นเอง
ตัวอย่างของข้อมูลที่เป็นหลักคิดตั้งต้นเหล่านี้ ก็อย่างเช่น
๑. การรับรู้ว่า ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นย่อมมีสาเหตุที่ส่งผลให้เรื่องๆนั้นมีขึ้นมาทั้งสิ้น และเรื่องที่เป็นเหตุและเรื่องที่เป็นสาเหตุนั้น เป็นอะไรที่มีความสัมพันธ์ต่อกัน
๒. ส่วนประกอบของสิ่งๆหนึ่งย่อมเล็กกว่าตัวตนทั้งหมดของมันแน่นอน เช่น หน้าต่างของบ้านย่อมเล็กกว่าบ้านหลังนั้นทั้งหลังแน่นอน เป็นต้น
๓. สิ่งๆหนึ่งเมื่อถูกนำไปรวมกับสิ่งอีกสิ่งหนึ่ง ย่อมมีจำนวนมากกว่าตัวมันเดี่ยวๆ แน่นอน เป็นต้น
อย่างที่ได้กล่าวไว้แล้วตอนต้นว่า ข้อมูลที่เป็นหลักคิดตั้งต้นเหล่านี้ ล้วนเป็นข้อมูลที่ถูกทดไว้ในฐานคิดของคนทุกๆคนอยู่แล้วโดยไม่ต้องอาศัยการเรียนรู้ใดๆ อีกทั้งยังเป็นข้อมูลที่เป็นความจริงสากลอีกด้วย ซึ่งการพยายามที่จะตั้งข้อกังขาในความถูกต้องของข้อมูลในกลุ่มนี้ ตลอดจนการพยายามออกมาปฏิเสธการมีข้อมูลเหล่านี้อยู่ในสัญชาติญาณของคนเรามาอยู่แล้วแต่เดิมนั้น เป็นเรื่องที่สติปัญญาที่ยังปกติอยู่ต่อต้านและคัดค้านอย่างที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นพฤติกรรมดังกล่าวยังถือเป็นการทำลายล้างความน่าเชื่อถือของชุดความรู้และข้อมูลทั้งหลายทั้งปวงทั้งหมดที่มีอยู่อีกด้วย ทั้งนี้เนื่องจากข้อมูลในกลุ่มนี้เป็นฐานสำหรับการศึกษาและการทำความรู้จักกับข้อมูลในกลุ่มอื่นๆ และยังเป็นตัวตัดสินความถูกดต้องให้กับข้อมูลในกลุ่มอื่นๆเหล่านั้นอีกด้วย
ลองคิดดูสิว่า ถ้าหาก การที่หนึ่งบวกเข้ากับหนึ่งยังเป็นเรื่องที่กังขาว่า มันมากกว่าหนึ่งเดี่ยวๆจริงหรือเปล่า? แล้ววิชาคณิตศาสตร์และการคำนวณทั้งวิชาจะยิ่งไม่เป็นเรื่องที่น่ากังขาในความเป็นจริงของมันเข้าไปใหญ่หรอกหรือ?
หรือลองคิดดูสิว่า ถ้าหากหลักคิดเรื่องเหตุกับผลลัพธ์ มันเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอนว่า เป็นข้อเท็จจริง จริงๆ วิชาการและการขวนขวายทั้งหมดทั้งปวงที่คนเราทำกันไว้ ก็คงต้องบอกได้อย่างเต็มปากเต็มคำเลยว่า เป็นสิ่งที่ไร้สาระทั้งนั้นแน่นอน วิทยาศาสตร์จะกลายเป็นเรื่องไร้สาระทันที แพทยศาสตร์จะกลายเป็นเรื่องไร้สาระทันที เพราะในเมื่อเราไม่สามารถมีความแน่ใจได้ตั้งแต่ต้นในความเป็นจริงของเรื่องเหตุและผลลัพธ์ เราจะไปนั่งค้นคว้าตัวยาขึ้นมาเพื่ออะไร เพราะเราไม่ได้เชื่อว่ายาคือเหตุให้มีการหายจากโรคตั้งแต่แรก พวกนักวิทยาศาตร์จะเข้าไปทำการพิสูจน์กันเพื่ออะไรในเมื่อไม่ได้เชื่อกันตั้งแต่ต้นว่า เรื่องที่ตนพิสูจน์กันอยู่มันเป็นผลมาจากอีกเรื่องหนึ่ง และส่งผลให้เกิดเรื่องๆหนึ่งขึ้นจริงๆ หรือแม้แต่คนธรรมดาอย่างเราๆเอง จะกินข้าวไปทำไม ในเมื่อไม่ได้เชื่อว่ามันคือเหตุให้อิ่มจริงๆ จะหันไปมองหาคนที่ตีหัวเราทำไม ในเมื่อไม่ได้เชื่อว่า ความรู้สึกเปี้ยะที่หัว มันต้องมีที่มาที่ไปจริงๆ ฯลฯ.
จึงสรุปได้ว่า ถ้าหากฐานคิดตั้งตนเหล่านี้ ไม่ใช่เรื่องที่มีอยู่ในสัญชาติญาณของพวกเราตั้งแต่ต้น และไม่ใช่เรื่องที่สัญชาติญาณของเรายืนยันในความถูกต้องและเป็นจริงของมันตั้งแต่ต้น สติปัญญาของพวกเราทุกคนก็ย่อมต้องว่างเปล่า และต้องไม่มีข้อมูลความรู้ใดๆทั้งสิ้นอยู่ในนั้นได้เลยแน่นอน.
