บรรดาเจ้าของสวน
อับดุลสลาม เพชรทองคำ
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงมีคำสั่งใช้ให้เราป้องกันตัวของเราและครอบครัวของเราไม่ให้กลายเป็นเชื้อเพลิงให้กับไฟนรกในวันกิยามะฮฺ
ดังนั้น การดำเนินชีวิตของเราในทุก ๆวัน เราจึงต้องมีความระมัดระวังตัวเราและครอบครัวของเราไม่ให้ต้องกลายเป็นเชื้อเพลิงให้กับไฟนรก โดยการที่เราต้องพยายามศึกษาเรียนรู้ ทำความเข้าใจในบทบัญญัติศาสนาที่ถูกต้องของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เมื่อได้เรียนรู้แล้ว เข้าใจแล้วก็ให้ปฏิบัติในสิ่งที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงสั่งใช้ โดยพยายามทำให้มันสุดความสามารถของเรา และในขณะเดียวกัน เราต้องออกห่างและละทิ้งจากสิ่งที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงห้ามโดยสิ้นเชิง พร้อมกันนั้นก็ต้องปฏิบัติอิบาดะฮฺทุกอย่างให้ตรงตามแบบฉบับของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมด้วย ดังกล่าวนี้แหละที่จะช่วยเราให้รอดพ้นจากการเป็นเชื้อเพลิงให้กับไฟนรกในวันกิยามะฮฺ
อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาได้ทรงเล่าเรื่องเล่าหลาย ๆเรื่องราวไว้ในอัลกุรอาน เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้เราได้ใช้สติปัญญาคิดพิจารณา สำหรับนำมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา..
เรื่องเล่าเรื่องหนึ่งที่จะขอนำมาบอกเล่าต่อก็คือ เรื่องของบรรดาเจ้าของสวนซึ่งถือเป็นตัวอย่างหนึ่งของผู้ที่ได้รับริสกีแบบอิสติดรอจญ์ ซึ่งเราได้เคยพูดไปแล้วว่า ริสกีแบบอิสติดรอจญ์เป็นริสกีที่น่ากลัว เพราะมันมาควบคู่กับการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา เป็นริสกีที่ผู้ที่ได้รับไม่สำนึกในพระคุณของอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ..
เมื่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาได้ประทานริสกีต่าง ๆให้แก่พวกเขาอย่างดี แต่แทนที่พวกเขาจะขอบคุณพระองค์ และปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์ ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์ พวกเขากลับฝ่าฝืนต่อพระองค์ และยังคงดำรงการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติศาสนาของพระองค์ต่อไปเรื่อย ๆ ไม่มีทีท่าว่าจะสำนึกผิด ด้วยเหตุนี้ เมื่อถึงวันหนึ่งที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงกำหนด พระองค์ก็จะทรงลงโทษเขาในทันทีทันใด ซึ่งจะทำให้เขาสูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งในท้ายที่สุด มันจะนำมาซึ่งความหายนะแก่เขาทั้งในดุนยาและอาคิเราะฮฺ ..
เรื่องของบรรดาเจ้าของสวนที่จะนำมาเล่านี้ เป็นเรื่องเล่าที่ปรากฏเรื่องราวอยู่ในอัลกุรอานซูเราะฮฺอัลเกาะลัม อายะฮฺที่ 17 – 33
อันเนื่องมาจากว่า ชาวกุเรชมักกะฮฺในสมัยท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมนั้น เป็นกลุ่มคนที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาได้ประทานความโปรดปรานให้แก่พวกเขา ให้พวกเขาได้รับความมั่งคั่งร่ำรวย มีชีวิตที่มั่นคง มีความสุขสบาย ได้รับเกียรติยศ ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องสมควรอย่างยิ่งที่ชาวกุเรชมักกะฮฺนั้นจะต้องสำนึกในความเมตตา ในความกรุณา ในความโปรดปรานที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาได้ประทานให้แก่พวกเขา ด้วยการเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์ ..
