อัลอิสรออ์ ..การเดินทางยามค่ำคืน
  จำนวนคนเข้าชม  6300


อัลอิสรออ์ ..การเดินทางยามค่ำคืน

 

อับดุลสลาม เพชรทองคำ

 

          ในอัลกุรอานซูเราะฮฺอัลอิสรออ์ หรือมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ซูเราะฮฺบนีอิสรออีล ในอายะฮฺแรกของซูเราะฮฺนี้ได้เล่าถึงเหตุการณ์มหัศจรรย์เหตุการณ์หนี่ง ซึ่งถือเป็นบททดสอบหนึ่งว่า หากใครได้ยินได้ฟัง ได้รับรู้เรื่องราวนี้แล้ว เขาเชื่อโดยไม่มีข้อสงสัยใด ๆทั้งสิ้น เขาผู้นั้นก็คือ ผู้ที่อีมาน ผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา แต่ในทางตรงข้าม หากใครไม่เชื่อ เห็นว่าเรื่องราวนี้เป็นเรื่องตลกขบขัน เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เขาผู้นั้นก็ถือเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาอย่างชัดเจน 

          เหตุการณ์นั้นก็คือ เหตุการณ์อัลอิสรออ์วัลมิอฺรอจญ์ الإسراء والمعراج ซึ่งอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาได้ทรงเล่าว่า

 

سُبْحَانَ الَّذِي أَسْرَىٰ بِعَبْدِهِ لَيْلًا مِّنَ الْمَسْجِدِ الْحَرَامِ إِلَى الْمَسْجِدِ الْأَقْصَى الَّذِي بَارَكْنَا

حَوْلَهُ لِنُرِيَهُ مِنْ آيَاتِنَا ۚ إِنَّهُ هُوَ السَّمِيعُ الْبَصِيرُ

 

          อายะฮฺนี้มีความว่า سُبْحَانَ บริสุทธิ์ยิ่งหรือมหาบริสุทธิ์ ... الَّذِي ผู้ซึ่ง ... سُبْحَانَ الَّذِي ก็คือ มหาบริสุทธิ์แด่ผู้ซึ่ง...นั่นก็หมายถึง ซุบฮานัลลอฮฺ มหาบริสุทธิ์ยิ่งแด่อัลลอฮฺ ...ซึ่งตรงนี้ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงยืนยันพระองค์เองว่า พระองค์ทรงบริสุทธิ์ในการเป็นพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น ไม่มีภาคีใด ๆ ไม่มีชิริกใด ๆในการเป็นพระเจ้าร่วมกับพระองค์อย่างเด็ดขาด พระองค์ทรงมีพระนามอันงดงาม และทรงมีคุณลักษณะอันสูงส่ง ที่พร้อมสมบูรณ์ทุกประการ โดยไม่มีข้อบกพร่องใด ๆทั้งสิ้น ไม่มีที่ตำหนิติเตียนใด ๆทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนกับพระองค์อย่างเด็ดขาด 

 

          พระองค์ทรงเดชานุภาพเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด... ดังนั้น สิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์จะทำต่อไปนี้ย่อมเป็นเดชานุภาพของพระองค์อย่างแท้จริง ..ไม่มีใคร ไม่มีสิ่งใดทำได้อย่างเด็ดขาด ...ซึ่งสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์จะทำก็คือ أَسْرَىٰ แปลว่าเดินทางในเวลากลางคืน... بِعَبْدِهِ ด้วยกับบ่าวของพระองค์... أَسْرَىٰ بِعَبْدِهِ ก็หมายถึงพระองค์ทรงประสงค์ให้บ่าวของพระองค์ ( ก็คือให้ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม )เดินทาง .. لَيْلًا ในเวลาเพียงส่วนหนึ่งของค่ำคืน... مِّنَ จาก ...จากไหนถึงไหน ?... الْمَسْجِدِ الْحَرَامِ จากมัสญิดอัลหะรอม ในนครมักกะฮฺ... إِلَى ไปยัง ..ที่ไหน ? الْمَسْجِدِ الْأَقْصَى ไปมัสญิดอัลอักซอซึ่งอยู่ไกล (อักซอแปลว่าไกล) الَّذِي ที่ซึ่ง .... بَارَكْنَا เราได้ให้บะเราะกะฮฺ ความจำเริญ ... حَوْلَهُ รอบ ๆมัน ก็คือ รอบ ๆมัสญิดอัลอักซอ ให้ความจำเริญรอบ ๆ มัสญิดอัลอักซอ.... لِنُرِيَهُ เพื่อที่เราจะได้ให้เขาเห็น เพื่อที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาจะทรงให้ ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เห็น ... مِنْ آيَاتِنَا บางส่วนจากบรรดาสัญญาณต่าง ๆของพระองค์ ... إِنَّهُ แท้จริงพระองค์นั้น ... هُوَ เป็น.... السَّمِيعُ ผู้ทรงได้ยินทุกสิ่งทุกอย่าง ได้ยินคำพูดของมนุษย์ทุกคน ... الْبَصِيرُ ผู้ทรงดูแล ผู้ทรงสอดส่อง ผู้ทรงเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ทรงเห็นการกระทำของทุกคน ..

