อัลกุรอานคำบัญชาจากพระผู้เป็นเจ้า
  จำนวนคนเข้าชม  15264

 

อัลกุรอานคำบัญชาจากพระผู้เป็นเจ้า

 

ศาสตราจารย์ ดร. มะห์มูด ฮัมดี ซักซูก

 

 

พระมหาคัมภีร์อัลกุรอานการดลใจจากพระผู้เป็นเจ้า (วะฮีย์) หรือสิงที่มนุษย์ประพันธ์ขึ้น....?

 

         คัมภีร์อัลกุรอาน เป็นคัมภีร์ของอิสลามที่ประมวลบทบัญญัติเกี่ยวกับหลักศีลธรรม และจริยธรรมอิสลามอย่างครบถ้วน และสามารถยืนยันได้ว่าคัมภีร์อัลกุรอานนั้นเป็นการดลใจจากพระผู้เป็นเจ้าโดยปราศจากข้อสงสัยใดๆ การเชื่อมั่นและการศรัทธาในเรื่องนี้จึงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับมุสลิมผู้ศรัทธา

 

         ด้วยเหตุนี้ศัตรูอิสลามทั้งในอดีตและปัจจุบันต่างใช้ความเพียรพยายามที่จะปฏิเสธความถูกต้องและที่มาของคัมภีร์อัลกุรอาน โดยพวกกราบไหว้รูปปั้นชาวมักกะฮ์ที่ต่อต้านอิสลามในสมัยนั้น ได้ใช้ความพยายามที่จะปฏิเสธว่าคัมภีร์อัลกุรอานไม่ใช่การดลใจ(วะฮีย์)จากพระเจ้า ตามคำกล่าวอ้างที่ปรากฏในอัลกุรอาน ซูเราะฮ์ อัลฟุรกอน โองการที่ 4 ความว่า

 

"แท้จริงอัลกุรอานนี้ มิใช่อื่นใด นอกจากคำโกหกที่มุฮัมมัด ได้แต่งขึ้นเองและหมู่ชนอื่นๆ ได้ช่วยเขาในเรื่องนี้"

 

และโองการที่ 5 ความว่า

 

"อัลกุรอานเป็นนิยายของประชาชาติสมัยก่อนๆ ที่เขียนขึ้นและถูกนำอ่านให้ขึ้นใจทั้งเวลาเช้าและเวลาเย็น"

 

รวมทั้งการกล่าวหาศาสดามุฮัมมัด ดังปรากฏในคัมภีร์อัลกุรอาน ซูเราะฮ์ อัลนะล์ โองการที่ 103 ความว่า

 

"แท้จริงสามัญชนคนหนึ่งสอนเขา"

         หรือว่าแท้จริงอัลกุรอานนั้น เป็นผลงานของนักมายากล หรือพวกที่ใช้ไสยศาสตร์ โดยที่พวกเขามีจุดมุ่งหมายที่จะหาทางปฏิเสธว่า คัมภีร์อัลกุรอานไม่ใช่การดลใจจากพระผู้เป็นเจ้าที่ประทานผ่าน ศาสดามุฮัมมัด เพื่อเป็นทางนำแก่มวลมนุษย์ชาติ

 

        มีนักบูรพาคดีกลุ่มหนึ่งที่มีอคติต่อศาสนาอิสลาม ได้สนับสนุนข้ออ้างที่ผิดๆ ของพวกกราบไหว้รูปปั้น(เจว็ด)ชาวมักกะฮ์ โดยได้ใช้ความพยายามอย่างยิ่งที่จะทำให้คัมภีร์อัลกุรอานไม่ใช่เป็นการดลใจจากพระผู้เป็นเจ้าที่ประทานผ่านทางท่านศาสดามุฮัมมัด  ทั้งที่อัลกุรอานได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริง

         มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ยืนยันอย่างชัดแจ้งว่า แท้จริงศาสดามุฮัมมัด  เป็นผู้ไม่รู้หนังสือ เหตุนี้ท่านศาสดาจึงมอบหมายให้เหล่าสาวก และผู้ใกล้ชิดจดบันทึกโองการต่างๆ และถ้าหากว่าท่านศาสดาเป็นผู้รู้หนังสือแล้ว คงไม่วานให้ผู้อื่นดำเนินการ  การกล่าวหาว่าศาสดาได้นำเรื่องในคัมภีร์ของยิวและคริสต์(ไบเบิล)มาใช้นั้น เป็นเรื่องที่ไร้สาระสิ้นดี เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ผู้ที่ไม่รู้หนังสือจะสามารถอ่าน เข้าใจ และถ่ายทอดเนื้อหาของคัมภีร์อื่นได้อย่างแจ่มแจ้ง จึงเห็นได้ชัดว่าข้ออ้างต่างๆ เหล่านั้นไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง หรือมีข้อพิสูจน์ใดๆเลย