ท่านอั้ลมุอั้ลลิมียฺ ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮฺ ได้กล่าวไว้ว่า “ ส่วนเรื่องที่เป็นประเด็นที่เป็นที่รับทราบได้โดยปริยายอย่างเลี่ยงไม่ได้นั้น บรรดานักวิชาการเกี่ยวกับสาขาวิชาที่อยู่ในขอบข่ายของเรื่องที่สติปัญญาสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับมันได้นั้น ต่างมีมติเห็นพ้องกันว่า มันคือ สิ่งที่เป็นต้นทุนของสติปัญญญา”
(القائد إلى تصحيح العقائد، 38)
ขยายความกันหน่อย :
การที่คนเราเชื่อในเรื่องการมีอยู่จริงของพระเจ้านั้น เป็นที่มาและเป็นฐานสำหรับความรู้และวิทยาการในทุกแขนง เนื่องจาก คนที่เชื่อในเรื่องพระเจ้านั้น เชื่อว่า พระเจ้าคือผู้ที่สร้างสรรพสิ่งทุกๆสิ่งขึ้นมาบนความจริง และทรงมีเหตุผลที่ลึกซึ้งและเหมาะสมอย่างที่สุดในการวางกฏเกณฑ์ที่ตายตัวต่างๆสำหรับสรรพสิ่งเหล่านั้นไว้ พระองค์ทรงบรรจุสัญชาติญาณไว้ให้แก่มนุษย์ ซึ่งเป็นสัญชาติญาณที่ให้การยอมรับในเรื่องหลักคิดพื้นฐานต่างๆที่มีติดตัวมากับมนุษยชาติอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ โดยฐานคิดเหล่านี้เป็นฐานที่คอยวางพื้นให้แก่สติปัญญาของคนเราให้สามารถใช้งานในการศึกษาและเรียนรู้ข้อเท็จจริงของสรรพสิ่งต่างๆได้ต่อไปนั้นเอง.
อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสว่า
لقد خلقنا الإنسان في أحسن تقويم
“แน่นอน เราได้สร้างมนุษย์ขึ้นมาให้อยู่ในการทำให้ตรงที่ดีที่สุด”
ในจิตใจของคนเรานี้ มีสัญชาติญาณที่คอยดึงเราไปสู่เรื่องสักเรื่องหนึ่งที่ถูกเจาะจงไว้อยู่ และในการรับรู้ของคนเราเอง ก็มีข้อมูลพื้นฐานที่เป็นข้อมูลตั้งต้นสำหรับการต่อยอดในการเรียนรู้ข้อมูลอื่นๆไว้อยู่ในนั้นแล้วอีกด้วย ในสำนึกของคนเราล้วนมีความรู้สึกโหยหาและแสวงหาเรื่องที่เป็นจุดมุ่งหมายของการมามีชีวิตอยู่ของทุกๆคนกันอยู่แล้วทั้งสิ้น เรื่องเหล่านี้ล้วนถูกทดไว้แล้วในจิตใจของคนเราทุกคนอย่างปฏิเสธไม่ได้ ข้อมูลเหล่านี้ล้วนเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับการเริ่มต้นการเรียนรู้เรื่องราวต่างๆในชีวิตของพวกเราทุกๆคน
ถ้าให้เปรียบแล้ว สัญชาติญาตของคนเราก็เปรียบได้กับโปรแกรมสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิคที่ผู้ผลิตได้ติดตั้งมันไว้ภายใน เพื่อให้อุปกรณ์ชิ้นนั้นๆ สามารถเดินหน้าทำงานตามหน้าที่ต่างๆของมันได้อย่างไรอย่างนั้น
แต่ในมุมของพวกที่ปฏิเสธพระเจ้าแล้ว พวกเขากลับเชื่อกันว่า สรรพสิ่งต่างๆที่มีขึ้นมาได้นั้น ก็เนื่องมาจากความบังเอิญและความมั่ว ไม่ได้มีเหตุผลใดๆอยู่เบื้องหลังการมีขึ้นมาของสรรพสิ่ง คนเราเองก็เหมือนกัน ที่มามีชีวิตอยู่บนโลกและสร้างเรื่องราวต่างๆ ไว้จนล้นหน้าประวัติศาสตร์ได้ ก็มาจากความบังเอิญและความมั่วทั้งนั้น
แต่ปัญหาก็คือ คนพวกนี้จะอธิบายอย่างไร กับเรื่องที่เป็นเหมือนโปรแกรมที่ทำหน้าที่เข้ามาขับเคลื่อนคนเราให้ออกมาเป็นคนอย่างที่เป็นอยู่ได้ เริ่มตั้งแต่เรื่องที่เป็นหลักคิดตั่งต้นต่างๆที่มีอยู่ในจิตใจและในการรับรู้ของคนเรามาแต่ไหนแต่ไรโดยไม่ต้องอาศัยการเรียนรู้ (axiom) (สัจพจน์)