 

          นี่ก็คือ การยืนยันเตาฮีดด้านอัลอัสมาวัลศิฟาตของพระองค์ว่า ไม่มีใครและไม่มีสิ่งใดที่จะได้ยินทุกสิ่งทุกอย่าง และเห็นทุกสิ่งทุกอย่างทั้งในที่แจ้งและในที่ลับ ทั้งโดยเปิดเผยและซ่อนเร้น นอกจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาองค์เดียวเท่านั้น

 

          อายะฮฺนี้ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงแสดงเดชานุภาพของพระองค์ โดยทรงให้ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมเดินทาง อัลอิสรออ์ หมายถึงเดินทาง ซึ่งคำนี้มีรากศัพท์มาจากคำว่า สะรอหรืออัสรอ ก็คือ เดินทางในเวลากลางคืนจากมัสญิดอัลหะรอม (หรือบัยตุลลอฮฺ ) ซึ่งอยู่ที่นครมักกะฮฺ ไปยังมัสญิดอัลอักซอ (หรือบัยตุลมุก็อดดิส ) ซึ่งอยู่ที่นครเยรูซาเล็ม (ปาเลสไตน์) ซึ่งอยู่ห่างไกลกันมาก (มากกว่าพันกิโลเมตร

 

          โดยที่นักตัฟซีรอัลกุรอานได้อธิบายว่า การเดินทางนี้ปกติต้องใช้เวลาประมาณอย่างน้อย 40 วันด้วยพาหนะในสมัยนั้น ...แต่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงให้ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมเดินทางโดยใช้เวลาเพียงส่วนหนึ่งของกลางคืน ก็คือใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมง ไม่ถึงครึ่งคืนทั้งไปและกลับ ..ไม่ใช่ไปอย่างเดียว แต่กลับด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับในสมัยนั้น ที่จะใช้เวลาสั้นขนาดนั้นสำหรับระยะทางอันยาวไกล ...ซึ่งในสมัยนี้ก็ยังเป็นไปไม่ได้ เพราะบางคนบอกว่า เดี๋ยวนี้นั่งเครื่องบินก็ไปได้เร็วแล้ว แต่เอาเข้าจริงนั่งเครื่องบินทั้งไปและกลับก็ยังต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมงเหมือนกัน แล้วยังต้องทำกิจกรรมต่าง ๆ อีกหลายอย่าง ซึ่งมันก็เป็นไปไม่ได้และนำมาเทียบกันไม่ได้ และไม่เหมาะสมที่จะเอามาเทียบกันด้วย ดังนั้นไม่ต้องเอาสติปัญญาและความสามารถของมนุษย์มาใช้ในเรื่องนี้ ...

 

          เรื่องของอัลอิสรออ์และอัลมิอฺรอจญ์นี้เป็นเรื่องที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาได้ทรงแสดงเดชานุภาพของพระองค์ โดยให้ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมทำได้ด้วยอนุมัติของพระองค์ ซึ่งเรียกสิ่งนี้ว่า มัวอ์ญิซาต ( เป็นคำพหูพจน์ ) ...อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาได้ประทานมัวอ์ญิซาตต่าง ๆแก่บรรดานบีของพระองค์ เพื่อให้เป็นหลักฐานที่ยืนยันถึงการเป็นนบีและเราะซูลของพระองค์อย่างแท้จริง

 

     คำว่ามัวอ์ญิซาตหมายถึง สิ่งที่คนเรามองว่ามันเป็นปาฏิหาริย์ เป็นเรื่องมหัศจรรย์เกินความสามารถของมนุษย์ที่จะกระทำได้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยอยู่เหนือธรรมชาติ อยู่เหนือสิ่งที่เป็นปกติวิสัย หรือไม่เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์ แต่มันเกิดขึ้นได้ก็ด้วยอนุมัติของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาเท่านั้น 

 

