สัญชาตญาณ กับการมีอยู่จริงของพระเจ้า 1
อาบีดีณ โยธาสมุทร .... แปลเรียบเรียง
بسم الله الرحمن الرحيم
หนึ่งในเรื่องเป็นที่เป็นข้อมูลสำคัญที่ยืนยันว่า พระเจ้าทรงมีอยู่จริงนั้น ได้แก่เรื่องของสัญชาตญาณ (Instinct) หรือที่รู้จักกันในภาษาอาหรับว่า الفطرة ซึ่งลักษณะของข้อมูลที่เป็นสัญชาตญาณที่ทำหน้าที่ยืนยันเกี่ยวกับเรื่องของการมีอยู่จริงของพระเจ้านั้น แบ่งโดยสรุปได้เป็นสองลักษณะหลักๆ ดังนี้
1. ข้อมูลที่บ่งบอกถึงประเด็นนี้ไว้โดยตรง
2. ข้อมูลที่อยู่ในรูปของข้อมูลตั้งต้นซึ่งเป็นฐานที่ส่งต่อไปสู่การยอมรับในการมีอยู่จริงของพระเจ้าอย่างปฏิเสธไม่ได้อีกทอดหนึ่ง
1. ข้อมูลที่บ่งถึงประเด็นเรื่องการมีอยู่ของพระเจ้าไว้โดยตรง
สัญชาตญาณที่ทำหน้าที่บ่งถึงการมีอยู่จริงของพระเจ้านั้น นักวิชาการได้อธิบายไว้ว่า มันคือ พลังที่ถูกเก็บไว้ข้างในจิตใจของคนเราที่กำหนดให้คนเราต้องยอมรับในเรื่องการมีอยู่จริงของพระเจ้าอย่างปฏิเสธไม่ได้
ซึ่งพลังที่ว่านี้จะส่งผลลัพธ์ออกมาจนชัดเจนขึ้นได้นั้น ก็ต่อเมื่อมีเงื่อนไขในการปรากฏผลลัพธ์ของมันอยู่ด้วยอย่างครบถ้วนและต่อเมื่อมันได้ปลอดจากเรื่องที่ทำหน้าที่ขวางกั้นหรือกีดกันการปรากฏขึ้นของของผลลัพธ์จนหมดสิ้นแล้วเท่านั้น เพราะถ้าไม่เป็นเช่นนั้น ก็มีความเป็นไปได้ที่ผลลัพธ์ของพลังแห่งสามัญสำนึกที่ว่าอาจจะไม่ปรากฏออกมาจนเป็นที่รับรู้และเป็นที่ยอมรับ
ดังที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮูอลัยฮิวะซั้ลลัม กล่าวไว้ว่า
ما مِن مَوْلُودٍ إِلّا يُولَدُ على الفِطْرَةِ، فأبَواهُ يُهَوِّدانِهِ وَيُنَصِّرانِهِ وَيُشَرِّكانِهِ
“ไม่มีทารกคนใดที่ถูกคลอดออกมา นอกจากจะล้วนถูกคลอดออกมาบนสัญชาตญาณนี้กันทั้งสิ้น แต่แล้วพ่อแม่ของเขาก็เข้ามาทำให้เขากลายไปเป็นยิว หรือกลายไปเป็นคริสต์ หรือกลายไปเป็นพวกที่ตั้งภาคีต่อพระเจ้าเสียแทน”
( บันทึกโดยมุสลิม)
ท่านอิบนุตัยมียะฮฺ กล่าวไว้ว่า
“เมื่อใดก็ตามที่มีการแจ้งเอาไว้ว่า คนเรานั้นถูกให้คลอดกันออกมาบนสัญชาตญาณแห่งอิสลามกันอยู่แล้ว หรือถูกสร้างขึ้นในฐานะผู้ที่มุ่งสู่พระเจ้าอยู่แล้วหรือข้อความใดๆ ที่ให้เนื้อหาที่ว่าไว้ในทำนองนี้ ก็ขอให้ทราบไว้ว่า จุดมุ่งหมายของข้อความเหล่านี้ไม่ได้ต้องการจะบ่งบอกว่า ตอนที่คนเราคลอดออกมาจากท้องแม่ของตนเองนั้น จะคลอดออกมาโดยที่ตัวเองรู้จักศาสนานี้อยู่แล้ว หรือมีความต้องการที่จะเข้าหาศาสนานี้อยู่แล้วแต่อย่างใด ทั้งนี้เนื่องจาก อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสว่า
وَاللَّهُ أَخْرَجَكُم مِّن بُطُونِ أُمَّهَاتِكُمْ لَا تَعْلَمُونَ شَيْئًا.