แต่ครั้นเมื่อพระองค์ได้ทรงแต่งตั้งท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมให้เป็นเราะซูลแห่งประชาชาตินี้ เพื่อเรียกร้องเชิญชวนผู้คน เชิญชวนพวกเขาไปสู่การศรัทธาต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาว่าทรงเป็นพระเจ้าเพียงองค์เดียว เรียกร้องพวกเขาไปสู่บทบัญญัติที่ถูกต้อง แต่ปรากฎว่าชาวกุเรชมักกะฮฺกลับปฏิเสธท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ไม่ยอมเชื่อฟังและไม่ยอมปฏิบัติตามเราะซูลของพระองค์ ทั้ง ๆที่พระองค์ทรงเป็นผู้ทรงสร้างพวกเขา และประทานปัจจัยยังชีพให้แก่พวกเขาเป็นอย่างดี การกระทำของพวกเขาคือการกระทำที่เข้าข่ายของผู้ปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา
เมื่อเป็นอย่างนี้ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาจึงได้ทรงเล่าเรื่องราวของบรรดาเจ้าของสวนแก่ท่านนบี เพื่อให้ท่านนบีนำมาตักเตือน นำมาเป็นอุทาหรณ์ให้แก่พวกเขาพวกกุเรชมักกะฮฺ เพื่อเตือนสติพวกเขาให้คิดได้ เพื่อให้เขาได้รู้ว่า การปฏิเสธท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมและหันหลังให้กับบทบัญญัติของพระองค์นั้น เป็นการเนรคุณต่อพระองค์ และสมควรที่พวกเขาจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง
เรื่องราวจากตัฟซีรโดยสรุปก็มีอยู่ว่า...
ในช่วงก่อนสมัยของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมนั้น มีชายผู้ศรัทธาท่านหนึ่ง เป็นคนดี ปฏิบัติอะมัลศอลิหฺอยู่อย่างสม่ำเสมอ ..เขาอาศัยอยู่ในเมือง ๆหนึ่ง ใกล้กับเมืองศ๊อนอาอ์ ประเทศเยเมน ..เขาได้รับริสกีอย่างมากมาย ได้เป็นเจ้าของสวน ๆหนึ่ง ซึ่งภายในสวนนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยต้นอินทผลัม ตลอดจนพืชพันธุ์ธัญญาหารนานาชนิด อีกทั้งภายในสวนนั้น ยังมีลำธาร มีธารน้ำไหลผ่านอยู่ตลอดเวลา ยังความชุ่มชื่นให้แก่พืชพันธุ์ในสวนของเขา และทำให้สวนของเขาออกดอกออกผลอย่างมากมาย
เมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยว ในแต่ละครั้ง ๆ ชายผู้ศรัทธาท่านนี้จะจัดการแบ่งผลผลิตของเขาออกเป็น 3 ส่วน
ส่วนหนึ่งจัดไว้เป็นทุนสำหรับการทำสวนในครั้งต่อไป
ส่วนที่สองจัดไว้สำหรับเรื่องของครอบครัว นำไปรับประทานและขายเพื่อมาใช้จ่ายสำหรับครอบครัว
ส่วนที่สาม สำหรับคนยากจนขัดสน เขาไม่เคยลืมสิทธิของคนยากจนขัดสนเลย การเก็บเกี่ยวผลผลิตในทุกครั้งนั้น เขาจะประกาศเชิญคนยากจนขัดสนให้มารับส่วนแบ่ง พร้อมทั้งเลี้ยงดูอย่างอิ่มหนำสำราญ และให้เกียรติพวกเขาอย่างเต็มที่...