     ”มัวอ์ญิซาตเป็นเรื่องที่แสดงให้เห็นถึงเดชานุภาพของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เป็นเรื่องหนึ่งที่อยู่ในหมวดหมู่ของการศรัทธาต่อบรรดานบีและบรรดาเราะซูลของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เป็นหลักอีมาน หรือหลักการศรัทธาประการที่สี่ของอัลอิสลาม ก็คือการศรัทธาต่อบรรดานบี และบรรดาเราะซูลของ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา

 

          เมื่อเราพูดว่า เราศรัทธาต่อบรรดานบีและบรรดาเราะซูลของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลานั้น ให้เราทราบไว้เลยว่า การศรัทธาในเรื่องนี้ของเรานั้นจะต้องครบองค์ประกอบ 4 ประการตามที่บรรดาอุละมาอ์ได้แจกแจงไว้ นั่นก็คือ

 

     ♥ ประการที่หนึ่ง ต้องศรัทธาว่า การเป็นนบีและเราะซูลของท่านเหล่านั้นเป็นเรื่องจริง เป็นความจริงที่บรรดานบีและเราะซูลทั้งหมดถูกแต่งตั้งมาจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ดังนั้น ใครก็ตามที่ปฏิเสธนบีและเราะซูลของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ท่านหนึ่งท่านใดก็ตาม ก็เท่ากับว่า เขาปฏิเสธนบีและเราะซูลของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทั้งหมดเลย

 

     ♥ ประการที่สอง ต้องศรัทธาต่อผู้ที่เรารู้ชื่อท่านว่าเป็นคนหนึ่งจากบรรดานบีหรือเราะซูล เช่น ท่านนบีมุฮัมมัด ท่านนบีอิบรอฮีม ท่านนบีมูซา ท่านนบีอีซา ท่านนบีนูหฺ ท่านนบีศอลิหฺ ท่านนบีสุไลมาน ท่านนบีดาวูด ซึ่งเราทราบชื่อของท่านเหล่านั้นจากอัลกุรอาน ที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงระบุชื่อเอาไว้ ซึ่งเราต้องศรัทธาต่อท่านเหล่านั้น ว่าเป็นนบีและเราะซูลของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาจริง จะปฏิเสธไม่ได้เลย

     ส่วนบรรดานบีหรือเราะซูลที่เราไม่รู้ชื่อของท่าน เราก็ศรัทธาโดยรวมว่าเป็นนบีและเราะซูลของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา

 

     ♥ ประการที่สาม ศรัทธาและเชื่อมั่นในเรื่องราวต่าง ๆที่ถูกต้องเกี่ยวกับชีวประวัติของบรรดาเราะซูล ตลอดจนสิ่งที่เป็นคำพูด เป็นรายงานที่ถูกต้องของบรรดาท่านเหล่านั้น เชื่อมั่นและศรัทธาว่าสารหรือคัมภีร์ที่ท่านเหล่านั้นนำมาสอนสั่ง นำมาประกาศนั้น มาจากอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ซึ่งเราต้องยอมรับ จะปฏิเสธไม่ได้ เพราะถ้าหากผู้ใดปฏิเสธสารหรือคัมภีร์ของคนหนึ่งคนใดในบรรดาเราะซูล ก็เท่ากับว่า พวกเขาปฏิเสธสารและคัมภีร์อื่นๆทั้งหมดเช่นกัน

 

     ♥ ประการที่สี่ เมื่อศรัทธาต่อสารหรือคัมภีร์ของบรรดาเราะซูลต่าง ๆแล้ว แต่ในเรื่องของการปฏิบัติตามนั้น ให้เราปฏิบัติตามเฉพาะคัมภีร์ หรือบทบัญญัติของเราะซูลที่ส่งมายังพวกเราเท่านั้น นั่นก็คือ ปฎิบัติตามเฉพาะคัมภีร์ที่ถูกประทานลงมาแก่ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ซึ่งเป็นนบีและเราะซูลท่านสุดท้ายของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา จะไม่มีนบีและเราะซูลท่านใดอีกต่อไปแล้ว และคัมภีร์หรือบทบัญญัติสุดท้ายที่เราต้องปฏิบัติตามก็คือ อัลกุรอาน ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่สมบูรณ์แล้ว ไม่มีการแก้ไขอีกแล้ว และก็จะไม่มีคัมภีร์ของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาที่จะถูกประทานลงมาหลังจากนี้อีกแล้วเช่นกัน

 

          ดังนั้น จากองค์ประกอบของการศรัทธาต่อบรรดานบีและเราะซูลทั้งสี่ประการข้างต้นนั้น ใครที่ปฏิเสธเรื่องของมัวอ์ญิซาต ก็เท่ากับเขาทำให้ตัวเองมีสถานะต้องตกมุรตัด หลุดออกจากการเป็นมุสลิม ซึ่งเป็นเรื่องที่ร้ายแรง ...ขออัลลอฮฺ ตะอาลาทรงคุ้มครองเราจากสิ่งนี้ ...