(النحل:78)
“และอัลลอฮฺทรงทำให้พวกเจ้าออกมาจากท้องของมารดาของพวกเจ้า โดยที่พวกเจ้านั้นไม่รู้อะไรสักเรื่องเลย”
แต่ว่าที่จริงแล้ว สัญชาตญาณของคนเรานั้น จะเป็นตัวที่คอยชี้นำและคอยกำกับเขาให้มุ่งสู่อั้ลอิสลาม มุ่งสู่การรู้จักกับอั้ลอิสลามและมุ่งสู่การรักอั้ลอิสลาม ดังนั้น จึงเท่ากับว่าตัวของสัญชาตญาณเอง มันจะก่อให้เกิดการยอมรับต่อพระผู้สร้างและการรู้สึกรักพระองค์และมอบความบริสุทธิ์ในการยึดถือแด่พระองค์ขึ้นโดยปริยายนั่นเอง ซึ่งผลลัพธิ์ที่ว่านี้ของสัญชาตญาณเป็นเรื่องที่ค่อยๆเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของตัวของสัญชาตญาณนั้นๆ เมื่อใดก็ตามที่มันปลอดจากเรื่องที่จะเข้ามาขัดขวางมันไว้"
(ดั้รอุตะอารุดฯ 8/383)
ตัวสัญชาตญาณเกี่ยวกับการมีอยู่จริงของพระเจ้าที่กำลังพูดถึงอยู่นี้ เป็นสิ่งที่คนเราสามารถสัมผัสถึงได้โดยไม่ต้องอาศัยข้อมูลจากแหล่งอื่นใดให้เข้ามาทำการพิสูจน์หรือสนับสนุน โดยคนเราเองจะยิ่งรู้สึกถึงมันได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นไปอีก ในยามที่ตนต้องตกอยู่ในภาวะคับขัน ตกอยู่ในสภาพที่จะไม่รอดแน่ๆอยู่แล้ว เมื่อไหร่ก็ตามที่คนเราคนไหนต้องตกลงไปอยู่ในสภาพที่ว่า เมื่อนั้นสัญชาตญาณของเขาจะทำหน้าที่นำเขาเข้าสู่ข้อมูลสำคัญข้อมูลหนึ่งที่เขาไม่มีทางปฏิเสธมันได้เลย ซึ่งก็ได้แก่ข้อมูลที่ว่า ต้องมีผู้ที่มีพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่และสูงส่งที่สามารถที่จะช่วยให้เขารอดจากภาวะคับขันนั้นไปได้อยู่แน่ๆ พร้อมทั้งยังนำให้เขารับรู้ถึงความรู้สึกต้องการพึ่งพาต่อผู้ยิ่งใหญ่ผู้นั้น และรับรู้ถึงการรู้สึกยอมสยบต่อผู้ยิ่งใหญ่ผู้นั้นอยู่เสมอทันทีอีกด้วย
حَتَّىٰ إِذَا كُنتُمْ فِي الْفُلْكِ وَجَرَيْنَ بِهِم بِرِيحٍ طَيِّبَةٍ وَفَرِحُوا بِهَا جَاءَتْهَا رِيحٌ عَاصِفٌ وَجَاءَهُمُ الْمَوْجُ مِن كُلِّ مَكَانٍ وَظَنُّوا أَنَّهُمْ أُحِيطَ بِهِمْ ۙ دَعَوُا اللَّهَ مُخْلِصِينَ لَهُ الدِّينَ لَئِنْ أَنجَيْتَنَا مِنْ هَٰذِهِ لَنَكُونَنَّ مِنَ الشَّاكِرِينَ
(يونس: 22)
“จนกระทั่งเมื่อพวกเจ้าต้องมาอยู่กันในเรือ โดยมันได้แล่นพาให้พวกเขาล่องไปด้วยสายลมที่ดีจนทำให้พวกเขารู้ดีใจกัน ทันใดนั้นลมพายุกรรโชกแรงก็โหมกระหน่ำเข้าใส่เรือลำนั้น ลูกคลื่นจากทุกทิศทางพากันมุ่งเข้ามาหาพวกเขา
จนพวกเขาคิดกันว่าพวกเขาโดนล้อมไว้จนไร้ทางออกเสียแล้ว เมื่อนั้นพวกเขาจะพากันวอนขอกันต่ออัลลอฮฺ อย่างบริสุทธิ์ในการยึดถือต่อพระองค์กันว่า