ด้วยเหตุนี้ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาจึงประทานบะเราะกะฮฺในทรัพย์สินของเขา ให้มันเพิ่มพูน งอกเงยอยู่ตลอดเวลา ...เป็นรางวัลตอบแทนการทำความดีของเขา
ครั้นต่อมา เมื่อเจ้าของสวนผู้ศรัทธาท่านนี้ได้เสียชีวิตลง ..สวนแห่งนี้ก็ตกเป็นมรดกของลูก ๆของเขาสามคน ..สำหรับในปีนั้น สวนแห่งนี้ก็ยังคงอุดมสมบูรณ์ ออกดอกออกผลงอกงามอย่างมากมายเหมือนเช่นเคย ... บรรดาเจ้าของสวนรายใหม่ต่างก็ชื่นชมและภาคภูมิใจในผลผลิตที่พวกเขาได้รับ
พวกเขาต่างกล่าวกันว่า “พ่อของพวกเราไม่ฉลาดเลยที่แบ่งผลผลิตเหล่านี้ให้แก่บรรดาคนยากจนขัดสน แต่ในเมื่อตอนนี้ สวนแห่งนี้เป็นของเราแล้ว เรามาตกลงกันเถอะว่า..หลังจากนี้ต่อไป เราจะไม่แบ่งผลผลิตของสวนแห่งนี้ให้แก่ผู้ใดอีกแล้ว เพื่อว่าเราจะได้ร่ำรวยและมีทรัพย์สินเงินทองอย่างมากมาย”
ทุกคนเห็นดีเห็นงาม ยกเว้นคนหนึ่งที่เป็นผู้เที่ยงธรรมที่สุด เขาได้กล่าวตักเตือนพี่น้องของเขาว่า “จงปฏิบัติตามดังเช่นที่พ่อของเราได้ปฏิบัติไว้ในอดีตเถิด เพื่อที่อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาจะประทานบะเราะเกาะฮฺให้แก่ทรัพย์สินของพวกเราดังเช่นที่เคยเป็นมา”
แต่พี่น้องคนอื่น ๆต่างไม่ฟัง พวกเขายังยืนกรานที่จะไม่แบ่งส่วนใด ๆ ให้แก่ใครเลย เมื่อเป็นดังนี้ พวกเขาจึงตั้งใจจะเก็บเกี่ยวผลผลิตของสวนนั้นในเวลาเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น โดยที่พวกเขาไม่ได้กล่าวว่า “อินชาอัลลอฮฺ หากอัลลอฮฺทรงประสงค์”
ครั้นเมื่อพวกเขากลับบ้านในเวลากลางคืน พวกเขาต่างพากันฝันหวานถึงผลผลิตที่จะเก็บเกี่ยวได้ และริซกีที่จะได้รับอย่างมากมาย ...แต่ทว่า ในขณะเดียวกันนั้น อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาก็ได้ทรงส่งไฟไปทำลายสวนของพวกเขา มันเผาผลาญต้นอินทผลัม พืชพันธุ์ธัญญาหารทุกชนิดอย่างราบคาบ ไม่เหลืออะไรอะไรไว้เลย
รุ่งเช้า บรรดาเจ้าของสวนทั้งสามคนก็พากันออกไปยังสวนของพวกเขาเพื่อเก็บเกี่ยวผลผลิต พวกเขาพากันออกไปยังสวนอย่างเงียบ ๆ เพราะกลัวผู้คนจะรู้
พวกเขากระซิบกระซาบกันว่า “ วันนี้เราอย่าให้ใครเข้าไปในสวนได้เลยนะ และเราจะไม่แบ่งผลผลิตให้ใครเลย”
ครั้นเมื่อพวกเขาไปถึงที่ พวกเขาก็ต้องตกตะลึงเพราะพวกเขาไม่พบสิ่งใดเลย สวนนั้นได้ถูกทำลายลงไปอย่างราบคาบ
พวกเขากล่าวว่า “เราคงเดินมาผิดทาง”
พวกเขาคิดกันเองว่า นี่คงไม่ใช่ที่ตั้งของสวนของพวกเขา แต่เมื่อพวกเขาพิจารณาดูสถานที่อีกที ก็พบว่านี่แหละคือสวนของพวกเขา สวนของพวกเขาที่ถูกทำลายลงไปเสียแล้ว
คนหนึ่งจึงกล่าวขึ้นว่า “เราไม่ได้หลงทาง แต่เราถูกลงโทษ เพราะเรามีเนียต มีความตั้งใจที่ไม่ดี เราได้อธรรมต่อบรรดาคนยากจนขัดสน”