 

          ท่านศาสดามุฮัมมัด  ทรงเผยแพร่ศาสนาอิสลามในนครมักกะฮ์ เป็นเวลา 13 ปี และไม่ปรากฏหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่าท่านได้ติดต่อกับชาวยิวตลอดระยะเวลาดังกล่าว และสำหรับชาวคริสต์นั้น มีหลักฐานที่ท่านเคยติดตามลุงที่ชื่อ "อบี ฏอเล็บ" เดินทางไปค้าขายที่ซีเรียในขณะที่มีอายุเพียง 9 ขวบ หรือ 12 ปีเท่านั้น โดยระหว่างที่กองคาราวานหยุดพักท่านศาสดาได้พบและสนทนากับบาทหลวง"บูไฮรี่"เพียงไม่กี่นาที เด็กอายุขนาดนั้นจะเข้าใจหลักเกณฑ์ และบทบัญญัติพื้นฐานของศาสนา ในระหว่างพบปะช่วงสั้นๆ ได้อย่างไร และเหตุใดเล่าที่บาทหลวงผู้นั้นได้เลือกเด็กชายอายุเพียงไม่กี่ปีเป็นคู่สนทนา เพื่อให้รู้จักหลักการของคริสต์ ทั้งๆที่มีผู้ใหญ่จำนวนมากมายในกองคาราวาน  และถ้าอย่างนั้นจึงมีคำถามว่าทำไมมุฮัมมัด  จึงต้องรอคอยเป็นเวลา 30 ปีเพื่อที่จะประกาศศาสนาอิสลาม 

 

         คัมภีร์อัลกุรอานเป็นคัมภีร์ที่สอดคล้องกับศาสนาอื่นๆ ที่มีการดลใจจากพระผู้เป็นเจ้า และศรัทธาต่อพระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว โดยพระองค์เป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่างในสากลจักรวาล ทุกสิ่งทุกอย่างมาจากพระองค์ จึงต้องกลับไปหาพระองค์แต่เพียงผู้เดียว อย่างไรก็ดี อัลกุรอานได้ปฏิเสธคำสอนหลายประการของศาสนายิว และคริสต์ ฉะนั้นเหตุใดเล่าจึงกล่าวว่าศาสดามุฮัมมัด  ได้เลียนแบบคัมภีร์ของยิวและคริสต์ ถ้าสมมุติฐานเหล่านั้นเป็นจริง ย่อมหมายความว่า ไม่มีความแตกต่างระหว่างศาสนา และมันก็ไม่มีความหมาย 

          และไม่มีคัมภีร์อื่นใดที่มีระบบเนื้อหา ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ ในบทบัญญัติกว่า 1,400 ปี แต่สิ่งเหล่านั้นเพิ่งจะถูกค้นพบในกลางศตวรรษที่ผ่านมา (ประมาณ 500 ปี) เมื่อนักดาราศาสตร์ไม่สามารถที่จะให้คำอธิบายปรากฏการต่างๆเหล่านั้นทางวิชาการ จึงได้ยอมรับว่าสิ่งเหล่านั้น มาจากพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้า ดังนั้นจะเป็นไปได้อย่างไรเล่าที่ศาสดาผู้ไม่รู้หนังสือจะสามารถมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ล้ำหน้า และจะกล่าวอ้างไม่ได้ว่าแหล่งข้อมูลเหล่านั้นมาจากคัมภีร์ของยิวหรือคริสต์ ซึ่งในคัมภีร์ของพวกเขาไม่ได้กล่าวถึงเรื่องเหล่านี้เลย