ถ้าหากพระองค์ท่านทรงช่วยให้พวกเรารอดไปได้จากเหตุการณ์นี้ พวกเราก็จะเป็นพวกที่รู้คุณกันอย่างแน่นอน”
และจากข้อเท็จจริงนี้นี่เอง จึงมีภาษิตฝรั่งอยู่ประโยคหนึ่งที่ว่า “There are no atheists in foxholes” “ที่สนามเพลาะย่อมไม่มีคนที่ปฏิเสธพระเจ้าอยู่ในนั้น”
ซึ่งแม้แต่บรรดานักวิชาการที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางเองยังต่างพากันยอมรับในสัญชาตญาณที่มีอยู่ในจิตใจเกี่ยวกับประเด็นนี้ ถึงขั้นต้องแตกแขนงวิชาออกมาเป็นการเฉพาะเพื่อศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างระบบประสาทและสัญชาตญาณเรื่องการยึดถือต่อพระเจ้า โดยใช้นามว่า “Neurotheology” ยิ่งไปกว่านั้นยังมีความพยายามที่จะค้นหายีนที่ทำหน้าที่ควบคุมเกี่ยวกับสัญชาตญาณในเรื่องนี้กันเลยทีเดียวอีกด้วย
โดยนายดีน ฮาเมอร์ นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกาที่ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องของยีน ได้เผยแพร่หนังสือที่พูดเกี่ยวกับเรื่องๆนี้ไว้โดยใช้ชื่อว่า “ยีนแห่งพระเจ้า การศรัทธาถูกบรรจุไว้ในยีนของพวกเราได้อย่างไรกัน?” “The God Gene: how faith is hardwired into our genes”
ประเด็นที่หยิบยกเอาตัวอย่างท่าทีของบรรดาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางบางคนมากล่าวไว้ให้ได้รับทราบกันนี้ ก็เพื่อต้องการจะเน้นให้ทราบเกี่ยวกับข้อเท็จจริงๆหนึ่ง ซึ่งเป็นบ่อเกิดและเป็นแรงกระตุ้นของการเข้ามาทำการค้นคว้าและวิจัยในประเด็นที่กล่าวถึงไว้ของบรรดาผู้เชี่วชาญเหล่านี้ ซึ่งก็ได้แก่ข้อเท็จจริงที่ว่า อุดมการณ์เรื่องการยอมรับในการมีอยู่จริงของพระเจ้านั้น เป็นอุดมการณ์ที่ฝังตัวลงไปลึกมากภายในเผ่าพันธุ์ของมนุษยชาติ จนเป็นเรื่องที่คู่ควรต่อการเข้ามาทำการค้นคว้าและวิจัยนั่นเอง ซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นอะไรที่ต่างกันอย่างไร้ข้อสงสัยกับทัศนคติของคนเราที่มีต่อตัวละครสมมุติต่างๆ ที่คนเราแต่งกันขึ้นมาเองในนิยาย
เป็นที่น่าสังเกตุว่า บางกลุ่มของพวกที่ปฏิเสธต่อพระเจ้า มักพยามออกมาพูดกันเสมอว่า พวกตนไม่ได้มีความต้องการใดๆที่จะต้องพึ่งพระเจ้า หรือหลายครั้งถึงขั้นออกมาด่าทอและแสดงอาการลบลู่ต่อพระเจ้ากันเสียด้วยซ้ำ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจอย่างมากและยังเป็นตัวบ่งบอกที่ชัดเจนอีกด้วยว่า คนกลุ่มนี้กำลังพยายามมีความเชื่อที่มันขัดกับสัญชาตญาณของความเป็นคนที่ฝังลึกอยู่ภายในจิตใจของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้ากันอยู่