พวกเขาตระหนักถึงความผิดที่ได้ทำลงไป คนที่เคยเตือนพี่น้องของเขาจึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ฉันได้เตือนพวกท่านแล้วว่า ทำไมจึงไม่สรรเสริญอัลลอฮฺและขอบคุณพระองค์ และแบ่งสรรปันส่วนให้คนยากจนขัดสนดังที่พ่อของเราเคยทำไว้”
พวกเขาจึงกล่าวอย่างเสียใจว่า “แท้จริงเรานั้นเป็นผู้อธรรมอย่างแน่แท้” และก็ได้หันไปต่อว่าซึ่งกันและกัน ปัดความผิดว่าคนนั้นคนนี้เป็นต้นคิด
สุดท้ายพวกเขาคิดได้ พวกเขากล่าวอย่างสำนึกผิดว่า “ความหายนะประสบแก่เราแล้ว เพราะเราเป็นผู้ละเมิดฝ่าฝืน ดังนั้นขอพระเจ้าของเราทรงเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ดีกว่าให้แก่เรา และขอพระองค์ทรงอภัยโทษให้แก่เรา”
พวกเขาเสียใจอย่างแท้จริง พวกเขาขออภัยโทษและเตาบะฮฺ กลับเนื้อกลับตัวต่ออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา หลังจากที่ความพินาศได้ประสบกับพวกเขาไปแล้ว พวกเขาขาดทุนอย่างย่อยยับ หมดเนื้อหมดตัว สวนทั้งสวนถูกทำลายราบคาบ ไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์อะไร ไม่ได้รับกำไรจากการขายพืชพันธุ์ อีกทั้งยังไม่ได้รับผลบุญใดๆ ที่จะได้รับจากการบริจาคทานอีกด้วย
บัดนี้ พวกเขาประจักษ์แล้วว่า พ่อของพวกเขารักษาสวนแห่งนี้ด้วยการบริจาคและให้สิทธิแก่คนยากจนขัดสน ...อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาจึงได้ประทานบะเราะกะฮฺให้แก่พ่อของเขา ส่วนความตระหนี่ถี่เหนียวของพวกเขานั้น ทำให้พวกเขาถูกลงโทษ และถูกดึงริสกีกลับคืนไป
นั่นก็คือเรื่องของบรรดาเจ้าของสวนที่ได้เกิดขึ้นจริงในอดีต ซึ่งอัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาทรงทดสอบพวกเขา ด้วยการให้ความโปรดปรานอย่างมากมาย แต่พวกเขาไม่ขอบคุณด้วยการแบ่งสรรปันส่วนให้คนยากจนขัดสน พระองค์จึงทรงลงโทษพวกเขาอย่างทันตาเห็น และพวกเขาก็สำนึกผิดและขออภัยโทษ แต่ทว่า หลังจากได้สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไปหมดแล้ว
ในอัลกุรอานซูเราะฮฺอัลเกาะลัม อายะฮฺที่ 19 – 20 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า
فَطَافَ عَلَيۡهَا طَآئِفٞ مِّن رَّبِّكَ وَهُمۡ نَآئِمُونَ 19
“ดังนั้น การลงโทษจากพระเจ้าของเจ้าก็ได้มาทำลายสวนนั้น ขณะที่พวกเขากำลังนอนหลับอยู่”
فَأَصۡبَحَتۡ كَٱلصَّرِيمِ 20
“ครั้นในตอนเช้า มันก็กลายเป็นเถ้าถ่านมอดไหม้”
นั่นก็คือบทลงโทษของผู้ที่ได้รับริสกีแบบอิสติดรอจญ์ ที่มาอย่างกะทันหัน ไม่ทันได้ตั้งตัว
ในอัลกุรอานซูเราะฮฺอัลอันอาม อายะฮฺที่ 44 อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาตรัสว่า
