มุสลิมต้องรู้ !
อาบีดีณ โยธาสมุทร เรียบเรียง
มุสลิมต้องรู้ว่า .....
1. การยินดีหรือเห็นด้วยกับการปกครองด้วยระบอบอื่นใดที่ไม่ใช่ระบอบที่อัลลอฮฺทรงประทานลงมาให้ ถือเป็น การปฏิเสธศรัทธาชนิดใหญ่ (ตกศาสนา)
(ดู นะวากิ้ด อิสลาม ข้อที่4)
2. การมองว่าเรื่องการปกครองไม่ใช่เรื่องศาสนา หรือเรื่องสังคมไม่ใช่เรื่องศาสนา(ลดค่า, ลดความสำคัญและจำกัดความครอบคลุมของศาสนาอิสลามต่อชีวิตจริงของคนให้อยู่ในกรอบแคบๆ) ถือเป็นการปฏิเสธศรัทธาชนิดใหญ่ (ตกศาสนา)
(ดู ข้อมูลในขอบข่ายเดียวกันใน นะวากิ้ด อิสลาม ข้อที่9 และ10)
3. การมองว่าบัญญัติของอิสลาม เป็นตัวถ่วงความเจริญ เป็นเรื่องตกยุค,เป็นอะไรที่ไม่คู่ควรกับสภาพสังคมปัจจุบัน แม้ตัวเองจะยังทำตามบทบัญญัติอิสลามอยู่ก็ตาม ถือเป็น การปฏิเสธศรัทธาชนิดใหญ่ (ตกศาสนา)
(ดู นะวากิ้ด อิสลาม ข้อที่5และ6)
4. การเข้าพวกกับพวกผู้ปฏิเสธศรัทธา บนฐานของการปฏิเสธศรัทธา, ปฏิเสธบทบัญญัติของอิสลาม, หรือบนฐานของการเรียกร้องไปสู่ระบอบที่เป็นการปฏิเสธต่อบทบัญญัติอิสลาม ถือเป็น การปฏิเสธศรัทธาชนิดใหญ่ (ตกศาสนา)
(ดู นะวากิ้ด อิสลาม ข้อที่8)
5. การ "รักแบบบูชา" ต่อผู้อื่นที่ไม่ใช่อัลลอฮฺ ไม่ว่าจะเป็นตัวบุคคลหรือตัวระบอบใดๆก็ตาม ถือเป็น ชิริกชนิดใหญ่ (ตกศาสนา)
(ดู กิตาบุ้ตเตาฮีด บทที่พูดถึง ซูเราะฮฺอั้ลบะก่อรอฮฺ อายะฮฺที่165)
ระวังการโพสต์การแชร์ หรือการร่วมขับเคลื่อนกิจการใดๆที่วางอยู่บนฐานของเรื่องที่ทำให้เสียอิสลาม หรือนำไปสู่การเสียอิสลาม
"อย่ายอมขายศาสนาเพราะอารมณ์ร่วม อย่ายอมเสียศาสนาเพียงเพื่อแลกกับดุนยา"
ท่านร่อซู้ล ศ้อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซั้ลลัม กล่าวไว้ความว่า
"พวกท่านจงรีบเร่งกันสร้างผลงานความดีกันเถิด ก่อนที่จะมีความสัปสนอลหม่านและความวุ่นว่าย ที่เหมือนกับการตัดผ่านเข้าไปในค่ำคืนอันมืดมิดเกิดขึ้น
จนกระทั่งคนๆจะตื่นเช้าขึ้นมาในสภาพที่เป็นผู้ศรัทธา แต่เมื่อตกเย็นเขาก็กลับกลายไปอยู่ในสภาพที่เป็นผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาเสียแทน
หรือในช่วงเย็นเขาอาจจะยังคงอยู่ในสภาพที่เป็นผู้ศรัทธาอยู่ แต่พอเช้าขึ้นมาเขาก็กลับกลายไปอยู่ในสภาพของผู้ที่ปฏิเสธศรัทธาไปเสียแล้ว
นั่นก็ด้วยการที่เขาได้ยอมขายศาสนาของตนทิ้งไปเพียงเพื่อแลกกับผลประโยชน์ใดๆสักอย่างหนึ่งของดุนยาที่ถูกเสนอเข้ามาให้นั่นเอง"
(ดู มุสลิม118)
คำถาม
มีคนที่ออกมาเรียกร้องสู่อัลลอฮฺบางคนได้ออกมาปกป้องธรรมนูญที่คนกำหนดกันขึ้นมาเองบางประเภทและเรียกร้องให้ผู้คนยึดถือธรรมนูญนั้นกันเอาไว้ โดยให้เหตุผลว่า เพราะมันเป็นอะไรที่ไม่ดีน้อยสุดและเบาสุดเมื่อเทียบกับอย่างอื่น และเพราะว่าอย่างไรเสียผู้ปกครองก็คงไม่นำบทบัญญัติศาสนามาใช้ปกครองอยู่แล้ว ไม่ทราบว่าการกระทำนี้ของพวกเขาถูกต้องหรือไม่ครับ?