อย่างเช่น ฐานคิดที่ว่า ส่วนประกอบของสิ่งๆหนึ่งย่อมเล็กกว่าตัวตนทั้งหมดของสิ่งๆนั้น หรือที่ว่า สิ่งหนึ่งสิ่งเมื่อบวกเข้าไปกับอีกสิ่ง มันจะมีจำนวนมากกว่าตัวของมันเดี่ยวๆ หรือที่ว่า เรื่องที่มีความตรงข้ามกันย่อมรวมกันไม่ได้ หรือที่ว่า เหตุการณ์ทุกๆเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาย่อมต้องมีเรื่องที่เป็นสาเหตุของมันอยู่เสมอ เป็นต้น
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นข้อมูลตั้งต้นที่คนต้องอาศัยมันในการนำไปใช้ต่อยอดในการศึกษา,เรียนรู้และทำความรู้จักกับสิ่งอื่นๆหรือเรื่องราวในหมวดอื่นๆต่อไป ซึ่งมันล้วนเป็นข้อมูลที่เป็นฐานให้แก่ข้อมูลอื่นๆอีกที ในขณะที่ตัวของมันเองไม่ต้องอาศัยข้อมูลอื่นใดมาเป็นฐานให้กับมัน ข้อมูลตั้งต้นเหล่านี้ ย่อมต้องมีที่มาที่ไป ต้องมีผู้ที่จงใจนำมันมาติดตั้งไว้ในสัญชาติญาณของคนเราแน่นอน
ตรงจุดนี้นี่เอง ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการออกมาให้คำอธิบายอย่างไรกระบวนและสะเปะสะปะของพวกที่ปฏิเสธพระเจ้า โดยบ้างก็ออกมาอธิบายว่า ข้อมูลที่ว่านี้ มันมาถูกเก็บไว้เป็นฐานของการเรียนรู้ของคนเรา ด้วยการเรียนรู้ของคนเราเอง ผ่านการสังเกตุและการทดลองด้วยประสาทสัมผัสที่คนเรามี
คือ หมายความว่า คนเรารู้ได้ว่า หนึ่งบวกหนึ่งมันมากกว่าหนึ่งเดี่ยวๆ ก็ด้วยการสังเกตุ และทดลองเอามะนาวหนึ่งลูกไปไว้กับอีกลูกก็เลยรู้ว่ามันมากกว่ามะนาวลูกเดียวเดี่ยวๆ อะไรทำนองนั้น จนสุดท้ายกระบวนการพวกนี้ก็ก่อให้เกิดกฏเกณฑ์ต่างๆขึ้นมา เช่น กฏที่ว่าส่วนประกอบย่อมเล็กกว่าตัวตนทั้งหมด และ หนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสองเป็นต้น และการที่เด็กคนหนึ่งไปตีเด็กอีกคนหนึ่งมันเป็นเรื่องที่ส่งผลให้เด็กอีกคนๆนั้นมีอาการเจ็บ จนเป็นที่มาของกฏที่ว่า ทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นต้องมีเหตุของมันอยู่นั่นเองและอื่นๆ
ซึ่งคำอธิบายนี้ของพวกที่ปฏิเสธพระเจ้านั้น มันเป็นอะไรที่กลับหัวกลับหาง เหมือนกันกับการออกมาอ้างว่า ตัวของข้อมูลต่างๆที่มีการคีย์เข้าไปในโปแกรมเวิร์ด เป็นตัวกำหนดให้มีโปรแกรมเวิร์ดเกิดขึ้นตามรูปแบบที่เรากำลังใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ที่สามารถรับและแปลผลข้อมูลออกมาเป็นตัวอักษรต่างๆที่เราคุ้นเคยกันได้นั่นเอง
หรือยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างเช่นเครื่องคิดเลข คุณจะรับได้หรือครับถ้ามีคนมาบอกว่า โปรแกรมที่ถูกเซตไว้ในเครื่องคิดเลขมันเกิดขึ้นมาจากการที่เรากดตัวตัวเลขใส่เข้าไปในนั้นมากๆ จนสุดท้าย เครื่องคิดเลขก็สามารถเรียนรู้และกำหนดกฏพื้นฐานในการคำนวนขึ้นมาได้และสามารถหาผลลัพธ์จากความสัมพันธ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับบรรดาตัวเลขที่ถูกคีย์เข้าไปได้เองในที่สุด?