فَلَمَّا نَسُواْ مَا ذُكِّرُواْ بِهِۦ فَتَحۡنَا عَلَيۡهِمۡ أَبۡوَٰبَ كُلِّ شَيۡءٍ حَتَّىٰٓ إِذَا فَرِحُواْ بِمَآ أُوتُوٓاْ أَخَذۡنَٰهُم بَغۡتَةٗ فَإِذَا هُم مُّبۡلِسُونَ
“ครั้นเมื่อพวกเขาลืมสิ่งที่พวกเขาถูกเตือนให้รำลึกถึง เราก็เปิดประตูแห่งปัจจัยต่าง ๆให้แก่พวกเขา จนกระทั่งเมื่อพวกเขาหลงระเริงต่อสิ่งที่พวกเขาได้รับ เราก็ลงโทษพวกเขาโดยกะทันหัน แล้วทันใดนั้น พวกเขาก็หมดหวัง (สูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง)”
ดังนั้น อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาจึงทรงเตือนเราว่า อย่าเป็นผู้ที่ไม่สำนึกในความโปรดปรานของพระองค์ เพราะการกระทำดังกล่าวจะทำให้ริสกีของเราต้องสูญสิ้นไป
ก่อนจบ ขอฝากคำสั่งสอนของท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ที่ปรากฎหลักฐานอัลหะดีษในบันทึกของอิมามมุสลิม จากรายงานของท่านอะบียะหฺยา ศุฮัยบฺ อิบนิซินาน وَعَنْ أبي يَحْيَى صُهَيْبِ بْنِ سِنَانٍ ร่อฎิยัลลอฮุอันฮุมเล่าว่า ท่านร่อซูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัมได้กล่าวว่า
: عَجَباً لأمْرِ الْمُؤْمِنِ إِنَّ أَمْرَهُ كُلَّهُ لَهُ خَيْرٌ، وَلَيْسَ ذَلِكَ لأِحَدٍ إِلاَّ للْمُؤْمِن: إِنْ أَصَابَتْهُ سَرَّاءُ شَكَرَ فَكَانَ خَيْراً لَهُ، وَإِنْ أَصَابَتْهُ ضَرَّاءُ صَبَرَ فَكَانَ خيْراً لَهُ.
“ช่างน่าอัศจรรย์ใจเหลือเกินสำหรับบรรดาผู้ศรัทธา แท้จริงเรื่องราวของผู้ศรัทธาทั้งหมดนั้นมีแต่ความดี และไม่มีผู้ใดที่จะได้รับความดีเช่นนั้นนอกจากผู้ศรัทธาเท่านั้น
กล่าวคือ เมื่อความดีมาประสบกับเขา เขาก็ขอบคุณต่อความโปรดปรานของอัลลอฮฺ ตะอาลา ซึ่งสิ่งนั้นก็เป็นความดีสำหรับเขา ...
และหากมีความยากลำบาก ความทุกข์ยากมาประสบกับเขา เขาก็อดทนต่อการทดสอบนั้น ซึ่งสิ่งนั้นก็เป็นความดีสำหรับเขาเช่นกัน”
สุดท้ายนี้ ขออัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลาโปรดให้เราเป็นผู้ที่มีหัวใจที่รู้คุณต่อพระองค์ เมื่อใดก็ตามที่พระองค์ทรงเปิดประตูแห่งปัจจัยยังชีพให้แก่เรา ขอให้เราได้สำนึกในความโปรดปรานนั้น โดยการเชื่อฟังและปฏิบัติตนให้อยู่ในขอบเขตของบทบัญญัติศาสนา ซึ่งนี่ก็คือความดีสำหรับเรา ..
และเมื่อใดก็ตามที่เราได้รับการทดสอบด้วยเรื่องไม่ดีใด ๆ ขอพระองค์ทรงช่วยเหลือเราให้เราเป็นผู้ที่อดทนต่อการทดสอบนั้น และดำรงรักษาการเชื่อฟังและปฏิบัติตนอยู่ในบทบัญญัติศาสนาของพระองค์ตลอดไป ซึ่งนี่ก็เป็นความดีสำหรับเราเช่นกัน..และขอพระองค์ทรงโปรดให้เราเป็นผู้รอดพ้นจากการเป็นผู้ที่ได้รับริสกีแบบอิสติดรอจญ์ด้วยเถิด
( นะศีหะหฺ มัสญิดดารุลอิหฺซาน บางอ้อ )