คำตอบ
"นี่เป็นการเรียกร้องไปสู่การปฏิเสธศรัทธาครับ -ขออัลลอฮฺทรงคุ้มครอง- และคนกลุ่มที่ว่านี้ก็ไม่ใช่กลุ่มชนที่เรียกร้องสู่อัลลอฮฺด้วย"
เชคศอและฮฺ อั้ลเฟาซาน ฮะฟิซ่อฮุ้ลลอฮฺ
"ไม่อนุญาตให้ทำการปกครองด้วยกฏหมายหรือด้วยระบอบใดๆ โดยอ้างว่า เพราะมันดีกว่าการให้มีการขัดแย้งกันเกิดขึ้น เพราะการทำแบบนี้นี่แหละที่เป็นตัวตนของการขัดแย้งต่างหากครับ การทำแบบนี้ไม่เป็นที่อนุญาต ไม่มีการปกครองและการตัดสินใดๆทั้งสิ้นนอกเสียแต่การปกครองและการตัดสินของอัลลอฮฺ อั้ซซะวะญัล และร่อซูลของพระองค์ ศ้อลลัลลอฮูอลัยฮิวะซั้ลลัม และบทบัญญัติของพระองค์เท่านั้น และจำเป็นต้องทำตามนี้ และเช่นกันจำเป็นจะต้องยึดมั่นอย่างมั่นคงอยู่กับญะมะอะฮฺของบรรดามุสลิม"
กระผมได้เคยปรารภกับกลุ่มเพื่อนและพี่น้องร่วมแนวทางไว้ เมื่อครั้งก่อนจะเดินทางกลับบ้านว่า
เป็นกังวลมากว่า พวกอิ้ควานฯ และพวกที่ติดเชื้อทางความคิดแบบเดียวกันกับเชื้อของพวกอิ้ควานฯ จะเข้ามาสร้างความลำบากแก่มุสลิมในการธำรงศาสนาของตนในอาณาเขตพื้นที่ของประเทศบ้านเกิดของตนเองประเทศนี้และจะทำให้มุสลิมในบ้านนี้เมืองนี้อยู่ยากขึ้น
ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงมีความรู้สึกกังวลเช่นนั้นอยู่ไม่เสื่อมคลาย แต่เพียงอยากเตือนสติให้ฟังว่า
ถ้าอ้างว่าต้องการจะช่วยเหลืออิสลาม ก็จงรู้ไว้ว่า การช่วยเหลืออิสลามจำเป็นจะต้องเป็นไปด้วยกับแนวทางของอิสลามเองเท่านั้น ซึ่งสิ่งใดๆก็ตามแต่ที่ในช่วงเวลาของท่านร่อซู้ล ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซั้ลลัมและบรรดาศ่อฮาบะฮฺของท่านมันไม่ได้ถูกนับว่าเป็นอิสลาม ในยุคเรานี้สิ่งนั้นๆก็ย่อมไม่ใช่อิสลามด้วยเช่นกัน
ดังนั้น จึงไม่อนุญาตที่จะให้หันไปหยิบจับเอาแนวทางและวิธีการนอกรีตที่ไม่ใช่อิสลามเหล่านั้นใดๆทั้งสิ้นเข้ามาใช้กับอิสลาม โดยอ้างว่าเพื่อช่วยอิสลามเด็ดขาด เพราะอัลลอฮ์ ทรงกล่าวความว่า
“ใครก็ตาม ที่หันไปยึดเอาอื่นจากอิสลามมาเป็นศาสนา แน่นอนว่าเขาย่อมจะไม่มีทางได้รับการตอบรับจากเขาแน่นอน และในอาคิเราะฮฺเขาเองก็จะเป็นหนึ่งจากพวกที่ขาดทุน”
(อาละอิมรอน/85)
“และอัลลอฮฺทรงปฏิเสธที่จะทรงให้มีการณ์ใดๆทั้งสิ้นเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นนอกจากการที่พระองค์จะทรงทำให้รัศมีของพระองค์เจิดจรัสอย่างครบถ้วนเต็มเปี่ยมขึ้นเท่านั้น แม้ว่าพวกผู้ปฏิเสธศรัทธาจะรังเกียจการณ์นั้นกันก็ตาม”
(อั้ตเตาบะฮฺ/32)
จำไว้ครับ ถ้าอยากช่วยอิสลาม ต้องช่วยด้วยวิธีของอิสลาม ที่ท่านร่อซู้ล ศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม ตลอดจนบรรดาศ่อฮาบะฮฺของท่านได้ทำไว้และต้องเป็นไปตามขั้นตอนและการลำดับความสำคัญของเรื่องราวต่างๆตามที่ท่านถ่ายทอดเอาไว้
♥ เริ่มจากจุดที่เล็กที่สุดก่อน เริ่มจากตัวเราก่อน แล้วค่อยขยายออกไป
♥ เริ่มจากประเด็นที่สำคัญที่สุดเป็นอันดับแรก เริ่มจากเรื่องที่เป็นสิทธิของพระเจ้า ซึ่งก็คือ อั้ตเตาฮี้ต
♥ พยามถอดบทเรียนจากชีวประวัติของท่านนบีศ็อลลัลลอฮุอลัยฮิวะซั้ลลัม ตามคำอธิบายของบรรดานักวิชาการซะลัฟและที่อยู่ในแนวทางของพวกท่านไว้เป็นสำคัญ ดูว่า ช่วงเวลาที่มักกะฮฺ 13 ปี มีอะไรเกิดขึ้น และท่านสั่งให้ทำอะไรและสอนเรื่องไหนแก่ผู้คน
อยากให้ทราบไว้ว่า ประเด็นและจุดมุ่งหมายหลักนั้น ก็คือ เพื่อให้เนื้อหาหลักของอิสลาม ซึ่งก็คือ "การที่อัลลอฮฺพระผู้เป็นเจ้าแห่งทุกสิ่งเท่านั้นที่เป็นผู้ถูกสักการะโดยชอบ" ถูกเผยแพร่และเก็บรักษาไว้ในชีวิตจริงของปวงป่าวของพระองค์ให้ได้มากที่สุดและในวงที่กว้างที่สุด
"ไม่ใช่เพื่อดุนยา.. ไม่ใช่เพื่ออำนาจปกครอง" โปรดอย่างหลงประเด็นและโปรดอย่านำตัวไปเสี่ยงต่อการหลงออกจากทาง
نسأل الله التوفيق والسداد