ซึ่งมันทำให้พวกเขาต้องพยายามแสดงพฤติกรรมต่างๆเหล่านี้ออกมา เพื่อเป็นการสู้กับความสับสนที่เกิดขึ้นในตัวของพวกเขาเองและเพื่อกดเสียงแห่งสัญชาตญาณใต้ก้นบึ้งของจิตใจของพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ให้มันหยุดเปล่งแรงกระตุ้นออกมาขัดขวางการพยายามว่ายฝ่าสายน้ำแห่งความจริงอันเชี่ยวกราด ที่กำลังพัดพาพวกเขากลับขึ้นมาสู่ฝั่งแห่งสัจธรรมอยู่เท่านั้น
ทั้งนี้เนื่องจากมันไม่มีเหตุผลใดๆ เลยสำหรับคนพวกนี้ที่จะออกมาป่าวประกาศให้คนอื่นรับรู้เกี่ยวกับความเชื่อนี้ของพวกตน ยังไม่ต้องไปพูดถึงกรณีการพยายามส่งต่อความเชื่อเหล่านี้ของพวกตนให้แก่ผู้อื่น เพราะพวกเขาเองไม่ได้เชื่อเรื่องโลกแห่งการตอบแทน ไม่ได้เชื่อเรื่องการตอบแทนต่อผลงานต่างๆ ที่จะมีขึ้นในโลกหน้า ไม่ได้เชื่อเรื่องศีลธรรมสากลที่เป็นที่ยอมรับกันโดยสามัญ ไม่ได้เชื่อเรื่องความจริงสากลใดๆ ทั้งสิ้นตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว
ดังนั้นจึงไม่มีเหตุอันควรใดๆอื่นเลยอีกแล้วที่จะทำหน้าที่เป็นแรงผลักให้พวกเขาต้องออกมาช่วยเหลือผู้คนให้หลุดพ้นจากความหลงผิดในการเชื่อว่าพระเจ้ามีจริง(ตามคำอ้างของพวกเขา) นอกจากความรู้สึกสับสน เปล่าเปลี่ยวและวังเวงที่พวกเขาพบมันอยู่ในก้นบึ้งของจิตใจของพวกเขามาโดยตลอดเท่านั้น ก็ในเมื่อพวกเขาไม่ได้เชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง แล้วพวกเขาจะออกมาด่าทอ ลบลู่และแสดงอาการโกรธต่อสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงไปทำไม !?
และเป็นที่น่าสังเกตุอีกเช่นกันว่า ส่วนใหญ่ของพวกที่เผยเเพร่แนวคิดปฏิเสธพระเจ้าในยุคใหม่นี้ มักจะไม่เข้ามาถกเถียงเกี่ยวกับประเด็นเรื่องสัญชาตญาณที่บ่งถึงการมีอยู่จริงของพระเจ้ากันเลย แต่สิ่งที่คนกลุ่มนี้ทำกลับมีเพียงการพยามออกมาให้คำอธิบายเกี่ยวกับประเด็นนี้ ให้เป็นไปในรูปของคำอธิบายตามแนวคิดวัตถุนิยมและตามทฤษฎีจากแนวความคิดของดาร์วิน ที่เอาเรื่องของผลประโยชน์และการอยู่รอดบนโลกใบนี้เป็นตัวตั้งเท่านั้น ซึ่งท่าทีนี้ก็เท่ากับเป็นการบ่งบอกไว้ในตัวโดยปริยายว่า แม้แต่คนกลุ่มนี้เองก็ยอมรับว่า สัญชาตญาณที่บ่งถึงพระเจ้านั้น เป็นเรื่องที่มีอยู่ในก้นบึ้งของความเป็นมนุษย์จริงอย่างปฏิสธไม่ได้นั่นเอง
“ในใจนั้น.....