ไม่ครับ แต่จริงๆแล้ว มันต้องมีการติดตั้งข้อมูลตั้งต้นไว้ก่อนแล้วต่างหาก เครื่องมันถึงจะทำงานได้ และแปลผลจากตัวเลขเหล่านั้นออกมาเป็นผลลัพธ์ต่างๆได้
คนก็เหมือนกัน มันต้องมีข้อมูลตั้งตนติดตั้งอยู่ในตัวอยู่ก่อนแล้วถึงจะใช้ชีวิตได้ ถึงจะเรียนรู้อะไรใหม่ๆได้ ถ้าไม้มีอะไรอยู่เลย ศูนย์มาเลย มันก็ไม่มีทางเริ่มนับหนึ่งในการจะเรียนรู้เรื่องราวใดๆได้เลยแน่นอน
ส่วนกับเรื่องข้อมูลตั้งต้นเรื่องกฏแห่งเหตุและผลลัพธ์ ซึ่งเป็นข้อมูลที่เป็นความจริงสากลที่ไม่มีคนที่สติปัญญายังคงปกติอยู่คนใดปฏิเสธ แต่คนกลุ่มนี้ก็กลับออกมาบอกว่า กฏๆนี้ มันเป็นผลมาจากการสังเกตุอีกทีเหมือนกัน ไม่ใช่ข้อมูลตั้งต้นที่ถูกติดตั้งไว้แล้วอะไรทั้งนั้น และมันก็ไม่ใช่ความจริงสากลด้วย ไม่เสมอไปว่าจะต้องถูกต้องเสียเสมอไป อาจจะมีบางตัวอย่างที่ไม่เป็นไปตามกฏก็ได้
อย่างเรื่องการมีขึ้นมาของโลกและสรรพสิ่ง คนกลุ่มนี้จะมองว่าโลกมีขึ้นมาอย่างไม่มีที่มาที่ไป ไม่มีเหตุที่ส่งผลให้โลกมีขึ้น แต่เมื่อหันมาสู่เรื่องในชีวิตประจำวัน คนกลุ่มนี้กลับยึดมั่นกันอย่างเหนียวแน่นกับกฏๆนี้เสียแทน เวลาป่วยพวกเขาจึงถามหายา เพราะเชื่อว่ายาเป็นเหตุให้หายป่วย เวลาหิวก็หาของกิน เพราะเชื่อว่าการกินเป็นเหตุให้เกิดการไม่รู้สึกหิว ฯลฯ
น่าแปลกที่เรื่องราวที่อยู่ในทำนองเดียวกัน แต่กลับถูกเชื่อถือกันไปกันคนละทิศคนละทางจากคนกลุ่มเดียวกัน มันย้อนแย้งกันเองอย่างที่สุด
เมื่อเป็นแบบนี้ พวกเขาจึงเลือกที่จะออกมาปฏิเสธเรื่องหลักคิดตั้งต้นที่ถูกติดตั้งไว้แล้วทั้งหมดลงเสียแทน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ หลักคิดเรื่องเหตุและผล และพวกเขายังพยายามเข้ามาอธิบายปรากฏการณ์ที่มันเป็นเหตุเป็นผลกันไปในทิศทางที่เป็นการปฏิเสธความเชื่อมโยงกันของเรื่องที่เป็นเหตุกับเรื่องที่เป็นผลอีกด้วยว่า จริงๆแล้วมันเป็นเพียงเรื่องที่เกิดขึ้นไปพร้อมๆกันเท่านั้น ไม่ได้เป็นเหตุและเป็นผลต่อกันแต่อย่างใด (คล้ายๆกันกับแนวคิดของพวกอะชาอิเราะฮฺ)
หินที่ถูกขว้างไปกระทบกระจกไม่ใช่เหตุที่ส่งผลให้กระจกแตก เพียงแต่การแตกของกระจกมันเกิดขึ้นตอนที่หินมากระทบมันพอดีเท่านั้นเอง
การที่เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายไม่ใช่เหตุให้เกิดการป่วยเพียงแต่การป่วยมันเกิดขึ้นตอนที่เชื้อโรคมันเข้าไปในร่างกายแล้วพอดีเท่านั้น
คนพวกนี้แม้จะพยายามสร้างภาพกันออกมาให้คนอื่นหลงเข้าใจว่าพวกตนเชิดชูวิทยาศาสตร์ เชิดชูการทดลองและการพิสูจน์เชิงประจักษ์ พร้อมทั้งมักจะอ้างกันอีกด้วยว่า พวกเราไม่เชื่อเรื่องที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้โดยช่องทางการรับรู้โดยตรงตามปกติที่พวกเรามีเพราะเรื่องพวกนั้นมันพิสูจน์แบบเห็นๆไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกันคำอธิบายข้างต้นของพวกเขา ที่พวกเขาเองใช้มันเป็นตัวประสานระหว่างจุดยืนอันย้อนแย้งของพวกเขาเองในเรื่องที่ว่าไว้นี้ กลับเป็นการอธิบายที่เข้ามาทำลายคำประกาศที่ว่าของพวกเขาลงซ้ำยังเข้ามาทำลายล้างวิทยาศาสตร์และการทดลองทั้งหมดลงแบบถอนรากถอนโคนจนไม่เหลือชิ้นดี