 

          ซึ่งการเดินทางนี้ เมื่อท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้กลับจากการเดินทางแล้ว และนำเรื่องราวมาเล่าให้แก่บรรดามุสลิมฟัง มีมุสลิมบางคนไม่เชื่อ เพราะเห็นว่าเป็นไปไม่ได้อันเนื่องมาจากการศรัทธาที่ยังอ่อนแอของเขา ทำให้เขาไม่เชื่อในสิ่งที่ท่านนบีเล่า ก็เลยทำให้เขาขาดองค์ประกอบของการศรัทธาต่อบรรดานบีและเราะซูล มีผลทำให้เขาต้องตกมุรตัด หลุดออกจากการเป็นมุสลิม...ในขณะที่บรรดามุชริกีนมักกะฮฺต่างปฏิเสธอยู่แล้ว ไม่เชื่ออยู่แล้ว ไม่ยอมรับในการเป็นนบีของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ..อัลลอฮ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาจึงได้ประทานอัลกุรอานอายะฮนี้ลงมาเพื่อยืนยันในสิ่งที่ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมบอกเล่า ...

 

          ในขณะที่มีบางคนไปถามท่านอบูบักร เศาะฮาบะฮฺคนสำคัญท่านหนึ่งของอัลอิสลามในเรื่องที่ท่านนบีเล่านี้ ท่านอบูบักรตอบทันทีว่า ท่านเชื่อท่านศรัทธาว่าท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เป็นนบีและเป็นเราะซูลของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และเชื่อในสิ่งที่ท่านนบีพูด ต่อให้ท่านนบีเล่าในเรื่องที่ดูเหลือเชื่อยิ่งกว่าเรื่องนี้อีก ท่านก็เชื่อในสิ่งที่ท่านนบีพูดทุกคำ ...ด้วยเหตุนี้ ท่านอบูบักรจึงได้ฉายานามว่า อัศศิดดิ๊ก ซึ่งแปลว่า ผู้ที่สัตย์จริง ผู้ที่เชื่ออย่างจริงใจ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

 

          สำหรับการเดินทาง อัลอิสรออ์ นี้ ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมเดินทางไปทั้งร่างกายและวิญญาณ ในสภาพที่รู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ไปแต่เพียงวิญญาณ ไม่ใช่การนอนหลับแล้วฝันไป ไม่ใช่การฝัน แต่เดินทางไปด้วยตัวเองทั้งร่างกายและวิญญาณ และนี่คือหลักอะกีดะฮฺที่ถูกต้องของชาวอะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ

 

          อัลหะดีษ (เศาะหิหฺ )ในบันทึกของอิมามอัลบุคอรีย์และอิมามมุสลิม รายงานจากท่านอนัส บิน มาลิก เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้รายงานเรื่องราวของอัลอิสรออ์ไว้ ...สรุปความว่า

 

          ในค่ำคืนที่ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมจะอิสรออ์นั้น อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงให้ท่านมะลาอิกะฮฺญิบรีล อะลัยฮิสสลามมาหาท่านนบี และนำท่านนบีไปที่ใกล้ ๆกับอัลกะอ์บะฮฺ และเปิดทรวงอกด้านซ้ายของท่านนบี ก็คือผ่าทรวงอกด้านซ้ายของท่านนบี เริ่มจากลำคอไปจนถึงใต้สะดือของท่าน แล้วนำหัวใจของท่านนบีออกมาทำความสะอาดด้วยน้ำซัมซัมในภาชนะทองคำใบหนึ่งจนสะอาด หลังจากนั้นจึงบรรจุฮิกมะฮ บรรจุเราะหฺมะฮฺ และอีมานลงในทรวงอกของท่านนบี เสร็จแล้วจึงได้ประกบหน้าอกของท่านนบีให้ติดกันดังเดิม 

 

          ซึ่งในเรื่องนี้ ท่านอนัส บินมาลิก รอฎิยัลลอฮุอันฮุ เศาะฮาบะฮฺคนสำคัญท่านหนึ่งได้เล่าว่า เคยเห็นรอยดังกล่าวที่หน้าอกของท่านนบีด้วย ...สำหรับในส่วนของสิ่งที่ถูกบรรจุลงในทรวงอกของท่านนบีนั้น ท่านอิมามอันนะวาวีย์ได้กล่าวไว้ว่า หมายถึงวิชาความรู้ที่ว่าด้วยการรู้จักอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และสิ่งที่ช่วยขัดเกลาจิตใจ ทำให้มองเห็นสัจธรรมความจริงความถูกต้อง และนำมาสู่การลงมือปฏิบัติ พร้อมทั้งปกป้องตนเองจากสิ่งอันเป็นเท็จทั้งหลาย