มีความขาดแคลนอยู่ชนิดหนึ่งที่ไม่มีสิ่งใดทั้งสิ้นจะสามารถเข้ามาอุดมันไว้ได้เลยนอกจาก อัลลอฮฺ ตะอาลาเท่านั้น
มีความอลหม่านอยู่ชนิดหนึ่งที่ไม่มีอะไรทั้งสิ้นจะรวบมันเข้าไว้ด้วยกันจนเรียบร้อยได้นอกจากการมุ่งเข้าหา อัลลอฮฺเท่านั้น
มีโรคอยู่โรคหนึ่งที่ไม่มีอะไรทั้งสิ้นจะรักษามันได้นอกจากการบริสุทธิ์ต่ออัลลอฮฺ และการสักการะ และภักดีต่อพระองค์เพียงผู้เดียวเท่านั้น
ใจจะคอยเข้ามาส่งแรงกระตุ้นสู้เจ้าของๆ มันอยู่เรื่อยไปและเรื่อยไป จนกว่าเขาจะได้พบกับความสงบและสำรวมนิ่งต่อพระผู้เป็นที่ ผู้ถูกสักการะโดยชอบของเขาแล้วเสียก่อนเท่านั้น เมื่อนั้นเขาจึงจะได้สัมผัสและลิ้มรสกับวิญญาณแห่งชีวิต และกลายไปเป็นคนที่มีชีวิตอีกชีวิตหนึ่งที่เป็นคนละอย่างกันกับชีวิตของพวกที่เมินเฉย ละเลยและหันห่างกันออกจากเรื่องๆนี้”
(อิบนุ้ลกอยยิม : มะดาริยิ้ซาลิกีน/5/3457)
แม้ว่ามนุษย์จะอ้างว่า ตนสามารถยืนขึ้นได้ด้วยตัวของพวกเขาเอง แต่ในความเป็นจริงแล้วมนุษย์นั้นไม่มีทางยืนขึ้นได้ด้วยมนุษย์เองเพียงลำพังอย่างแน่นอน
อัลลอฮฺ ตะอาลา ตรัสว่า
...وَقَالُوا إِنَّا كَفَرْنَا بِمَا أُرْسِلْتُم بِهِ وَإِنَّا لَفِي شَكٍّ مِّمَّا تَدْعُونَنَا إِلَيْهِ مُرِيبٍ (9) قَالَتْ رُسُلُهُمْ أَفِي اللَّهِ شَكٌّ فَاطِرِ السَّمَاوَاتِ وَالْأَرْضِ...
(إبراهيم : 9-10)
“พวกเขาต่างพูดกันไว้ว่า พวกเราปฏิเสธกันต่อข้อมูลที่พวกเจ้าถูกส่งมากับพวกเจ้า
และพวกเราก็ยังคงอยู่ในความสงสัยกันต่อสิ่งที่พวกเจ้ากำลังพากันเรียกร้องพวกเราไปหาอยู่ อย่างกังขาอย่างยิ่งจริงๆ
บรรดาฑูตที่ถูกส่งมาหาพวกเขาต่างกล่าวว่า
เกี่ยวกับอัลลอฮฺกระนั้นหรือที่พวกคุณสงสัย? พระผู้ทรงสร้างบรรดาฟากฟ้าและผืนดินให้มีขึ้นมา”
>>>อ่านต่อตอนที่ 2
ข้อมูลส่วนใหญ่สรุปจาก:
شموع النهار، ل: عبد الله العجيري، سدده الله و وفقه