เพราะการวิจัยทางวิทยาศาสตร์นั้น ล้วนตั้งอยู่บนการเฝ้าสังเกตุเหตุและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากเหตุนั้นทั้งสิ้น ดังนั้น ถ้าว่ากันตามคำอธิบายของคนกลุ่มนี้แล้ว หากมีนักวิจัยเป็นล้านๆคนต่างคนต่างทดลองเอาเกลือไปใส่ไว้ในน้ำแล้วทำการคน จนเกลือละลายไปกับน้ำ ในมุมของพวกเขาผลการทดลองนี้ก็ยังไม่สามารถนำมาตั้งเป็นข้อเท็จจริงสากลและนำไปใช้เป็นข้อสรุปสำหรับเรื่องของเกลือกับน้ำทั้งหมดได้อยู่ดี เพราะมันอาจจะมีสักครั้งหนึ่งในอนาคตที่เกลือชนิดเดียวกันและน้ำชนิดเดียวกันกับที่ได้มีการทดลองไว้ พอเอาไปคนเข้ากันมันอาจจะไม่เกิดการละลายหายไปของเกลือก็เป็นได้
หรือไม่พวกเขาก็อาจจะออกมาแก้ต่างได้ว่า ที่เกลือมันละลายไม่ได้มีเหตุมาจากการที่น้ำเป็นเหตุให้เกิดการละลายของเกลือ แต่มันละลายของมันเองโดยไม่มีสาเหตุ ตอนที่มันถูกคนเข้ากับน้ำพอดีเท่านั้น
ซึ่งสาเหตุที่ทำให้คนพวกนี้ต้องพยายามวิ่งหนีออกจากการยอมรับในการมีอยู่จริงของข้อมูลตั้งต้น และการเป็นความจริงสากลของข้อมูลตั้งต้นนั้น เป็นเพราะว่า ถ้าหากพวกเขายอมรับในประเด็นที่ว่านี้ มันเท่ากับเป็นการบีบให้พวกเขาต้องยอมรับว่ามีผู้ที่จงใจทำการติดตั้งข้อมูลตั้งต้นเหล่านี้ไว้ในสัญชาตญาณของคนเรา ซึ่งต้องเป็นผู้ที่มีความรอบรู้ มีความสามารถ มีเหตุผล มีอำนาจ และมีความเมตตา ซึ่งสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง ไม่มีตัวตน ไม่มีความสามารถ ไม่มีเจตนา มีแต่ความมั่วและความบังเอิญนั้น ย่อมไม่มีทางทำเรื่องนี้ได้แน่นอนไปโดยปริยายนั่นเอง
คำอธิบายนี้ของคนพวกนี้ เป็นคำอธิบายที่ทำให้การทดลองทางวิทยาศาสตร์ตลอดจนทางการแพทย์และอื่นๆกลายไปเป็นกิจกรรมที่ไร้สาระไปโดยปริยาย เพราะก็ในเมื่อ ไวรัสโควิด ไม่ใช่สาเหตุของการป่วยเป็นโรคโควิด แต่โรคโควิดมันแค่มาเกิดขึ้นพอดีตอนที่ไวรัสโควิดมันเข้าไปในร่างกายคนเราเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ การไปทุ่มทุนวิจัยวัคซีนเพื่อป้องกันโรคโควิด จึงเป็นเรื่องที่ไร้สาระและสูญเปล่าที่สุด ถ้าว่ากันตามคำอธิบายนี้ของพวกเขา
เพราะสุดท้าย เราก็สามารถจะสรุปได้ว่า โรคๆนี้ มันก็เหมือนๆกันกับโลกและจักวาลนี่แหละ ที่มันมีขึ้นมาโดยไร้สาเหตุ ไร้ซึ่งสิ่งใดๆที่เป็นเหตุให้มันมีขึ้นมานั่นเอง
จริงๆแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง คำถามที่ ว่า “ทำไม” ควรจะต้องไม่มีให้มนุษยชาติได้รู้จักกับมันและต้องไม่มีบัญญัติไว้ในภาษาใดๆเลยทั้งสิ้นของคนเราเลยไปแล้วตั้งแต่ต้น
ซึ่งในความเป็นจริง ไม่มีพวกปฏิเสธพระเจ้าคนใดยอมรับต่อแนวคิดนี้ของพวกตนในโลกแห่งความเป็นจริงอยู่แล้ว
เพราะถ้าหากมีคนมาขับรถชนใครสักคนในพวกเขาเข้า แล้วอ้างว่า พวกคุณจะมาเอาผิดผมไม่ได้นะ เพราะการขับรถเข้าไปกระแทกของผมมันไม่ใช่เหตุให้เกิดการโดนชนตามแนวคิดของพวกคุณ หรือถ้ามีคนเอามีดมาแทงพวกเขาแล้วบอกว่า พวกคุณจะมาเอาผิดผมไม่ได้เพราะการที่ผมเอามีดไปแทงพวกคุณมันไม่ใช่เหตุที่ทำให้พวกคุณได้รับความบาดเจ็บสักหน่อยตามแนวคิดของพวกคุณ ก็คงไม่มีพวกเขาสักคนจะยอมรับกับคำพูดนี้ซึ่งเป็นแนวคิดของพวกเขาเองได้แน่นอน
แต่หากพวกเรามาพูดถึงเรื่องที่มันใหญ่และมีความสำคัญมากกว่านั้น อย่างเรื่องการมีขึ้นของโลก,จักวาลและสรรพสิ่ง คนพวกนี้กลับเลือกที่จะยอมรับในคำอธิบายที่ฟังไม่ขึ้นนี้อย่างเชิดหน้าชูตาเสียแทน มันน่าประหลาดใจเสียเหลือเกินจริงไหมครับ?