 

          เมื่อท่านญิบรีลประกบทรวงอกของท่านนบีเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้น ท่านญิบรีลก็ได้นำ อัลบุรอกมามอบให้ท่านนบีสำหรับใช้ในการเดินทางครั้งนี้

 

          ”อัลบุรอกเป็นสัตว์ตัวหนึ่งที่มีลักษณะปานกลาง ลำตัวคล้ายม้า ตัวเล็กกว่าล่อ ตัวสูงกว่าลา มีสีขาวนวล เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงมาก ก้าวเท้าแต่ละก้าวระยะทางไกลจนสุดสายตา เป็นสัตว์พิเศษที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงให้ท่านญิบรีล นำมามอบให้ท่านนบีเพื่อใชัในการเดินทางในเหตุการณ์อัลอิสรออ์นี้ และท่านญิบรีลก็ร่วมเดินทางไปกับท่านนบีด้วย

 

          ครั้นเมื่อเดินทางจากมัสญิดอัลหะรอมมักกะฮฺ ถึงมัสยิดอัลอักซอ ท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ก็ผูกอัลบุรอกไว้กับเสาประตูมัสยิดอัลอักซอ แล้วจึงเดินเข้าไปในมัสญิดเพื่อละหมาด 2 ร็อกอะฮ ในระหว่างนี้มีผู้นำภาชนะ 2 ใบมาให้ท่านนบีเลือก ใบหนึ่งบรรจุสุรา อีกใบหนึ่งบรรจุนมสด ท่านนบีเลือกใบที่บรรจุนมสด โดยไม่ยอมแตะต้องภาชนะที่บรรจุสุราเลย ..

 

          ท่านญิบรีลจึงได้กล่าวแก่ท่านนบีว่าบรรดาการสรรเสริญทั้งหมดเป็นของอัลลอฮฺเพียงองค์เดียวเท่านั้น พระองค์ได้ประทานฮิดายะฮฺ ประทานทางนำแก่ท่าน ท่านจึงได้เลือกเอาสิ่งที่เป็นฟิฏเราะฮฺ สิ่งที่บริสุทธิ์ คือเลือกแนวทางของอัลอิสลาม แต่หากแม้นว่าท่านเลือกเอาสุรา แท้จริงประชาชาติของท่านย่อมต้องหลงทางอย่างแน่นอน

          หลังจากจัดการกับสิ่งต่างๆเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองท่านก็ได้มิอฺรอจญ์ ก็คือเดินทางจากพื้นดินขึ้นสู่ชั้นฟ้า 

 



          นั่นก็คือ เรื่องราวโดยสังเขปของการอิสรออ์ ของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เป็นเหตุการณ์ที่ถือเป็นมัวอ์ญิซาต ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเดชานุภาพของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา และเป็นเครื่องหมายที่ยืนยันถึงการเป็นนบีและเราะซูลของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมว่าเป็นนบีและเราะซูลของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาอย่างแท้จริง เป็นเรื่องที่มุสลิมเราต้องเชื่อมั่นศรัทธาว่าเป็นเรื่องจริง เพราะมีหลักฐานที่ถูกต้องและเชื่อถือได้ ได้ยืนยันไว้ .. 

 

          เราอย่าได้ปล่อยให้ความสงสัยใด ๆเข้ามาครอบงำความคิด ครอบงำหัวใจของเรา เพราะนั่นจะนำทางเราไปสู่หนทางที่หลงผิด อันนำไปสู่การถูกลงโทษในไฟนรกในวันกิยามะฮฺ เราต้องปกป้องตัวเราให้พ้นจากการถูกลงโทษในไฟนรกด้วยกับการมีหลักอะกีดะฮฺที่ถูกต้องของชาวอะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺเท่านั้น

 

          สุดท้ายนี้ ขออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาโปรดให้เราเป็นผู้ที่ได้เรียนรู้และยืนหยัดอย่างมั่นคงในหลักอะกีดะฮฺที่ถูกต้องของชาวอะฮฺลุซซุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺ และเสียชีวิตในสภาพที่นอบน้อมยอมจำนนต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาโดยสิ้นเชิง

 

 

( นะศีหะหฺ มัสญิดดารุลอิหฺซาน บางอ้อ )