          หากว่าคัมภีร์อัลกุรอานเลียนแบบมาจากคัมภีร์ศาสนาก่อนหน้านี้ บรรดาผู้ที่มีชีวิตร่วมสมัยกับท่านและบรรดาผู้ที่ต่อต้านจะนิ่งเฉยอยู่ได้อย่างไร พวกเขาเหล่านั้นจะต้องกล่าวหาศาสดาอย่างแน่นอน แต่ปรากฏว่าพวกเขากลับนิ่งเฉย เนื่องจากข้อกล่าวหาไม่มีมูลความจริงและขาดซึ่งหลักฐาน มาลบล้าง

 

          คัมภีร์อัลกุรอานได้ประมวลบทกฏหาย บทบัญญัติ กฏเกณฑ์ คำสั่งและคำชี้แจง ซึ่งไม่เคยมีปรากฏในคัมภีร์ของศาสนาใดๆ ก่อนหน้านี้ นอกจากนั้นคัมภีร์อัลกุรอานยังได้รวบรวมรายละเอียดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ความเป็นมาของประชาชาติยุคก่อน ตลอดจนเรื่องราวเร้นลับ ซึ่งปรากฏขึ้นจริงตามที่แจ้งไว้ในอัลกุรอาน เช่น จุดจบข้อพิพาทระหว่างโรมันกับเปอร์เซีย เหตุการณ์นี้ศาสดาและเหล่าสาวก ตลอดจนบรรดาชาวคัมภีร์ต่างๆ ก็ไม่เคยล่วงรู้มาก่อนเลย

          แท้จริงอัลกุรอานส่งเสริมให้ศึกษาหาความรู้ ให้เกียรติผู้ที่ใช้สติปัญญา สืบเนื่องจากคำสั่งสอนของศาสนาอิสลามชาวมุสลิมจึงสามารถสร้างอารยธรรมขึ้นมาและทดแทนอารยธรรมก่อนๆ และดำรงอยู่หลายศตวรรษ หากอัลกุรอานได้ลอกแบบตามคัมภีร์อื่นแล้วไซร้ เหตุใดจึงไม่มีคำสั่งสอนและบทบาทเช่นเดียวกับศาสนาอิสลามเล่า

          คัมภีร์อัลกุรอาน เป็นคัมภีร์ที่มีเนื้อหาและสำนวนโวหารที่เป็นเลิศ หากว่าอัลกุรอานเลียนแบบคัมภีร์อื่นแล้วละก็ จะต้องมีข้อความที่ขัดแย้ง ขาดความชัดเจนเพราะจะมีแหล่งกำเนิดจากหลากหลายแห่งด้วยกัน นอกจากนั้นอัลกุรอานได้กล่าวถึงการใช้เหตุผลของมนุษย์อยู่เสมอ แท้จริงอัลกุรอานได้ตั้งอยูบนหลักฐานของข้อพิสูจณ์ที่เด่นชัด นอกจากนี้ยังได้เชิญชวนผู้ที่ไม่เห็นด้วย ดังปรากฏในซูเราะฮ์ อัลบะเกาะเราะฮ์ โองการที่ 111 ความว่า

 

"จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด)ว่า พวกท่านจงนำหลักฐานของพวกท่านมาหากพวกท่านเป็นผู้ที่พูดจริง"

 

และซูเราะฮ์ อันนัมล์ โองการที่ 64 ความว่า

 

"จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) จงนำหลักฐานของพวกท่านมาหากพวกท่านเป็นผู้สัจจริง"

 

          มีการกล่าวอ้างว่าอัลกุรอานได้ยึดวัฒนธรรมก่อนอิสลามมาด้วย แต่มีหลักฐานที่ชัดแจ้งว่า อิสลามได้ปฏิเสธหลักการต่างๆ ก่อนอิสลาม ขนบธรรมเนียมที่ป่าเถื่อนและแบบอย่างที่ได้ยกเลิกไปแล้ว โดยได้นำหลักฐานที่ถูกต้องแทนที่ความชั่วร้ายดังกล่าว ด้วยหลักเกณฑ์ ขนบธรรมเนียมและแบบอย่างที่ดีงาม และอิสลามปฏิเสธความเชื่อถือในยุคก่อนกำเนิดของศาสนาอิสลาม 

 

          ดังนั้นที่มาของบทบัญญัติในคัมภีร์อัลกุรอาน จึงได้มาจากพระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงพลานุภาพ ผู้ทรงยิ่งใหญ่ ผู้ทรงเกรียงไกร ผู้ทรงกรุณาเมตตา ปรานี พระองค์ อัลลอฮ์ ซุบฮาน่าฮุว่าตะอาลา