ด้วยเหตุนี้ เราจึงขอบอกกับพวกปฏิเสธพระเจ้าว่า ถ้าหากเรื่องของหลักคิดตั้งต้นซึ่งประมวลไว้ด้วยเรื่องที่เป็นความจริงสากลซึ่งถูกติดตั้งไว้แล้วในสัญชาตญาณของคนเรานี้ เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงตามที่คุณอ้าง แล้วคุณจะอธิบายยังไง กับการยอมรับของผู้คนทั้งหมดที่มีต่อเรื่องๆนี้ว่า มันมีอยู่จริงและเป็นความจริง แม้แต่ท่าที่ของพวกเขาเองในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับชีวิตจริง ก็ยังเป็นท่าทีที่ให้การยอมรับในการมีอยู่จริงและความเป็นจริงของหลักคิดตั้งต้นเหล่านี้อีกด้วย
คนพวกนี้ก็จะออกมาบอกว่า ที่คนเราให้การยอมรับกันในเรื่องนี้ก็เนื่องมาจาก -ไหนบอกว่า เรื่องเหตุและผลไม่ใช่อะไรที่มีอยู่จริงไง?- การที่คนเราพัฒนาสายพันธ์ของตนเองขึ้นมาตามแนวคิดของดาร์วินไง ความมั่วและการเลือกสรรของกลไกลที่มันเดินไปเองแบบมั่วๆ ซึ่งนั่นก็แปลว่า การยอมรับในการมีอยู่ของข้อมูลตั้งต้นเหล่านี้ ก็อาจเป็นเพียงแนวคิดลวงๆ ที่สติปัญญาของเผ่าพันธ์คนเรามโนกันไว้ขึ้นมาเองเพื่อให้เกิดการอยู่รอดของเผ่าพันธ์เฉยๆก็ได้ เพราะไม่มีอะไรรับรองได้ว่า ปัญญาของพวกเรามันได้รับการพัฒนาขึ้นมาจนถึงขั้นที่จะสามารถรับรู้ถึงข้อเท็จจริงๆของสรรสิ่งได้แล้วนั่นเอง
ถึงตรงนี้ ก็เท่ากับว่า คำตอบนี้ เป็นการยืนยันให้เราทราบว่า การปฏิเสธพระเจ้านั้น มันไม่ได้ส่งผลแค่เพียงการเข้ามาสร้างความกังขาในการมีอยู่จริงของเรื่องที่เป็นหลักคิดตั้งต้นที่มีอยู่ในจิตใจคนเรา และเรื่องของความจริงสากลเท่านั้น แต่มันยังส่งผลเลยไปถึงการทำลายความน่าเชื่อถือของสติปัญญาของคนเราอีกด้วย
เมื่อเป็นแบบนี้ เราจึงต้องขอบอกกับพวกที่ปฏิเสธพระเจ้าว่า แนวคิดปฏิเสธพระเจ้าของพวกคุณนี้ บอกให้พวกคุณเองเชื่อว่า มันเป็นไปได้ที่สติปัญญาของพวกคุณเองจะหลอกลวงพวกคุณ และเจ้าสติปัญญาของพวกคุณนี้ไม่ใช่อะไรที่มีประสิทธิภาพพอที่จะรู้จักกับความจริงได้ และมันก็ไม่ใช่แหล่งข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือพอที่พวกคุณจะเชื่ออะไรตามที่มันบอกด้วย แล้วพวกคุณหันไปเชื่อในสิ่งที่มันบอกได้อย่างไงกัน?
พวกคุณมักจะอ้างในฐานะที่เป็นคนที่ปฏิเสธพระเจ้าว่า พวกคุณเป็นพวกที่ประเทืองปัญญา และมักใช้ปัญญาในการวิเคราะห์และตัดสินข้อมูลว่ามีค่าพอจะเชื่อถือตามหรือไม่มีค่าพออยู่เสมอ แต่ตัวแนวคิดปฏิเสธพระเจ้าของพวกคุณกลับบอกคุณว่า สติปัญญาไม่ใช่อะไรที่น่าเชื่อถือและไม่ได้ให้คำตอบที่ถูกต้องและน่าวางใจใดๆแก่พวกคุณเลย แต่ถึงอย่างนั้น พวกคุณก็ยังจะรั้นออกมาบอกว่า ยังไงฉันก็จะเชื่อปัญญาของฉัน เพราะปัญญาของฉันที่เป็นสิ่งที่แนวคิดของฉันเองมองว่า มันเป็นแหล่งข้อมูลที่ไม่มีความน่าเชื่อถือนั้น บอกฉันไว้ให้เชื่อๆมันไปเถอะ ก็เท่านั้น
แม้แต่ดาร์วินเอง ก็รู้สึกถึงปัญหาๆนี้ เขาบอกไว้ว่า “But then has horrid doubt whether convictions of man’s mind, which has been developed from lower animals, are at all trustworthy.”
“แต่แล้วก็มีข้อสงสัยที่น่าสยดสยองว่า ความเชื่อมั่นของสติปัญญาของมนุษย์ซึ่งพัฒนามาจากสัตว์ชั้นต่ำนั้น เป็นอะไรที่น่าเชื่อถือจริงๆหรือ”
ด้วยเหตุนี้จึงถือเป็นท่าทีที่แปลกมาก ในการที่พวกที่ปฏิเสธพระเจ้ามักจะมากล่าวอ้างว่า พวกตนเป็นพวกที่ให้คุณค่าและให้เกียรติกับปัญญา ส่วนพวกที่เชื่อในพระเจ้านั้นเป็นพวกไม่เห็นคุณค่าของปัญญาเป็นพวกที่งมงาย ทั้งๆที่แนวคิดปฏิเสธพระเจ้านั้น ในที่สุดแล้วมันก็ดึงให้คนที่เชื่อตามมันทะลุเข้าไปสู้การจาบจ้วงในความน่าเชื่อถือของปัญญาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
พวกปฏิเสธพระเจ้ามักจะกล่าวหามุสลิมเราว่า งมงาย เวลาที่เราเชื่อในข้อมูลที่ท่านร่อซูลของเรา ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซั้ลลัม ผู้ที่เป็นที่ยอมรับในความน่าเชื่อถือและความสัจจริงในสิ่งที่เขา นำมาบอก ทั้งๆที่การเชื่อถือของเราที่มีต่อท่าน ไม่ได้เกิดจากการเชื่อตามคำพูดของท่านที่ว่าไว้เพียงเท่านั้น แต่เป็นเพราะมันมีหลักฐานภายนอกอีกมากมายที่ยืนยันว่า ท่านพูดจริง
แต่ตัวของคนพวกนั้นเองกลับยอมเชื่ออย่างงมงายตามข้อมูลที่ปัญญาของพวกตนที่พวกตนเองก็ไม่เชื่อถือและมั่นใจในความถูกต้องของข้อมูลของมันได้บอกไว้ เพียงเพราะมันมาบอกกับพวกเขาว่า เชื่อๆฉันไปเถอะนะ เท่านั้น
เมื่อรูปการณ์เป็นเช่นนี้ คนพวกนี้ก็จึงจำต้องออกมาบอกว่า แล้วใครบอกคุณล่ะครับว่า ความจริงสากลมันมีอยู่จริง สิ่งที่มี มันมีเพียงความจริงแล้วแต่จะมอง ความจริงแล้วแต่มุมมองของแต่ละคนต่างหาก ที่ต้องออกมาพูดแบบนี้ เพราะการออกมายอมรับว่า ความจริงสากลมีอยู่จริงๆนั้น มันจะโยงไปสู่การยอมรับในการมีอยู่จริงของฐานคิดตั้งต้น และของสัญชาตญาณความเป็นคนที่มีใครสักคนจงใจติดตั้งมันไว้ในตัวตนของคนเรา ซึ่งก็เท่ากับเป็นการกำกับให้ต้องยอมรับในการมีอยู่จริงของพระเจ้าในที่สุดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้นั่นเอง
พวกเขาจึงต้องพยายามหาคำอธิบายต่างๆนานา มาใช้เพื่อจะได้ไม่ต้องยอมสยบต่อข้อเท็จจริงตรงนี้ แม้ว่าคำอธิบายดังกล่าวจะเป็นอะไรที่ไร้สาระและฟังไม่ขึ้นแค่ไหนก็ตาม
เราจึงต้องถามคนพวกนี้กลับไปว่า แล้วคำพูดนี้ของคุณที่บอกว่า ความจริงมีแค่ความจริงแล้วแต่จะมองเท่านั้น มันเป็นความจริงจริงๆไหม?
ซึ่งถ้าหากพวกเขาตอบมาว่า ใช่ ก็เท่ากับว่า พวกเขายอมรับว่า ความจริงสากลมีอยู่จริง ซึ่งก็แปลว่า พวกเขายอมรับว่า คำอ้างของพวกเขาเองเกี่ยวกับเรื่องๆนี้มันผิด
ส่วนถ้าพวกเขาตอบว่า ไม่ใช่ ถ้าอย่างนั้นพวกเขาเองก็ไม่มีสิทธิ์มาวิจารณ์คนอื่นที่ไม่เชื่อคำของพวกเขาและไม่มีสิทธ์มาหาว่า คนอื่นที่ไม่เชื่อพวกเขา เป็นพวกงมงาย ไม่เช่นนั้น ก็จะแปลได้ว่า พวกเขาเป็นพวกปากอย่างใจอย่าง อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยนั่นเอง
ด้วยเหตุนี้พวกที่ปฏิเสธพระเจ้าจึงเป็นพวกที่ปฏิเสธข้อเท็จจริงพื้นฐาน ที่ว่า พระเจ้าคือ ผู้ที่สร้างสรรพสิ่งทุกๆสิ่งขึ้นมาบนความจริง และทรงมีเหตุผลที่ลึกซึ้งและเหมาะสมอย่างที่สุดในการวางกฏเกณฑ์ที่ตายตัวต่างๆสำหรับสรรพสิ่งเหล่านั้นไว้ พระองค์ทรงบรรจุสัญชาติญาณไว้ให้แก่มนุษย์ ซึ่งเป็นสัญชาติญาณที่ให้การยอมรับในเรื่องหลักคิดพื้นฐานต่างๆที่มีติดตัวมากับมนุษยชาติอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ โดยฐานคิดเหล่านี้เป็นฐานที่คอยวางพื้นให้แก่สติปัญญาของคนเราให้สามารถใช้งานในการศึกษาและเรียนรู้ข้อเท็จจริงของสรรพสิ่งต่างๆได้ต่อไป ลงทั้งหมดนั่นเอง
เพราะสำหรับพวกปฏิเสธพระเจ้าแล้ว !
อัลลอฮฺ (พระเจ้า) ไม่มีอยู่จริง ด้วยเหตุนี้ การสร้างสิ่งต่างๆให้มีขึ้นมาจึงไม่ใช่เรื่องที่มีอยู่จริง , เหตุผลที่สิ่งต่างๆ มีขึ้นมาจึงไม่มี, กฏเกณ์ตายตัวสำหรับสรรพสิ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีอยู่จริง, สัญชาติญาณเป็นเรื่องที่ไม่มีอยู่จริง, ประเด็นที่เป็นฐานคิดตั้งต้นที่สติปัญญาทั้งหมดต่างให้การยอมรับในความเป็นจริงของมันซึ่งถูกติดตั้งไว้ในสัญชาตญาณของคนเรานั้น เป็นเรื่องที่ไม่มีอยู่จริง, สติปัญญาของคนเราที่ให้ข้อมูลที่เชื่อถือได้ เป็นเรื่องที่ไม่มีอยู่จริง, ความจริงจริงๆเป็นเรื่องที่ไม่มีอยู่จริง, ความจริงสากลไม่มีจริง, ผลการศึกษาวิจัยที่เชื่อถือได้ ที่สามารถนำไปเป็นมาตรฐานให้กับกรณีอื่นๆ และสามารถนำมาตั้งเป็นกฏได้นั้น ไม่มีอยู่จริง, ข้อมูลที่เป็นจุดร่วมของสติปัญญาทั้งหมดนั้นไม่มีอยู่จริง, การมีอยู่ของสติปัญญานั้น ไม่มีอยู่จริง, ตัวตนของคุณเอง ไม่ใช่เรื่องที่มีอยู่จริง...
وَلَا تُطِعْ مَنْ أَغْفَلْنَا قَلْبَهُ عَن ذِكْرِنَا وَاتَّبَعَ هَوَاهُ وَكَانَ أَمْرُهُ فُرُطًا ـ الكهف : 28
“และเจ้าจงอย่างได้ไปเชื่อฟังบุคคลที่เราได้ทำให้ใจของเขาเฉยเมยต่อการรำลึกถึงเรา และเขายังทำการดำเนินตามอารมณ์ของตนอีกด้วย ซึ่งกิจการของเขานั้น เป็นเรื่องที่สะเปะสะปะ”
ที่ว่าไว้ทั้งหมดนี้ บอกให้เราทราบอย่างชัดเจนว่า ข้อเท็จจริงใดๆก็ตามแต่ ไม่สามารถก่อตัวขึ้นมาได้โดยปราศจากการเชื่อเรื่องการมีอยู่จริงของพระเจ้า พระผู้เป็นที่พึ่งสำหรับทุกๆสิ่ง ในขณะที่พระองค์เองไม่ทรงต้องพึ่งสิ่งใดๆทั้งสิ้น
จากตรงนี้ จึงทำให้เราเข้าใจประโยคอันลึกซึ้งของบรรดานักวิชาการที่ว่าไว้ว่า
“การรู้จักอัลลอฮฺ คือ ฐานสำหรับการรู้จักสิ่งอื่นๆ ทุกๆสิ่ง”
ท่าน อิบนุกอยยิม ร่อฮิมะฮุ้ลลอฮฺได้กล่าวไว้ว่า
“ และขอให้คุณพิจารณาสภาพของสรรพสิ่งในจำพวกต่างๆทั้งหมดดู ทั้งพวกที่อยู่เบื้องบนและอยู่เบื้องล่าง พิจารณาไปที่ทุกๆส่วนของมัน คุณก็จะพบว่ามันคือ ประจักษ์พยานที่ให้การยืนยันแก่ผู้ที่สร้างมันขึ้นมาและแก่ผู้ที่เป็นเจ้าของครอบครองมันไว้
ด้วยเหตุนี้ การปฏิเสธพระผู้สร้างสรรพสิ่ง สำหรับสติปัญญาและสามัญสำนึกแล้ว จึงเป็นเรื่องที่อยู่ในสถานะเดียวกันกับการปฏิเสธวิชาความรู้ที่มีอยู่ลง ไม่มีข้อแตกต่างใดๆ กันเลยระหว่างสองเรื่องนี้ ยิ่งไปกว่านั้น จริงๆแล้ว การที่พระผู้สร้างทรงเป็นหลักฐานที่บ่งชี้ถึงสิ่งที่ถูกสร้าง การที่ผู้ที่ทรงกระทำทรงเป็นหลักฐานที่บ่งชี้ถึงผลงานการกระทำนั้น มันเป็นเรื่องที่มีความชัดเจนมากกว่ากรณีกลับกัน สำหรับเหล่าสติปัญญาที่บริสุทธิ์ ที่เจิดจรัสและสูงส่ง ตลอดจนสำหรับสัญชาตญาณที่ถูกต้องเสียอีก...
ผมเคยได้ยินท่านชัยคุ้ลอิสลาม ตะกียุ้ดดีน อิบนุตัยมียะฮฺ ขออัลลอฮฺทรงพอพระทัยท่านด้วย ได้กล่าวว่า “คุณจะมาขอหลักฐานที่บ่งถึงพระผู้ที่ทรงเป็นหลักฐานที่บ่งถึงสรรพสิ่งทุกๆสิ่งได้อย่างไรกัน” ซึ่งท่านมักจะยกตัวอย่างเกี่ยวกับประเด็นนี้โดยการกล่าวถึงกลอนบทที่ว่าไว้ว่า
وليس يصح في الأذهان شيء إذا احتاج النهار إلى دليل
"ในการรับรู้คงจะไม่มีอะไรถูกต้องได้อีกแล้ว ถ้าขนาดเวลากลางวันยังต้องการหลักฐานมาบ่งชี้ให้รู้ว่ามันคือ ตอนกลางวันอีก"
เป็นที่ทราบกันว่า การมีอยู่จริงของพระเจ้านั้น เป็นเรื่องที่ชัดเจนมากสำหรับสติปัญญาและสามัญสำนึกยิ่งกว่าการมีอยู่ของเวลากลางวันเสียอีก ดังนั้น ใครที่ไม่เห็นข้อเท็จจริงนี้ในสติปัญญาของตัวเอง หรือในสัญชาตญาณของตัวเอง เขาก็จงสงสัยในความผิดปกติของมันทั้งคู่ได้เลย"
(مدارج السالكين 1/297.)
أَلَمْ تَرَ إِلَى الَّذِينَ يُجَادِلُونَ فِي آيَاتِ اللَّهِ أَنَّىٰ يُصْرَفُونَ ، غافر: 69
“เจ้าไม่ได้เห็นพวกที่ทำการโต้เถียงเกี่ยวกับสัญญาณต่างๆของเราแล้วไม่ใช่หรือว่า พวกเขาถูกผันให้หลุดออกไปได้อย่างไรกัน”